ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
------------------
อรรถกถา คังคมาลชาดก
ว่าด้วย กามทั้งหลายเกิดจากความดำริ
ความนำ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
ทรงปรารภอุโบสถกรรม จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า องฺคารชาตา ดังนี้.
ปัจจุบันชาติ
ความย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกพวกรักษาอุโบสถมาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทำอุโบสถกรรมให้สำเร็จดีแล้ว ผู้ที่รักษาอุโบสถควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญเมตตา อยู่รักษาอุโบสถ ก็บัณฑิตครั้งก่อนได้ยศใหญ่ เพราะอาศัยอุโบสถกรรมที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้
พวกอุบาสกเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
อดีตชาติเนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า สุจิบริวาร มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นผู้ยินดีในบุญกุศล มีให้ทานเป็นต้น ทุกคนภายในบ้านรวมถึงบริวาร ทั้งหมดพากันรักษาศีลอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นคนยากจนเข็ญใจ ได้ไปขอทำงานรับจ้างกับท่านเศรษฐี
ปกติก่อนที่ท่านเศรษฐีจะรับคนเข้าทำงาน ท่านจะถามก่อนว่ารักษาศีลได้หรือไม่ ถ้ารักษาศีลได้ ก็ทำงานที่นี่ได้ แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ ท่านเศรษฐีรับเข้าทำงานโดยไม่ได้บอกให้รักษาศีล
เมื่อถึงวันอุโบสถ ทุกคนในบ้านรักษาอุโบสถกันหมด เว้นแต่พระโพธิสัตว์ซึ่งไม่ทราบความเรื่องนี้ ได้ออกไปทำงานตลอดวัน กลับมาก็ตอนที่พระอาทิตย์ตกแล้ว
เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถกันอยู่ ก็คิดว่า เราเป็นคนทุศีลคนเดียว จึงขอรักษาศีลอุโบสถทั้งที่ผ่านไปแล้วครึ่งวัน
คืนนั้นพระโพธิสัตว์ได้ป่วยหนัก เมื่อใกล้สิ้นใจ ตอนรุ่งเช้าพระเจ้าพาราณสีเสด็จผ่านมาทางนั้น พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริราชสมบัติของพระเจ้าพาราณสี เกิดความโลภอยากได้ราชสมบัติ
เมื่อพระโพธิสัตว์สิ้นใจแล้วได้ไปเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสีเพราะอานิสงส์แห่งอุโบสถกรรมครึ่งหนึ่ง มีพระนามว่า
อุทัยกุมาร พระองค์นั้นสามารถระลึกชาติได้ จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมเล็กน้อยของเรา ครั้นพระราชบิดาสวรรคต พระองค์ได้ครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
วันหนึ่ง พระเจ้าอุทัยราชเปิดสีหบัญชรประทับยืนอยู่ ทอดพระเนตรเห็นบุรุษรับจ้างคนหนึ่งเดินมาเพื่อจะไปเอาเงินครึ่งมาสกที่เก็บซ่อนไว้ ไปเที่ยวงานมหรสพกับภรรยา ทรงเห็นเขาร่าเริงจึงสั่งให้ราชบุรุษไปพาตัวเขามาแล้วตรัสถามด้วย ๒ คาถาว่า
แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดาดาษไปด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ
เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ?
