ตอนที่ 4 อินเดียคนละทวีป ค.ศ.1400-1499

ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ มนุษย์ไม่เคยรู้มาก่อนว่า โลกทั้งหมดมีหน้าตาอย่างไร บางคนบอกว่าโลกแบน บางคนบอกว่าโลกกลม มีพื้นแผ่นดินเดียว แต่มีมหาสมุทรล้อมรอบอยู่

นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์จะค้นพบว่าขอบฟ้าบนโลกนี้ มันสิ้นสุดที่ตรงไหน..

แต่การเดินทางจะต้องมีผู้สนับสนุนที่มีพร้อมทั้งกำลังพล และมีฐานะที่มั่นคงพอ

“รัฐชาติ” จึงเป็นคำตอบ

รัฐชาติ คือ การที่กษัตริย์ประเทศหนึ่ง ได้รวมชาติโดยการปราบขุนนางท้องถิ่นแล้วรวมอ้านาจของการปกครองมายังส่วนกลาง และปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

การเป็นรัฐชาติ จะช่วยให้การดำเนินนโยบายต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งการเก็บงบประมาณ และการสนับสนุนโครงการต่างๆ โดยเฉพาะ “การเดินเรือ"
ความได้เปรียบจึงตกแก่ประเทศในยุโรป ที่มีความเป็นรัฐชาติ และมีอาณาเขตติดอยู่กับมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในเวลานั้น มีอยู่ 4 ประเทศ

ผู้ท้าชิงลำดับที่ 1 ฝรั่งเศส

สงครามร้อยปี ระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ ที่เปิดฉากตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว ยังคงต่อเนื่องมาจนถึง ค.ศ. 1453 ในสงครามร้อยปีครั้งสุดท้าย โยน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) ได้นำกองทัพฝรั่งเศสขับไล่กองทัพอังกฤษจนพ่ายแพ้ และออกจากดินแดนฝรั่งเศสไปในที่สุดหลังสงคราม ขุนนางจํานวนมากเสียชีวิต ทําให้อ่านาจของกษัตริย์มีเพิ่มมากขึ้น จนสามารถรวมอำนาจ และจัดตั้งประเทศฝรั่งเศสในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 11

ผู้ท้าชิงลำดับที่ 2 อังกฤษ

หลังสิ้นสุดสงครามร้อยปีกับฝรั่งเศส อังกฤษยังต้องเผชิญกับสงครามกลางเมือง ซึ่งเป็นความขัดแย้งของขุนนางเพื่อหาผู้ครองราชบัลลังก์อังกฤษระหว่าง 2 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ยอร์ก กับ ราชวงศ์แลงคาสเตอร์

ทั้ง 2 ราชวงศ์มีดอกกุหลาบเป็นตราประจำตระกูล
ความขัดแย้งนี้จึงถูกเรียกว่า “สงครามดอกกุหลาบ”
สงครามนี้ดำเนินเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1455 - ค.ศ. 1487 ส่งผลให้ขุนนางเสียชีวิตไปเป็นจํานวนมาก แต่ก็ทำให้อำนาจของกษัตริย์เพิ่มมากขึ้นโดยปริยาย

เฮนรีจากตระกูลแลงคาสเตอร์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษหลังสงครามดอกกุหลาบและเป็นกษัตริย์องค์แรกของยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระนามว่า
พระเจ้าเฮนรีที่ 7 แม้อังกฤษ และฝรั่งเศส จะสามารถรวบรวมจัดตั้งประเทศได้ แต่ทั้งสองประเทศต้องผ่านสงครามที่ยาวนานกว่า 116 ปี รวมถึงสงครามภายใน ทำให้ถึงแม้จะเป็นรัฐชาติ แต่ก็ยังไม่มีกำลังพล และกำลังเงินเหลือเพียงพอที่จะดำเนินโครงการใหญ่ เช่น การเดินเรือไปโลกตะวันออก แต่ก็ยังเหลือผู้ท้าชิงอีก 2 ประเทศ

ผู้ท้าชิงลำดับที่ 3 โปรตุเกส

แม้จะเป็นอาณาจักรเล็กๆ อยู่ชายขอบตะวันตกสุดของทวีปยุโรป และไม่มีส่วนใดติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเลย แต่สิ่งที่ชาวโปรตุเกสคุ้นเคยมากกว่าใคร คือ มหาสมุทรแอตแลนติก

ความคุ้นเคยนี้เองทำให้ชาวโปรตุเกสกล้าที่จะออกเรือเดินทางไปไกลกว่าประเทศอื่น โปรตุเกสจึงสั่งสมองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญด้านการ
เดินเรือมากกว่าประเทศอื่น และเชื่อว่า หากเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกา ก็จะสามารถเดินทางไปถึงเอเชียได้ แม้จะมีงบน้อย แต่เจ้าชายเฮนรีของโปรตุเกส (Henry the Navigator) ทุ่มงบประมาณระดมผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือ ทั้งชาวอาหรับ และชาวอิตาเลียนจัดตั้งโรงเรียนสอนการเดินเรือ และพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเดินเรือ


แล้วความพยายามอย่างหนักก็บรรลุผล กัปตันเรือชาวโปรตุเกส บาร์โซโลมิว ไดแอส (Bartolomeu Dias) ได้เดินเรือไปถึงจุดใต้สุดของทวีปแอฟริกา
สําเร็จ ในปี ค.ศ.1488 บริเวณนั้นถูกตั้งชื่อว่า แหลมแห่งพายุ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีคลื่นลมแรง
ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น แหลมแห่งความหวัง หรือ “Cape of Good Hope เพื่อสื่อถึงความหวังของชาวโปรตุเกส ที่กําลังเดินทางมาถึง

ผู้ท้าชิงลําาดับที่ 4 สเปน

สเปนคือราชอาณาจักรอีกแห่งหนึ่งใกล้กับโปรตุเกส ตอนนั้นสเปนอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ และพระราชินีอิสซาเบลลา
สเปนพัฒนาช้ากว่าโปรตุเกสในเรื่องการเดินเรือ ซึ่งหากจะเดินทางไปทางใต้ ของทวีปแอฟริกา ก็เท่ากับตามหลังโปรตุเกส

ในเวลานั้นมีนักเดินเรือหนุ่มชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง มาเสนอแผนการเดินทาง ใหม่ไปยังทวีปเอเชียแด่กษัตริย์สเปนแทนที่จะเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกาแล้วไปทางทิศตะวันออกอย่างที่เคยเป็นมา ชายคนนี้เสนอให้เดินเรือไปทางทิศตะวันตก ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ชายผู้นี้มีนามว่า “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส”

ในขณะที่ชาวยุโรป กําลังทําทุกวิถีทางเพื่อเดินทางมายังโลกตะวันออก

ในเวลานั้น โลกฝั่งโลกตะวันออกเป็นอย่างไร?
จักรวรรดิหมิงเป็นจักรวรรดิแรกที่มีการพิมพ์ธนบัตรใช้อย่างเป็นทางการใน ศตวรรษที่แล้ว ซึ่งนํามาสู่ความรุ่งเรืองทางการค้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิหยงเล่อ ทรงย้ายเมืองหลวงจากหนานจิงมาอยู่ที่ปักกิ่ง และโปรดให้สร้างพระราชวังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ขึ้นใน นครหลวงแห่งนี้

จักรพรรดิจีนมีกองทัพเรือ เป่าฉวน ที่มีเรือขนาดใหญ่กว่า 63 ลํา นําโดยนายกองเรือ “เจิ้งเหอ”
เดินทางออกทะเลนําสินค้าไปแลกเปลี่ยนทั่วทวีปเอเชีย ไปจนถึงอินเดีย และฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา

เมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อสวรรคตในปี ค.ศ. 1424 จักรวรรดิหมิงก็เริ่มเข้าสู่ความวุ่นวาย การพิมพ์ธนบัตรออกมามากเกินความต้องการส่งผลให้เงินกระดาษกลายเป็นสิงไร้ค่า จนมูลค่าของเงินกระดาษได้ตกไปถึง 1 ใน 70 ของมูลค่าเดิม
จนท้ายที่สุด จีนต้องกลับไปใช้เหรียญทองแดงอีกครั้ง

และภายหลังการเสียชีวิตของเจิ้งเหอ กองทัพเรือเป่าฉวนก็ไม่เคยออกเดินทางไกลไปกว่าทวีปเอเชียอีกเลย ตรงกันข้ามกับชาวยุโรป แม้เรือซานตามาเรีย จะมีขนาดเล็กกว่าเรือลําที่ใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือเป่าฉวน ถึง 4 เท่า


แต่ภายใต้การนําของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้แทนของสเปน ได้เดินเรือฟันฝ่า ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตก จนค้นพบดินแดนแห่งใหม่ ในปี ค.ศ. 1492

ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่ โคลัมบัส เสียชีวิต เขายังคงปักใจเชื่อว่าดินแดนที่ค้นพบ คือ “ประเทศอินเดีย”
แต่แท้จริงแล้ว ดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นทวีปใหม่ ที่ไม่เคยมีชาวยุโรป คนใดรู้จักมาก่อน

ในขณะที่กัปตันวาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) ผู้แทนของโปรตุเกส ได้เดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปของทวีปแอฟริกา และเดินทางต่อไปจนถึง “อินเดีย” ในทวีปเอเชียเป็นผลสําเร็จในปี ค.ศ. 1498

นับตั้งแต่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย
โลกตะวันออกมีความก้าวหน้าแซงโลกตะวันตกมาเป็นเวลานานนับพันปี แต่ความสําเร็จในการค้นพบเส้นทางไป “อินเดีย” ที่อยู่คนละทวีป ของทั้ง
สเปนและโปรตุเกสกลายเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญ
ที่จะแปรเปลี่ยนชะตากรรมของโลกทั้งสองฝั่ง
ให้ก้าวเดินกันคนละเส้นทาง..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่