สวัสดีครับ
สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์
MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการครับ
วันนี้ นำเรื่องราวของ
"แอตแลนติส" มาฝากครับ
แอตแลนติส (Atlantis) ถูกกล่าวถึงโดย เพลโต นักปรัชญากรีกโบราณ ว่าเป็นทวีป ๆ หนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติก มีพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม เทคโนโลยีสูงส่ง กำแพงเมืองทองคำ วิหารสร้างด้วยเงิน อุทยานหย่อนใจ และสนามแข่งม้า แต่ทุกอย่างถูกทำลายพินาศสิ้นด้วยความพิโรธของเทพเจ้า
ที่มาของเรื่องคือ ข้อเขียนในรูปบทสนทนาของคน 2 คนคือ ทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ของ พลาโต (Plato: 427-347 BC)


วงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่า แอตแลนติส เป็นเรื่องเล่าในรูปของนิยายวิทยาศาสตร์ มิใช่เรื่องจริง แต่คนเป็นจำนวนมากก็เชื่อว่าอาจเป็นเรื่องจริง และได้มีความพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายตำแหน่งของแอตแลนติสว่า อยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะพลาโต ระบุว่า แอตแลนติสได้ล่มจมหายไปแล้วในทะเล อยู่ห่างจาก "เสาหินเฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) ออกไป

มีคำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก ของ
เอ็ดการ์ เคย์ซี ซึ่งได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า แอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก ชนชาวแอตแลนติสเป็นชนผิวแดงที่มีความฉลาดเป็นเลิศ ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาพดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ทุกแขนงทั้งประติมากรรม วิศวกรรม และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์นั้นเจริญก้าวหน้าด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก รู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้ รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิตคลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

ชาวแอตแลนติส สามารถผลิตพลังงานมหาศาลจากผลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก วัฒนธรรมสูงส่งของพวกเขาพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า วัฒนธรรมของพวกเขาหายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนมหาอาณาจักรสั่นสะเทือนและได้ถล่มทลายลงไปภายใต้ท้องทะเลเพียงชั่วคืนชั่ววันใต้ทะเล ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล แอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลก

เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง จากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ แอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน บางอย่างอาจมีความก้าวหน้ากว่าด้วยซ้ำ พวกเขารู้จักพัฒนาโดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้ง ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีก เช่น เมื่อปี พ.ศ.2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้บริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512
ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีเป็นจริง ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนใหญ่พอๆ กับรถบรรทุก ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะทำได้ไม่เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นจนทำให้แอตแลนติสถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก และในช่วงแรกสุดของโลกเมื่อประมาณสิบล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมแอตแลนติสอยู่ระหว่างสองแสนถึงถึง 10700 ปีก่อนคริสต์กาล สรุปแล้วมีอายุนานประมาณ 8 หมื่นถึง 9 แสนปี! นี่เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ซึ่งต้องรอการพิสูจน์ในอนาคต
จากบทบันทึกของเพลโต เรื่องราวที่ปรากฏในงานเขียนทั้งสองเล่ม เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก สาเหตุที่ทำให้ล่มสลายนั้น มีทั้งจากภัยธรรมชาติ หรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่า ชาวแอตแลนติสมีความละโมบ กระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด อย่างไรก็ตามก็มีบางคนสงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้อาจเป็นเพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้
แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนักสำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสาหินแห่งเฮอร์คิวลีสออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ
ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้ที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า
เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้วเพลโตน่าจะหมายถึง ช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมายังแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแทน

โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริสตกาล จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส บริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ทะเลระหว่างไซปรัสและซีเรีย จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อกันว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนติส แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ๆซาร์แมสต์พบ เป็นปรากฏการณ์ภูเขาไฟพ่นดินโคลนออกมาเมื่อหมื่นปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานา (Donana) ของสเปน จากนักโบราณคดีมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์กของอังกฤษ ภาพนั้นได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือวิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น พื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโตซึ่งเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนติส หลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการขุดพิสูจน์แต่อย่างใด แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน (Solon) ฟัง
มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกาและเอเชียรวมกัน และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส เกาะแอตแลนติสปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ ไกลออกไปถึงอิตาลี
ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพเซดอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่า แอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส (Atlas) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยและทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน
ในเกาะแอตแลนติส มีน้ำพุร้อนและเย็นสำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับสวนสาธารณะ และสวนผลไม้มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสินค้าและเรือทหารที่รายรอบนครซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ
เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนบนเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน กองทัพแห่งแอตแลนติสรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลกในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่นๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม
ขอบคุณ ข้อมูลจาก
http://www.unigang.com/Article/10360
พบกันวันพรุ่งนี้ อีก 1 วันครับ 
ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 3/2/2561 - ATLANTIS ทวีปที่หายสาบสูญ
สวัสดีครับ
วันนี้ นำเรื่องราวของ "แอตแลนติส" มาฝากครับ
แอตแลนติส (Atlantis) ถูกกล่าวถึงโดย เพลโต นักปรัชญากรีกโบราณ ว่าเป็นทวีป ๆ หนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติก มีพลเมืองผู้ทรงคุณธรรม เทคโนโลยีสูงส่ง กำแพงเมืองทองคำ วิหารสร้างด้วยเงิน อุทยานหย่อนใจ และสนามแข่งม้า แต่ทุกอย่างถูกทำลายพินาศสิ้นด้วยความพิโรธของเทพเจ้า
ที่มาของเรื่องคือ ข้อเขียนในรูปบทสนทนาของคน 2 คนคือ ทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ของ พลาโต (Plato: 427-347 BC)
วงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่า แอตแลนติส เป็นเรื่องเล่าในรูปของนิยายวิทยาศาสตร์ มิใช่เรื่องจริง แต่คนเป็นจำนวนมากก็เชื่อว่าอาจเป็นเรื่องจริง และได้มีความพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายตำแหน่งของแอตแลนติสว่า อยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะพลาโต ระบุว่า แอตแลนติสได้ล่มจมหายไปแล้วในทะเล อยู่ห่างจาก "เสาหินเฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) ออกไป
มีคำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก ของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ซึ่งได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า แอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก ชนชาวแอตแลนติสเป็นชนผิวแดงที่มีความฉลาดเป็นเลิศ ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาพดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ทุกแขนงทั้งประติมากรรม วิศวกรรม และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์นั้นเจริญก้าวหน้าด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก รู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้ รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิตคลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้
ชาวแอตแลนติส สามารถผลิตพลังงานมหาศาลจากผลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก วัฒนธรรมสูงส่งของพวกเขาพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า วัฒนธรรมของพวกเขาหายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนมหาอาณาจักรสั่นสะเทือนและได้ถล่มทลายลงไปภายใต้ท้องทะเลเพียงชั่วคืนชั่ววันใต้ทะเล ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล แอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลก
เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง จากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ แอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน บางอย่างอาจมีความก้าวหน้ากว่าด้วยซ้ำ พวกเขารู้จักพัฒนาโดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้ง ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีก เช่น เมื่อปี พ.ศ.2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้บริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีเป็นจริง ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนใหญ่พอๆ กับรถบรรทุก ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะทำได้ไม่เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น
เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นจนทำให้แอตแลนติสถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก และในช่วงแรกสุดของโลกเมื่อประมาณสิบล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมแอตแลนติสอยู่ระหว่างสองแสนถึงถึง 10700 ปีก่อนคริสต์กาล สรุปแล้วมีอายุนานประมาณ 8 หมื่นถึง 9 แสนปี! นี่เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ซึ่งต้องรอการพิสูจน์ในอนาคต
จากบทบันทึกของเพลโต เรื่องราวที่ปรากฏในงานเขียนทั้งสองเล่ม เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก สาเหตุที่ทำให้ล่มสลายนั้น มีทั้งจากภัยธรรมชาติ หรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่า ชาวแอตแลนติสมีความละโมบ กระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด อย่างไรก็ตามก็มีบางคนสงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้อาจเป็นเพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้
แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนักสำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสาหินแห่งเฮอร์คิวลีสออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้ที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้วเพลโตน่าจะหมายถึง ช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมายังแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแทน
โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริสตกาล จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส บริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ทะเลระหว่างไซปรัสและซีเรีย จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อกันว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนติส แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ๆซาร์แมสต์พบ เป็นปรากฏการณ์ภูเขาไฟพ่นดินโคลนออกมาเมื่อหมื่นปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานา (Donana) ของสเปน จากนักโบราณคดีมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์กของอังกฤษ ภาพนั้นได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือวิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น พื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโตซึ่งเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนติส หลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการขุดพิสูจน์แต่อย่างใด แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป
บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน (Solon) ฟัง
มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกาและเอเชียรวมกัน และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส เกาะแอตแลนติสปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ ไกลออกไปถึงอิตาลี
ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพเซดอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่า แอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส (Atlas) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยและทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน
ในเกาะแอตแลนติส มีน้ำพุร้อนและเย็นสำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับสวนสาธารณะ และสวนผลไม้มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสินค้าและเรือทหารที่รายรอบนครซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ
เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนบนเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน กองทัพแห่งแอตแลนติสรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลกในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่นๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม
ขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.unigang.com/Article/10360
พบกันวันพรุ่งนี้ อีก 1 วันครับ