บุรุษรับจ้างนั้นได้ฟังดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็นคาถาที่ ๓ ว่า
ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่ แต่ว่าวัตถุกามและกิเลสกามย่อมเผาข้าพระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ อย่างมีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระองค์ แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่
แล้วเขาก็กราบทูลเรื่องราวให้ฟัง
พระราชาได้โปรดพระราชทานเงินให้เขาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลับไปเอาเงินที่ซ่อนไว้นั้น แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะไปเอาเงินนั้นให้ได้ ในที่สุดพระองค์ตรัสจะยกราชสมบัติครึ่งหนึ่งให้เขา เขาจึงยินยอมรับพระดำรัส และได้นามว่า
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช
วันหนึ่ง พระราชาทั้ง ๒ พระองค์เที่ยวในพระราชอุทยาน พระเจ้าอุทัยได้ทรงบรรทมหลับ พระเจ้าอัฑฒมาสกราชเกิดความโลภคิดจะฆ่าพระเจ้าอุทัยราชเพื่อจะครองราชสมบัติเพียงผู้เดียว แต่แล้วเพราะสติและความกตัญญูจึงทำให้พระองค์ได้สติและได้ปลุกพระสหายเล่าความจริงให้ฟัง
พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า เมื่อท่านอยากได้ครองราชสมบัติก็จงครองเถิด ส่วนเราจะขอเป็นอุปราชทำนุบำรุงท่าน
พระเจ้าอัฑฒมาสกราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ
เพราะตัณหานี้จักให้ข้าพระองค์ไปเกิดในอบาย พระองค์จงครอบครองราชสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด ข้าพระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้าพระองค์เห็นแล้ว ความจริงกามคุณนี้เจริญแก่ผู้ดำริอยู่ บัดนี้แต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ดำริถึงอีกเลย
ทรงเห็นโทษในกามเปล่งอุทาน ได้ตรัสคาถาที่ ๔ ว่า
ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้
เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนผู้ประกอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕ ความว่า
กามแม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด
จากนั้น พระเจ้าอัฒฑมาสกราชได้เข้าไปบวชในป่าหิมพานต์ทำฌานและอภิญญาให้เกิด พระเจ้าอุทัยราชจึงได้ตรัสคาถาที่ ๖ ว่า
การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราชถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรมมีประมาณน้อยของเรา
มาณพใดละกามราคะออกบวชแล้ว มาณพนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว
ก็เนื้อความของคาถานี้ไม่มีใครรู้ความหมาย แต่พระราชเทวีต้องการจะรู้
พระราชามีช่างตัดผมคนหนึ่งชื่อ
คังคมาล ช่างตัดผมคนนี้ทำงานไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยพระองค์นัก วันหนึ่งจึงได้ตรัสบอกความเรื่องนี้แก่พระราชเทวีว่า ที่พระองค์โปรดควรเป็นอย่างไร พระนางจึงออกอุบายให้ช่างตัดผมทำให้พระราชาโปรดปรานเพื่อจะได้พระราชทานพร เมื่อพระราชาพระราชทานพร ช่างตัดผมจึงขอพรเพื่อจะได้ทราบคาถาที่ ๖ ที่พระราชาโปรดที่จะตรัสอยู่เนือง ๆ
พระราชาจึงตรัสบอกเรื่องราวทั้งหมดว่า
ดูก่อนคังคมาละ ในภพก่อน เราเกิดเป็นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทธารักษาศีลครึ่งวัน จุติจากอัตตภาพนั้น ได้มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเราละกามราคะไปบวชแล้ว เราเป็นคนประมาท หลงครองราชสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างท้าย
นายช่างตัดผมได้ฟังก็เกิดความเลื่อมใสจึงทูลขออนุญาตออกบวชเป็นฤๅษี ยกไตรลักษณ์ขึ้นเจริญวิปัสสนาได้บรรลุความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าและไปจำพรรษาที่ภูเขาคันธมาทน์ ๕ พรรษาและกลับมาเยี่ยมพระราชา
