Mauritia
3 กุมภาพันธ์ 2017 เว็บไซต์ยูเอสเอทูเดย์ได้เปิดเผยรายงานว่า ทีมนักวิจัยในแอฟริกาใต้ได้ค้นพบชิ้นส่วนหลักฐานของทวีปโบราณที่สูญหายไปใต้มหาสมุทรอินเดีย บริเวณเขตประเทศมอริเชียส เกาะนอกชายฝั่งแอฟริกาในมหาสมุทรอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ นักวิทยาศาสตร์จึงให้ชื่อว่า
"ทวีปมอริเชีย" (Mauritia) ซึ่งคาดว่าจมหายลงไปใต้ก้นมหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีก่อน
Levis Ashwan หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Witwatersrand ในแอฟริกาใต้ได้เปิดเผยว่า เบาะแสที่ระบุว่าเคยมีทวีปที่สาบสูญในบริเวณนี้ คือพื้นที่บางส่วนของมหาสมุทรอินเดียที่มีสนามแรงโน้มถ่วง (Gravitational Fields) มากกว่าจุดอื่น บ่งชี้ได้ว่าจุดนั้นน่าจะเป็นแผ่นเปลือกโลกที่หนา ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจเป็นแผ่นเปลือกโลกของทวีปที่จมอยู่ใต้น้ำและกลายเป็นแผ่นเดียวกับผืนแผ่นดินใต้น้ำไป
ตอนนี้ทางทีมวิจัยกำลังศึกษากระบวนการแยกตัวของทวีปดังกล่าว เพื่อที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางด้านธรณีวิทยาของโลก โดยชิ้นส่วนของทวีปที่ถูกพบนี้คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) อันเป็นทวีปขนาดใหญ่สมัยโบราณซึ่งได้แยกตัวออกเป็น ทวีปแอฟริกาแอนตาร์กติกา ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ในปัจจุบัน จากการสำรวจพบว่า ประเทศมอริเชียสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะแมสการีนกลางมหาสมุทรอินเดียมีสนามแรงโน้มถ่วงที่ทรงพลัง และมอริเชียสอาจตั้งอยู่บนเปลือกโลกของทวีปที่สูญหายไปแล้ว
การค้นพบครั้งสำคัญนี้มาจากการพบแร่โบราณในก้อนหินบนเกาะมอริเชียส หลังถูกพ่นออกมาตามลาวาหลังจากภูเขาไฟระเบิด โดยแร่โบราณที่พบนี้ เป็นแร่เซอร์คอนชนิดที่ไม่ควรพบที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งหลังจากการนำผลึกแร่ชนิดนี้ไปตรวจสอบ ก็พบว่ามันมีอายุเก่าแก่เกินกว่าที่จะมาอยู่บนเกาะมอริเชียสได้
Ashwan อธิบายเพิ่มเติมว่า โลกประกอบขึ้นจาก 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ "ทวีป" ซึ่งมีอายุมาก และ "มหาสมุทร" ซึ่งมีอายุน้อย โดยในส่วนของทวีปนั้น ก้อนหินที่อยู่บนพื้นทวีปสามารถมีอายุได้มากถึงหลายพันล้านปี แต่สำหรับในมหาสมุทรนั้นไม่มีชิ้นส่วนใดที่มีอายุเก่าแก่ได้เท่านี้
เกาะมอริเชียสมีอายุแค่ 2-3 ล้านปี แต่เศษแร่ที่พบกลับมีอายุมากถึงประมาณกว่า 3 พันล้านปี จึงสันนิษฐานได้ว่า มันเป็นชิ้นส่วนดั้งเดิมของทวีปโบราณดังกล่าว นอกจากนี้ จากการวิจัยยังชี้ว่าน่าจะมีชิ้นส่วนของทวีปมอริเชีย ในขนาดที่แตกต่างกันออกไปอีกที่ยังไม่พบ ซึ่งคาดว่ากระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วมหาสมุทรอินเดีย
เมื่อประมาณ 85 ล้านปีมาแล้ว มอริเชียเป็นทวีปขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 1 ใน 4 ของเกาะมาดากัสการ์ และตั้งอยู่ระหว่างมาดากัสการ์กับอินเดีย โดยขณะนั้นแผ่นดินทั้ง 3 แห่งตั้งอยู่ใกล้กันมาก แต่ในเวลาต่อมามาดากัสการ์กับอินเดียเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากกัน ทำให้มอริเชียเริ่มยืดตัวและแตกเป็นเสี่ยง Martin Van Kranendunk แห่ง ม.นิวเซาท์เวลส์ ในออสเตรเลียอธิบายว่า เมื่อมอริเชียยืดตัวจนบางลง แผ่นทวีปก็เริ่มจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเหลือเพียงแผ่นดินบางส่วนที่ยังโผล่พ้นน้ำคือ เกาะคาร์กาดอส เกาะคาราจอส เกาะลักกาดีฟ และเกาะชากอส
ภาพจาก Wits University OFFICIAL
Cr.
