ปลายฟ้ากับปริศนาฆาตกรรม [Case 1 : ฆาตกรรมที่พิพิธภัณฑ์] - ตอนที่ 6 คนตายที่ห้องทดลอง

สวัสดีครับทุกท่าน นำตอนใหม่มาให้อ่านแล้วครับ คราวนี้เรามาดูอีกคดีที่เกิดซ้อนขึ้นมากันว่าเป็นอย่างไร

โปรดทราบก่อนอ่าน

******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้  ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ  (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ตอนที่ 6 : คนตายที่ห้องทดลอง

    ขอย้อนกลับไปก่อนที่มีนจะโทรหาปลายฟ้า

    ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ปลายฟ้าเรียนจบระดับปริญญาตรี และมีนแฟนสาวของเขาก็เคยเรียนด้วย

    โดยหลังจากปลายฟ้าเรียนจบได้ไม่นานก็สอบบรรจุเข้าทำงานที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ ส่วนมีนนั้นตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโทในสาขาเดิมที่มหาวิทยาลัยนี้

    “ฮ้าว...”

    มีนอ้าปากหาวเล็กน้อยขณะกำลังเดินทางไปอาคารเรียน วันนี้เธอตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องรีบไปห้องทดลอง เพื่อไปทำชุดทดลองโปรเจกต์ต่อ

    ในสมัยเรียนนั้นมีนเคยไว้ผมซอยสั้นราวกับทอมบอย แต่ว่าตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นผมยาวมัดรวบ  แถมยังเพิ่มเติมด้วยการสวมใส่แว่นตาอีกด้วย ซึ่งเหตุที่เธอต้องเปลี่ยนแปลงทรงผม เพราะว่าเธอไม่มีเวลามาดูแลทรงผมสักเท่าไรแล้ว เนื่องจากเรียนหนัก อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนจากคอนแทคเลนส์เป็นแว่นตา เพื่อความสะดวกด้วย

    “ไม่ค่อยได้ตื่นเช้าสินะ” นักศึกษาหนุ่มปริญญาโทที่เดินข้าง ๆ มีนพูดขึ้นมา

          เขาชื่อเล่นว่า แอล หนึ่งในลูกสมุนคนสนิทของปลายฟ้าในสมัยเรียน

          แอลเองก็เป็นนักศึกษาปริญญาโทเช่นเดียวกับมีน แต่ทรงผมไมได้เปลี่ยนไปอย่างมีนด้วยหรอก เขาเงียบขรึม มักพูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพียงแต่พอมาเรียนปริญญาโท พรรคพวกที่ชอบพูดชอบคุยหายไปหมด จึงต้องกลายเป็นคนเอ่ยเปิดประเด็นอยู่หลายครั้ง  

          “ไม่เหมือนที่เค้าว่านะ” แอลพูดต่อ

          “เอ่อ... ที่เค้าว่า มันหมายความว่าไง?” น้ำเสียงห้าว ๆ ของมีนถามกลับ

          “ก็ที่เค้าบอกว่า ‘คนฉลาดมักตื่นเช้า’”

          “เออ ฉันไม่ได้ฉลาดนะ ..นักศึกษา ป.โท ธรรมดา” หญิงสาวสวนตอบทันที

          “งั้นก็แสดงว่า คำกล่าวนี้จะไม่ใช่ความจริง” แอลทำท่านึก “อาจจะใช่ เพราะพี่ปลายเองก็ตื่นสายเป็นประจำ”

           ซึ่งก็เป็นจริงอย่างแอลว่า เพราะในตอนแรกปลายฟ้าก็ตื่นสาย ต้องรีบร้อนไปทำงานเลยทีเดียว

          “นั่นมันเป็นนิสัยส่วนตัวมากกว่า..” สาวห้าวบอก “พวกขี้เกียจตื่นก็แบบนี้แหละ”