เมื่อพระราชาและพระราชชนนีเข้าไปนมัสการ พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เรียกพระราชาด้วยชื่อว่า พรหมทัต ทำให้พระราชชนนีพิโรธที่เรียกพระโอรสของพระนางซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินเช่นนั้น จึงได้ตรัสคาถาที่ ๗ ว่า
สัตว์ทั้งหลายย่อมละกรรมชั่วด้วยตบะ แต่สัตว์เหล่านั้นจะละความเป็นคนผู้ใช้หม้อตักน้ำให้เขาอาบได้หรือ แน่ะคังคมาละ การที่ท่านข่มขี่ด้วยตบะ แล้วร้องเรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น ไม่เป็นการสมควรเลย
พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้วเมื่อจะประกาศคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า
ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลายพร้อมทั้งพระราชาและอำมาตย์ พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตรดูผลแห่งขันติและโสรัจจะในปัจจุบันเถิด
แม้ถึงกระนั้นมหาชนก็พากันไม่พอใจที่เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเรียกชื่อพระราชาเช่นนั้น แต่พระราชาได้ทรงห้ามไว้ เพื่อจะแสดงคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงได้ตรัสคาถาสุดท้ายว่า
ท่านทั้งหลายอย่าได้กล่าวอะไรๆ กะท่านคังคมาละผู้เป็นพระปัจเจกมุนี ศึกษาอยู่ในคลองมุนี ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้าคังคมาละนี้ ข้ามห้วงน้ำที่พระปัจเจกมุนีทั้งหลายข้ามแล้ว หมดความเศร้าโศกเที่ยวไป
พระราชาครั้นตรัสดังนี้แล้ว ได้ถวายนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า และขอให้ยกโทษแก่พระราชชนนี
ส่วนพวกราชบริษัทก็พากันขอขมาโทษพระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะกลับไปยังภูเขาคันธมาทน์
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการอยู่รักษาอุโบสถ เป็นกิจที่บุคคลควรอยู่รักษาด้วยประการฉะนี้
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ได้มาเป็น พระอานนท์
พระราชชนนี ได้มาเป็น พระมหามายา
พระอัครมเหสี ได้มาเป็น มารดาพระราหุล
ส่วนพระเจ้าอุทัยราช ได้มาเป็น เราตถาคต
๛ ผู้ใดได้เห็นทุกข์มีกามเป็นเหตุแล้ว ไฉนผู้นั้นจะพึงน้อมใจไปในกามเล่า ๛
------------------
อรรถกถา คังคมาลชาดก
ว่าด้วย กามทั้งหลายเกิดจากความดำริ
ความนำ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอุโบสถกรรม จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า องฺคารชาตา ดังนี้.
ปัจจุบันชาติ
ความย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกพวกรักษาอุโบสถมาแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทำอุโบสถกรรมให้สำเร็จดีแล้ว ผู้ที่รักษาอุโบสถควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญเมตตา อยู่รักษาอุโบสถ ก็บัณฑิตครั้งก่อนได้ยศใหญ่ เพราะอาศัยอุโบสถกรรมที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้
พวกอุบาสกเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
อดีตชาติเนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่า สุจิบริวาร มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นผู้ยินดีในบุญกุศล มีให้ทานเป็นต้น ทุกคนภายในบ้านรวมถึงบริวาร ทั้งหมดพากันรักษาศีลอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นคนยากจนเข็ญใจ ได้ไปขอทำงานรับจ้างกับท่านเศรษฐี
ปกติก่อนที่ท่านเศรษฐีจะรับคนเข้าทำงาน ท่านจะถามก่อนว่ารักษาศีลได้หรือไม่ ถ้ารักษาศีลได้ ก็ทำงานที่นี่ได้ แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ ท่านเศรษฐีรับเข้าทำงานโดยไม่ได้บอกให้รักษาศีล