https://hilight.kapook.com/view/148825
Cr.
https://www.khaophuket.com/พบทวีปที่สาบสูญกลางมหาสมุทรอินเดีย-417.php
Greater Adria
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ "เกรทเตอร์ เอเดรีย" (Greater Adria) ทวีปลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แผ่นเปลือกโลก หลับใหลอยู่ในมหาสมุทรมานานร้อยล้านปี บัดนี้ถูกค้นพบแล้ว เกรทเตอร์ เอเดรีย เป็นชื่อที่ทางมหาวิทยาลัยยูเทรกต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ตั้งให้ มีขนาดเท่าเกาะกรีนแลนด์ 1 เกาะ ซึ่งเชื่อว่าเดิมเป็นแผ่นเปลือกของทวีปแอฟริกาเหนือที่แตกออกมา แล้วฝังอยู่ใต้แผ่นเปลือกยุโรปใต้ยาวนานประมาณ 140 ล้านปี
จนเมื่อเร็วๆนี้ (สิงหาคม 2020) มันก็ถูกค้นพบขณะที่นักวิจัยกำลังรื้อสร้างวิวัฒนาการทางธรณีวิทยาอันสลับซับซ้อนของแผ่นทวีปเมดิเตอร์เรเนียน (กำลังทำโมเดลการเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปในเมดิเตอร์เรเนียน) และที่น่าสนใจกว่าคืออาจจะมีใครหลายคนเคยไปเยือนมันแล้ว
การนักท่องเที่ยวหลายคนเคยไปเยือน เกรทเตอร์ เอเดรีย โดยที่ไม่รู้ตัวนั้น Prof. Downwann Hinsbergen ผู้เขียนบทความวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคระดับโลกและบรรพชีวินวิทยา ณ มหาวิทยาลัยยูเทรกต์ ได้กล่าวว่า "ลืมแอตแลนติสไปได้เลย เพราะนี่คือทวีปที่สาบสูญอยู่ใต้มหาสมุทรที่มีอยู่จริง เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนหลายล้านเคยไปเหยียบที่นั่นกันมาหมดแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้เลย เพราะตอนนี้มันเหลือแค่บริเวณขอบที่อยู่บริเวณเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ใครที่เคยไปแถวนั้นน่าจะต้องเคยเหยียบมันมาแล้ว"
นักวิจัยยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ตามจริงแล้ว "เกรทเตอร์ เอเดรีย" อาจมีขนาดที่ใหญ่กว่าเกาะกรีนแลนด์ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่จมอยู่ใต้มหาสมุทร เศษชิ้นส่วนของแผ่นเปลือกส่วนใหญ่ก็จะหลุดลุ่ยไปตามกาลเวลาและการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลก และเศษชิ้นส่วนแผ่นเปลือกที่หลุดนั้นก็กลายเป็นแนวเทือกเขาแถบยุโรป เช่นเทือกเขาแอลป์ กรีซและตุรกี ซึ่งถือว่าเป็นแถบแผ่นเปลือกที่ค่อนข้างชนกันซับซ้อน ไม่เหมือนกับเทือกเขาหิมาลัยที่จะเป็นระเบียบกว่า
ปัจจุบันแผ่น เกรทเตอร์ เอเดรีย ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นขอบเปลือกที่ยืดยาวออกไปสู่ทะเลเอเดรียติก ตรงจุดนั้นถูกเรียกว่า "จุดเอเดรีย" ซึ่งเชื่อมต่อกับบริเวณเมืองตูริน ทางตอนเหนือของอิตาลีและทอดยาวกลายเป็นฐานล่างรูปทรงรองเท้าบูทอันก่อตัวให้เป็นอิตาลีขึ้นมาในปัจจุบัน แผ่นเกรทเตอร์ เอเดรียที่จมอยู่ใต้ทะเลส่วนใหญ่เป็นน้ำตื้น เต็มไปด้วยแนวปะการังและตะกอนกรวด โดยอยู่ในสภาพเป็นร่องและริ้วคลื่น เนื่องจากเคลื่อนที่ลงไปซุกตัวอยู่ใต้ทวีปยุโรปทางตอนใต้ ทำให้พื้นยกตัวขึ้นกลายเป็นเทือกเขาดังที่กล่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ดี การค้นพบแผ่นทวีปเกรทเตอร์ เอเดรีย ไม่ใช่การค้นพบทวีปใหม่ครั้งแรก เคยมีการค้นพบทวีปใหม่ที่แยกตัวและยังหลงเหลือจากแผ่นกอนด์วานาเมื่อ 200 ล้านปีก่อนด้วย
Cr.ภาพ VFKA / iStock , Shutterstock
Cr.
