สงสัยเรื่องการเเจ้งเกิดที่ล่วงเวลามานานมากๆครับ

เหตุกาณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเหตุการณ์สมมติ อาจจะฟังดูปวดหัว,ชวนคิด หรือเอาผิดหน่อย เเต่ไม่มีที่มาที่ไปเหทือนกัน แค่เหตุการณ์จำลองครับ
*
**
***
สมมติว่า นาย/นาง ก. เกิดเมื่อปี พศ.2525 แต่บิดา+มารดา ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และไม่ได้แจ้งเกิดให้นาย/นาง ก. อาจจะเพราะว่าตัวบิดาและมารดาไม่ได้รับการศึกษาหรือมีที่อยู่อาศัยห่างไกลความเจริญเป็นอย่างมาก แต่เลี้ยงดูนาย/นาง ก. ปกติไม่มีปัญหาภายในครอบครัว

เวลาล่วงเลยมานับสิบปี นาย/นาง ก. ยังไม่ทราบสิทธิตนเองเนื่องจากไม่ได้รับการศึกษา แต่ก็มีวุฒิภาวะมากพอที่จะหาเลี่ยงชีพต่างถิ่นได้ จึงย้ายมาหางานทำในเมืองหลวง นาย/นาง ก. จึงเริ่มทราบเกี่ยวกับกฏหมายและสิทธิของประชาชนคร่าวๆ จึงตระหนักได้ว่า ตนเองควรจะมีหลักฐานการมีชีวิตอยู่และสถานภาพของตนในประเทศนี้

เนื่องจากเวลาล่วงเลยมานานนับสิบๆปี บิดาและมารดาของ นาย/นาง ก. เสียชีวิตด้วยอายุขัย แต่นาย/นาง ก. ไม่ทราบนื่องจากตนมาทำงานต่างถิ่นและไม่มีเทคโนโลยีติดต่อสื่อสารให้นาย/นาง ก.ใช้ หรือ ไม่มีความรู้จำเพาะถึงเครื่องมือ/บริการการสื่อสารหรือ ไม่มีสิทธิในการใช้เนื่องจากไม่มีสถานภาพเป็นลายลักษณ์อักษร จึงไม่ทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดามารดาของตน

ภายหลังเมื่อ นาย/นาง ก. ได้มีโอกาส จึงกลับบ้านเกิดเพื่อทำหลักฐานให้ถูกต้องตามกฏหมาย แต่พบว่าบิดามารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว และไม่มีญาติพี่น้องใดๆด้วย เเละอาจเนื่องจากไม่ทราบกฏหมายดีพอหรือ กลัวโทษทางกฏหมายเกี่ยวกับสถานภาพของตนจึงไม่กล้าไปใช้สิทธิ์เหล่านั้น (1)

ต่อมานับสิบปี นาย/นาง ก. ได้พบคู่ชีวิตและตัดสินใจใช้ชีวิตคู่และมีบุตรด้วยกัน 1 คน เป็นเด็กชายA แต่เนื่องจาก นาย/นาง ก. ไม่มีหลักฐานการเเสดงสถานภาพและ สามี/ภรรยา ของ นาย/นาง ก. ไม่รู้มาก่อนว่า นาย/นาง ก. นั้นไม่มีและไม่เคยทำเอกสารหล่านี้ในครอบครอง ทั้งคู่จึงวานญาติและเพื่อนสนิทของถรรยา/สามีของนาย/นาง ก. จดทะเบียนสมรสและรับรองบุตรเป็นของพวกเขาแทน ให้บุตรชายคนนั้นใช้นามสกุลฝ่ายทางญาติของเขาแทน(2)

ผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน เด็กชายA ได้เติบใหญ่และจำเป็นต้องใช้หลักฐานประกอบในการทำธุรกรรม/การติดต่อธุรต่างๆในชีวิตประจำวัน และบางงาน/บางกิจกรรมจำเป็นต้องพาบิดา/มารดา ตามใบประสูติไปรับรองตัวบุคคล ณ สถานที่นั้นๆด้วย แต่เนื่องจาก บิดา/มารดาตามหลักฐานลายลักษณ์อักษร ในชีวิตจริงพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีวามสัมพันธ์กันจึงแยกย้ายกันไปตามทางชีวิตตน เด็กชายA จึงไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ จึงวานพ่อแม่จริงๆทำธุระแทน แต่ติดปัญหาหลายๆอย่างที่พ่อแม่เขาต้องแกล้งเฟคขึ้นมา(3)

อยากทราบว่าในกรณีนี้ สามารถเรียกฝ่ายพ่อแม่และบุตรว่า เป็น "ผู้กระทำความผิด" หรือ "ผู้เสียหาย" กันครับ
และอยากทราบว่าในกรณีเหล่านี้ กรณีใดบ้างที่สามารถแก้ไขได้ หรือกรณีใดบ้างจำเป็นต้องรับโทษตามกฏหมาย หรือกรณีใดบ้างที่ต้องได้รับการช่วยเหลือและคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยรัฐ ครับ
แบ่งได้ตามหลายเลขหัวข้อ 1-2-3 ตามวรรคข้างบนเลยครับ
ทั้ง1-2-3 มีโทษทางอาญาหรือแพ่ง อะไรบ้าง โทษมากน้อยแค่ไหน
ขออภัยด้วยนะครับ ถ้าแท้กผิดห้อง

รบกวนหน่อยครับ ไว้เป็นกรณีศึกษา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่