เมื่อถึงวันอุโบสถ ทุกคนในบ้านรักษาอุโบสถกันหมด เว้นแต่พระโพธิสัตว์ซึ่งไม่ทราบความเรื่องนี้ ได้ออกไปทำงานตลอดวัน กลับมาก็ตอนที่พระอาทิตย์ตกแล้ว
เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถกันอยู่ ก็คิดว่า เราเป็นคนทุศีลคนเดียว จึงขอรักษาศีลอุโบสถทั้งที่ผ่านไปแล้วครึ่งวัน
คืนนั้นพระโพธิสัตว์ได้ป่วยหนัก เมื่อใกล้สิ้นใจ ตอนรุ่งเช้าพระเจ้าพาราณสีเสด็จผ่านมาทางนั้น พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริราชสมบัติของพระเจ้าพาราณสี เกิดความโลภอยากได้ราชสมบัติ
เมื่อพระโพธิสัตว์สิ้นใจแล้วได้ไปเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสีเพราะอานิสงส์แห่งอุโบสถกรรมครึ่งหนึ่ง มีพระนามว่า อุทัยกุมาร พระองค์นั้นสามารถระลึกชาติได้ จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมเล็กน้อยของเรา ครั้นพระราชบิดาสวรรคต พระองค์ได้ครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
วันหนึ่ง พระเจ้าอุทัยราชเปิดสีหบัญชรประทับยืนอยู่ ทอดพระเนตรเห็นบุรุษรับจ้างคนหนึ่งเดินมาเพื่อจะไปเอาเงินครึ่งมาสกที่เก็บซ่อนไว้ ไปเที่ยวงานมหรสพกับภรรยา ทรงเห็นเขาร่าเริงจึงสั่งให้ราชบุรุษไปพาตัวเขามาแล้วตรัสถามด้วย ๒ คาถาว่า
แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดาดาษไปด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ
เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ?
บุรุษรับจ้างนั้นได้ฟังดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็นคาถาที่ ๓ ว่า
ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่ แต่ว่าวัตถุกามและกิเลสกามย่อมเผาข้าพระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ อย่างมีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระองค์ แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่
แล้วเขาก็กราบทูลเรื่องราวให้ฟัง
พระราชาได้โปรดพระราชทานเงินให้เขาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลับไปเอาเงินที่ซ่อนไว้นั้น แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะไปเอาเงินนั้นให้ได้ ในที่สุดพระองค์ตรัสจะยกราชสมบัติครึ่งหนึ่งให้เขา เขาจึงยินยอมรับพระดำรัส และได้นามว่าพระเจ้าอัฑฒมาสกราช
วันหนึ่ง พระราชาทั้ง ๒ พระองค์เที่ยวในพระราชอุทยาน พระเจ้าอุทัยได้ทรงบรรทมหลับ พระเจ้าอัฑฒมาสกราชเกิดความโลภคิดจะฆ่าพระเจ้าอุทัยราชเพื่อจะครองราชสมบัติเพียงผู้เดียว แต่แล้วเพราะสติและความกตัญญูจึงทำให้พระองค์ได้สติและได้ปลุกพระสหายเล่าความจริงให้ฟัง
พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า เมื่อท่านอยากได้ครองราชสมบัติก็จงครองเถิด ส่วนเราจะขอเป็นอุปราชทำนุบำรุงท่าน
พระเจ้าอัฑฒมาสกราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ เพราะตัณหานี้จักให้ข้าพระองค์ไปเกิดในอบาย พระองค์จงครอบครองราชสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด ข้าพระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้าพระองค์เห็นแล้ว ความจริงกามคุณนี้เจริญแก่ผู้ดำริอยู่ บัดนี้แต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ดำริถึงอีกเลย
ทรงเห็นโทษในกามเปล่งอุทาน ได้ตรัสคาถาที่ ๔ ว่า
ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้
เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนผู้ประกอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕ ความว่า
กามแม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด
จากนั้น พระเจ้าอัฒฑมาสกราชได้เข้าไปบวชในป่าหิมพานต์ทำฌานและอภิญญาให้เกิด พระเจ้าอุทัยราชจึงได้ตรัสคาถาที่ ๖ ว่า
การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราชถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรมมีประมาณน้อยของเรา