https://atlantis2509.blogspot.com/2019/10/blog-post.html / เขียนโดย manes
Cr.
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2916486
Large Low Shear Velocity Province
ชั้นโลกหลายชั้นภายในโลกซึ่งเป็นสิ่งที่สำรวจได้ยากมากแม้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ที่ผ่านๆ มาไม่สามารถบอกได้ว่าในพื้นที่ระหว่างชั้นโลกนั้นมีอะไรอยู่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ถูกค้นพบคือที่ใต้โลกของเรานั้นมีภูเขาขนาดใหญ่เท่าทวีปซ่อนอยู่ถึงสองแห่ง
ภูเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มหินร้อนที่ถูกเรียกกันว่า “Large Low Shear Velocity Province” หรือ LLSVP เนื่องจาก เวลาคลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนผ่านพื้นที่นี้ การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนที่ช้าลงเป็นอย่างมาก LLSVP ส่วนที่หนึ่งนั้นตั้งอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนอีกส่วนหนึ่งตั้งอยู่ที่แอฟริกาและบางส่วนของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งหากนำขึ้นมาตั้งบนพื้นโลกมันจะสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสถึง 100 เท่า
ภูเขาใต้ดินนี้ถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงปี 1970 นักวิจัยได้ใช้วิธีใหม่ในการดูภายในโลกคือการตรวจเอกซเรย์คลื่นไหวสะเทือน เมื่อแผ่นดินไหวโลกจะปล่อยคลื่นพลังงานออกไปทุกทิศทาง นักวิทยาศาสตร์ติดตามคลื่นเหล่านั้นไปเมื่อถึงผิวน้ำและคำนวณว่ามาจากไหน ด้วยการดูเวลาในการเดินทางของคลื่นจากแผ่นดินไหวหลายครั้งซึ่งนำมาจากเครื่องมือหลายพันชิ้นทั่วโลก โดยนักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพย้อนกลับภายในของโลกได้ กระบวนการคล้ายกับแพทย์ใช้อุปกรณ์อัลตราซาวนด์เพื่อภาพทารกในครรภ์
อ้างอิงจากแหล่งข้อสันนิษฐานของนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นไปได้ว่า LLSVP จะเกิดจากสารความร้อนสูงที่ระเบิดออกมาจากแกนโลก และเย็นลงในชั้นเนื้อโลกจนมีสภาพแบบในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ตามการกำเนิดของมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป
LLSVP ได้รับชื่อเล่นว่า "Blobs" เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปร่างที่นุ่มและคล้ายก้อนในแผนที่เอกซเรย์ที่คลื่นไหวเวลาสั่นสะเทือน
(ภูเขาไฟ Kīlauea บนเกาะ Big Island ในฮาวายมาจากภูเขาไฟที่ร้อนจัดซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาจเชื่อมโยงกับ Blobs
Cr. iStock.com/Frizi
Blobs ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียก อยู่ด้านล่างของชั้นหินของโลกเหนือแกนนอกที่หลอมละลาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ลึกมากจนองค์ประกอบของโลกถูกบีบจนเกินจะรับรู้ได้ กลุ่มก้อนหินร้อนเหล่านี้อาจถือเป็นกุญแจสำคัญในการไขเรื่องราวในอดีตของโลก
แม้ว่าเรื่องราวของ LLSVP จะยังคงเป็นเรื่องที่ดูลึกลับสำหรับมนุษย์ แต่ก็มีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเช่นกัน อ้างอิงจากวารสาร Nature รูปร่างของ LLSVP นั้นอาจสามารถนำมาอ้างอิงในการทำแผนที่หาเหมืองเพชรได้
ที่มา eos, nature และ livescience
Cr.