มาณพใดละกามราคะออกบวชแล้ว มาณพนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว
ก็เนื้อความของคาถานี้ไม่มีใครรู้ความหมาย แต่พระราชเทวีต้องการจะรู้
พระราชามีช่างตัดผมคนหนึ่งชื่อ คังคมาล ช่างตัดผมคนนี้ทำงานไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยพระองค์นัก วันหนึ่งจึงได้ตรัสบอกความเรื่องนี้แก่พระราชเทวีว่า ที่พระองค์โปรดควรเป็นอย่างไร พระนางจึงออกอุบายให้ช่างตัดผมทำให้พระราชาโปรดปรานเพื่อจะได้พระราชทานพร เมื่อพระราชาพระราชทานพร ช่างตัดผมจึงขอพรเพื่อจะได้ทราบคาถาที่ ๖ ที่พระราชาโปรดที่จะตรัสอยู่เนือง ๆ
พระราชาจึงตรัสบอกเรื่องราวทั้งหมดว่า ดูก่อนคังคมาละ ในภพก่อน เราเกิดเป็นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทธารักษาศีลครึ่งวัน จุติจากอัตตภาพนั้น ได้มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเราละกามราคะไปบวชแล้ว เราเป็นคนประมาท หลงครองราชสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างท้าย
นายช่างตัดผมได้ฟังก็เกิดความเลื่อมใสจึงทูลขออนุญาตออกบวชเป็นฤๅษี ยกไตรลักษณ์ขึ้นเจริญวิปัสสนาได้บรรลุความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าและไปจำพรรษาที่ภูเขาคันธมาทน์ ๕ พรรษาและกลับมาเยี่ยมพระราชา
เมื่อพระราชาและพระราชชนนีเข้าไปนมัสการ พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เรียกพระราชาด้วยชื่อว่า พรหมทัต ทำให้พระราชชนนีพิโรธที่เรียกพระโอรสของพระนางซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินเช่นนั้น จึงได้ตรัสคาถาที่ ๗ ว่า
สัตว์ทั้งหลายย่อมละกรรมชั่วด้วยตบะ แต่สัตว์เหล่านั้นจะละความเป็นคนผู้ใช้หม้อตักน้ำให้เขาอาบได้หรือ แน่ะคังคมาละ การที่ท่านข่มขี่ด้วยตบะ แล้วร้องเรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น ไม่เป็นการสมควรเลย
พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้วเมื่อจะประกาศคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า
ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลายพร้อมทั้งพระราชาและอำมาตย์ พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตรดูผลแห่งขันติและโสรัจจะในปัจจุบันเถิด
แม้ถึงกระนั้นมหาชนก็พากันไม่พอใจที่เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเรียกชื่อพระราชาเช่นนั้น แต่พระราชาได้ทรงห้ามไว้ เพื่อจะแสดงคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงได้ตรัสคาถาสุดท้ายว่า
ท่านทั้งหลายอย่าได้กล่าวอะไรๆ กะท่านคังคมาละผู้เป็นพระปัจเจกมุนี ศึกษาอยู่ในคลองมุนี ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้าคังคมาละนี้ ข้ามห้วงน้ำที่พระปัจเจกมุนีทั้งหลายข้ามแล้ว หมดความเศร้าโศกเที่ยวไป
พระราชาครั้นตรัสดังนี้แล้ว ได้ถวายนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า และขอให้ยกโทษแก่พระราชชนนี
ส่วนพวกราชบริษัทก็พากันขอขมาโทษพระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะกลับไปยังภูเขาคันธมาทน์
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการอยู่รักษาอุโบสถ เป็นกิจที่บุคคลควรอยู่รักษาด้วยประการฉะนี้
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ได้มาเป็น พระอานนท์
พระราชชนนี ได้มาเป็น พระมหามายา
พระอัครมเหสี ได้มาเป็น มารดาพระราหุล
ส่วนพระเจ้าอุทัยราช ได้มาเป็น เราตถาคต
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1155&p=1
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4910&Z=4937
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=15&A=3762&Z=3798