https://www.catdumb.com/large-low-shear-velocity-province-378/ By เหมียวศรัทธา
Cr.
https://eos.org/features/the-unsolved-mystery-of-the-earth-blobs / By Jenessa Duncombe
Zealandia
การศึกษาทวีปบนโลกของเรานั้นมีอยู่ 6 ทวีปหลักอยู่ติดกันบนผืนทวีปขนาดใหญ่หรือมหาทวีป ที่ชื่อว่า “ยูเรเชีย” (Eurasia) ในปี 1995 Bruce Luyendyk นักธรณีฟิสิกส์จาก University of California ที่ Santa Barbara ได้กล่าวถึง “ซีแลนเดีย” (Zealandia) ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเรียกพื้นที่ส่วนหนึ่งของนิวซีแลนด์ รวมถึงนิวคาลีโดเนีย และส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำซึ่งแยกจากมหาทวีปโบราณกอนด์วานา
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทวีปซีแลนเดีย เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นทวีปที่ 7 หลังจากพบว่าทวีปนี้มีเปลือกโลกหนากว่าพื้นมหาสมุทร และปัจจุบันเหลือพื้นที่ที่ไม่ได้จมหายไปคือประเทศนิวซีแลนด์ โดยสันนิษฐานว่านิวซีแลนด์นั้นตั้งอยู่บนยอดทวีปซีแลนเดีย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์การวิจัยนี้ในวารสารสมาคมธรณีวิทยาแห่งอเมริกา (Geological Society of America หรือ GSA)
การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมทำให้ได้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม และแผนที่ความโน้มถ่วงของพื้นมหาสมุทรโบราณแสดงให้เห็นว่า ซีแลนเดียนั้นแยกตัวออกมาอย่างชัดเจน โดยพื้นที่ของทวีปซีแลนเดียวัดได้ 5 ล้านตารางกม. และจมอยู่ใต้น้ำถึง 94%
นักวิทยาศาสตร์เผยว่า "ซีแลนเดีย" นั้นแยกห่างออกจากทวีปโบราณกอนด์วานาเมื่อ 100 ล้านปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นิค มอร์ติเมอร์ ผู้เขียนรายงานวิจัยเผยว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามรวบรวมข้อมูลของซีแลนเดียมานานกว่า 20 ปี เพื่อให้ได้การยอมรับให้เป็นอีกหนึ่งทวีปใหม่ที่ควรปรากฏอยู่ในแผนที่โลก
Cr.
https://www.thairath.co.th/content/867882
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ทวีปโบราณที่ถูกพบใต้มหาสมุทร
"ทวีปมอริเชีย" (Mauritia) ซึ่งคาดว่าจมหายลงไปใต้ก้นมหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีก่อน
Levis Ashwan หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Witwatersrand ในแอฟริกาใต้ได้เปิดเผยว่า เบาะแสที่ระบุว่าเคยมีทวีปที่สาบสูญในบริเวณนี้ คือพื้นที่บางส่วนของมหาสมุทรอินเดียที่มีสนามแรงโน้มถ่วง (Gravitational Fields) มากกว่าจุดอื่น บ่งชี้ได้ว่าจุดนั้นน่าจะเป็นแผ่นเปลือกโลกที่หนา ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจเป็นแผ่นเปลือกโลกของทวีปที่จมอยู่ใต้น้ำและกลายเป็นแผ่นเดียวกับผืนแผ่นดินใต้น้ำไป
ตอนนี้ทางทีมวิจัยกำลังศึกษากระบวนการแยกตัวของทวีปดังกล่าว เพื่อที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางด้านธรณีวิทยาของโลก โดยชิ้นส่วนของทวีปที่ถูกพบนี้คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) อันเป็นทวีปขนาดใหญ่สมัยโบราณซึ่งได้แยกตัวออกเป็น ทวีปแอฟริกาแอนตาร์กติกา ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ในปัจจุบัน จากการสำรวจพบว่า ประเทศมอริเชียสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะแมสการีนกลางมหาสมุทรอินเดียมีสนามแรงโน้มถ่วงที่ทรงพลัง และมอริเชียสอาจตั้งอยู่บนเปลือกโลกของทวีปที่สูญหายไปแล้ว
การค้นพบครั้งสำคัญนี้มาจากการพบแร่โบราณในก้อนหินบนเกาะมอริเชียส หลังถูกพ่นออกมาตามลาวาหลังจากภูเขาไฟระเบิด โดยแร่โบราณที่พบนี้ เป็นแร่เซอร์คอนชนิดที่ไม่ควรพบที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งหลังจากการนำผลึกแร่ชนิดนี้ไปตรวจสอบ ก็พบว่ามันมีอายุเก่าแก่เกินกว่าที่จะมาอยู่บนเกาะมอริเชียสได้
Ashwan อธิบายเพิ่มเติมว่า โลกประกอบขึ้นจาก 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ "ทวีป" ซึ่งมีอายุมาก และ "มหาสมุทร" ซึ่งมีอายุน้อย โดยในส่วนของทวีปนั้น ก้อนหินที่อยู่บนพื้นทวีปสามารถมีอายุได้มากถึงหลายพันล้านปี แต่สำหรับในมหาสมุทรนั้นไม่มีชิ้นส่วนใดที่มีอายุเก่าแก่ได้เท่านี้
เกาะมอริเชียสมีอายุแค่ 2-3 ล้านปี แต่เศษแร่ที่พบกลับมีอายุมากถึงประมาณกว่า 3 พันล้านปี จึงสันนิษฐานได้ว่า มันเป็นชิ้นส่วนดั้งเดิมของทวีปโบราณดังกล่าว นอกจากนี้ จากการวิจัยยังชี้ว่าน่าจะมีชิ้นส่วนของทวีปมอริเชีย ในขนาดที่แตกต่างกันออกไปอีกที่ยังไม่พบ ซึ่งคาดว่ากระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วมหาสมุทรอินเดีย
เมื่อประมาณ 85 ล้านปีมาแล้ว มอริเชียเป็นทวีปขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 1 ใน 4 ของเกาะมาดากัสการ์ และตั้งอยู่ระหว่างมาดากัสการ์กับอินเดีย โดยขณะนั้นแผ่นดินทั้ง 3 แห่งตั้งอยู่ใกล้กันมาก แต่ในเวลาต่อมามาดากัสการ์กับอินเดียเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากกัน ทำให้มอริเชียเริ่มยืดตัวและแตกเป็นเสี่ยง Martin Van Kranendunk แห่ง ม.นิวเซาท์เวลส์ ในออสเตรเลียอธิบายว่า เมื่อมอริเชียยืดตัวจนบางลง แผ่นทวีปก็เริ่มจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเหลือเพียงแผ่นดินบางส่วนที่ยังโผล่พ้นน้ำคือ เกาะคาร์กาดอส เกาะคาราจอส เกาะลักกาดีฟ และเกาะชากอส
ภาพจาก Wits University OFFICIAL
Cr.https://hilight.kapook.com/view/148825
Cr.https://www.khaophuket.com/พบทวีปที่สาบสูญกลางมหาสมุทรอินเดีย-417.php
จนเมื่อเร็วๆนี้ (สิงหาคม 2020) มันก็ถูกค้นพบขณะที่นักวิจัยกำลังรื้อสร้างวิวัฒนาการทางธรณีวิทยาอันสลับซับซ้อนของแผ่นทวีปเมดิเตอร์เรเนียน (กำลังทำโมเดลการเคลื่อนที่ของแผ่นทวีปในเมดิเตอร์เรเนียน) และที่น่าสนใจกว่าคืออาจจะมีใครหลายคนเคยไปเยือนมันแล้ว
การนักท่องเที่ยวหลายคนเคยไปเยือน เกรทเตอร์ เอเดรีย โดยที่ไม่รู้ตัวนั้น Prof. Downwann Hinsbergen ผู้เขียนบทความวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคระดับโลกและบรรพชีวินวิทยา ณ มหาวิทยาลัยยูเทรกต์ ได้กล่าวว่า "ลืมแอตแลนติสไปได้เลย เพราะนี่คือทวีปที่สาบสูญอยู่ใต้มหาสมุทรที่มีอยู่จริง เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนหลายล้านเคยไปเหยียบที่นั่นกันมาหมดแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้เลย เพราะตอนนี้มันเหลือแค่บริเวณขอบที่อยู่บริเวณเมืองตูริน ประเทศอิตาลี ใครที่เคยไปแถวนั้นน่าจะต้องเคยเหยียบมันมาแล้ว"
นักวิจัยยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ตามจริงแล้ว "เกรทเตอร์ เอเดรีย" อาจมีขนาดที่ใหญ่กว่าเกาะกรีนแลนด์ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่จมอยู่ใต้มหาสมุทร เศษชิ้นส่วนของแผ่นเปลือกส่วนใหญ่ก็จะหลุดลุ่ยไปตามกาลเวลาและการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลก และเศษชิ้นส่วนแผ่นเปลือกที่หลุดนั้นก็กลายเป็นแนวเทือกเขาแถบยุโรป เช่นเทือกเขาแอลป์ กรีซและตุรกี ซึ่งถือว่าเป็นแถบแผ่นเปลือกที่ค่อนข้างชนกันซับซ้อน ไม่เหมือนกับเทือกเขาหิมาลัยที่จะเป็นระเบียบกว่า
ปัจจุบันแผ่น เกรทเตอร์ เอเดรีย ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นขอบเปลือกที่ยืดยาวออกไปสู่ทะเลเอเดรียติก ตรงจุดนั้นถูกเรียกว่า "จุดเอเดรีย" ซึ่งเชื่อมต่อกับบริเวณเมืองตูริน ทางตอนเหนือของอิตาลีและทอดยาวกลายเป็นฐานล่างรูปทรงรองเท้าบูทอันก่อตัวให้เป็นอิตาลีขึ้นมาในปัจจุบัน แผ่นเกรทเตอร์ เอเดรียที่จมอยู่ใต้ทะเลส่วนใหญ่เป็นน้ำตื้น เต็มไปด้วยแนวปะการังและตะกอนกรวด โดยอยู่ในสภาพเป็นร่องและริ้วคลื่น เนื่องจากเคลื่อนที่ลงไปซุกตัวอยู่ใต้ทวีปยุโรปทางตอนใต้ ทำให้พื้นยกตัวขึ้นกลายเป็นเทือกเขาดังที่กล่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ดี การค้นพบแผ่นทวีปเกรทเตอร์ เอเดรีย ไม่ใช่การค้นพบทวีปใหม่ครั้งแรก เคยมีการค้นพบทวีปใหม่ที่แยกตัวและยังหลงเหลือจากแผ่นกอนด์วานาเมื่อ 200 ล้านปีก่อนด้วย
Cr.ภาพ VFKA / iStock , Shutterstock
Cr.https://atlantis2509.blogspot.com/2019/10/blog-post.html / เขียนโดย manes
Cr.https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2916486
ชั้นโลกหลายชั้นภายในโลกซึ่งเป็นสิ่งที่สำรวจได้ยากมากแม้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ที่ผ่านๆ มาไม่สามารถบอกได้ว่าในพื้นที่ระหว่างชั้นโลกนั้นมีอะไรอยู่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ถูกค้นพบคือที่ใต้โลกของเรานั้นมีภูเขาขนาดใหญ่เท่าทวีปซ่อนอยู่ถึงสองแห่ง
ภูเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มหินร้อนที่ถูกเรียกกันว่า “Large Low Shear Velocity Province” หรือ LLSVP เนื่องจาก เวลาคลื่นแผ่นดินไหวเคลื่อนผ่านพื้นที่นี้ การสั่นสะเทือนจะเคลื่อนที่ช้าลงเป็นอย่างมาก LLSVP ส่วนที่หนึ่งนั้นตั้งอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนอีกส่วนหนึ่งตั้งอยู่ที่แอฟริกาและบางส่วนของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งหากนำขึ้นมาตั้งบนพื้นโลกมันจะสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสถึง 100 เท่า
ภูเขาใต้ดินนี้ถูกพบครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงปี 1970 นักวิจัยได้ใช้วิธีใหม่ในการดูภายในโลกคือการตรวจเอกซเรย์คลื่นไหวสะเทือน เมื่อแผ่นดินไหวโลกจะปล่อยคลื่นพลังงานออกไปทุกทิศทาง นักวิทยาศาสตร์ติดตามคลื่นเหล่านั้นไปเมื่อถึงผิวน้ำและคำนวณว่ามาจากไหน ด้วยการดูเวลาในการเดินทางของคลื่นจากแผ่นดินไหวหลายครั้งซึ่งนำมาจากเครื่องมือหลายพันชิ้นทั่วโลก โดยนักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างภาพย้อนกลับภายในของโลกได้ กระบวนการคล้ายกับแพทย์ใช้อุปกรณ์อัลตราซาวนด์เพื่อภาพทารกในครรภ์
อ้างอิงจากแหล่งข้อสันนิษฐานของนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นไปได้ว่า LLSVP จะเกิดจากสารความร้อนสูงที่ระเบิดออกมาจากแกนโลก และเย็นลงในชั้นเนื้อโลกจนมีสภาพแบบในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้นก็ตามการกำเนิดของมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์กันต่อไป
LLSVP ได้รับชื่อเล่นว่า "Blobs" เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปร่างที่นุ่มและคล้ายก้อนในแผนที่เอกซเรย์ที่คลื่นไหวเวลาสั่นสะเทือน
Blobs ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียก อยู่ด้านล่างของชั้นหินของโลกเหนือแกนนอกที่หลอมละลาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ลึกมากจนองค์ประกอบของโลกถูกบีบจนเกินจะรับรู้ได้ กลุ่มก้อนหินร้อนเหล่านี้อาจถือเป็นกุญแจสำคัญในการไขเรื่องราวในอดีตของโลก
แม้ว่าเรื่องราวของ LLSVP จะยังคงเป็นเรื่องที่ดูลึกลับสำหรับมนุษย์ แต่ก็มีวิธีใช้ประโยชน์จากมันเช่นกัน อ้างอิงจากวารสาร Nature รูปร่างของ LLSVP นั้นอาจสามารถนำมาอ้างอิงในการทำแผนที่หาเหมืองเพชรได้
ที่มา eos, nature และ livescience
Cr. https://www.catdumb.com/large-low-shear-velocity-province-378/ By เหมียวศรัทธา
Cr.https://eos.org/features/the-unsolved-mystery-of-the-earth-blobs / By Jenessa Duncombe
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทวีปซีแลนเดีย เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นทวีปที่ 7 หลังจากพบว่าทวีปนี้มีเปลือกโลกหนากว่าพื้นมหาสมุทร และปัจจุบันเหลือพื้นที่ที่ไม่ได้จมหายไปคือประเทศนิวซีแลนด์ โดยสันนิษฐานว่านิวซีแลนด์นั้นตั้งอยู่บนยอดทวีปซีแลนเดีย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ตีพิมพ์การวิจัยนี้ในวารสารสมาคมธรณีวิทยาแห่งอเมริกา (Geological Society of America หรือ GSA)
การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมทำให้ได้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม และแผนที่ความโน้มถ่วงของพื้นมหาสมุทรโบราณแสดงให้เห็นว่า ซีแลนเดียนั้นแยกตัวออกมาอย่างชัดเจน โดยพื้นที่ของทวีปซีแลนเดียวัดได้ 5 ล้านตารางกม. และจมอยู่ใต้น้ำถึง 94%
นักวิทยาศาสตร์เผยว่า "ซีแลนเดีย" นั้นแยกห่างออกจากทวีปโบราณกอนด์วานาเมื่อ 100 ล้านปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นิค มอร์ติเมอร์ ผู้เขียนรายงานวิจัยเผยว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามรวบรวมข้อมูลของซีแลนเดียมานานกว่า 20 ปี เพื่อให้ได้การยอมรับให้เป็นอีกหนึ่งทวีปใหม่ที่ควรปรากฏอยู่ในแผนที่โลก
Cr.https://www.thairath.co.th/content/867882
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)