           เธอแขวะแฟนตัวเองเล็กน้อยอีกด้วย

        “อ้าว.. งั้นมีนก็ว่าตัวเองด้วยสิ มีนก็ตื่นสายนะ” ชายหนุ่มมองเธอ คลี่ยิ้มเล็กน้อย

    “เออ ลืม.. ไม่น่าพูดเลย เข้าตัวซะได้เลยเรา” มีนทำหน้ากวน ๆ ไม่ได้ติดใจกับการแซวของเพื่อนอยู่แล้ว

    “แล้วช่วงนี้พี่ปลายเป็นไงบ้าง?” แอลถาม ที่เขาเรียกปลายฟ้าว่า พี่ เนื่องจากสมัยเรียนปลายฟ้าเป็นลูกพี่ใหญ่ของกลุ่ม จึงเรียกจนติดมาถึงตอนนี้

    “ก็ปกตินะ ไม่เห็นว่าอะไรเลย ...แอลไม่ได้คุยกับปลายเลยเหรอ?”

    “ไม่เชิงนะ แต่พอโทรไปทีไร พี่ปลายมักบอกว่ายุ่งอยู่ หรือไม่ก็ติดสายอยู่”

    “อืม...” มีนนิ่งฟัง ครุ่นคิดตาม “แล้วโทรหาปลายช่วงไหนล่ะ?”

    “สี่-ห้าทุ่ม”

    “อ้อ.. มิน่าล่ะ ปลายถึงไม่ได้คุยด้วย” เธอพูดพร้อมคลี่ยิ้มเล็ก ๆ เหมือนรู้คำตอบว่า เหตุใดปลายฟ้าจึงไม่ว่างคุยกับแอล

    “ทำไมเหรอ?”

    “อ่ะ.. ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย” สาวห้าวยิ้ม ๆ เลี่ยงบอกความจริง

        ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงก็เพราะมีนนั่นเอง ช่วงเวลาสี่ทุ่มห้าทุ่มนั้นปลายฟ้ามักโทรศัพท์คุยกับมีน จึงไม่ว่างคุยและติดสายอยู่บ่อย ๆ ตัวมีนเองก็รู้ เลยไม่ยอมบอกแอลถึงคำตอบของคำถามนี้

        ทั้งสองเดินตามทางไปเรื่อย ๆ มีหยุดทักทายกับผู้ผ่านมาบ้าง สักพักก็มีคนผู้หนึ่งร้องเรียกพวกเขา

         “แอล.. มีน.. ไปไหนเหรอ?”

        เสียงนี้ดังมาทางด้านหลังของทั้งสอง สาวห้าวกับแอลหยุดเดิน หันกลับมองผู้พูดทันที

        ผู้เรียกเป็นนักศึกษาปริญญาโทเช่นเดียวกับทั้งสอง เขามีชื่อว่า วิชาญ

         “เอ่อ.. จะไปห้องแล็บน่ะชาญ” มีนบอก เธอเรียกเขาสั้น ๆ ว่า ชาญ

        “เหรอ... พอดีจะไปใช้ห้องแล็บภาคฯเหมือนกัน” วิชาญตอบ ก้าวเดินมาอยู่ข้าง ๆ มีน

         “ชาญ.. โปรเจกต์นายไปถึงไหนแล้วล่ะ?” สาวห้าวถาม

         “เกือบครึ่งล่ะ ยังต้องคอยดูแลและควบคุมการทดลองอยู่ดี” วิชาญบอก พลางหยิบเอกสารที่ถือขึ้นมาดู “..เนี่ย.. ต้องเอาตัวอย่างอาหาร ไปเข้าเครื่องตรวจอีกน่ะ ..อาจารย์เค้าให้ตรวจเพิ่ม”

         “ก็พอ ๆ กันแหละ ไม่นึกเหมือนกันว่าป.โท โปรเจกต์มันจะยุ่งยากมากกว่าตอน ป.ตรี หลายเท่าอย่างนี้ แต่ชาญจบมาที่อื่นนี่ ตอนเรียน ป.ตรี เป็นไงบ้างล่ะ?”

        “ก็ยากนะ แต่ส่วนใหญ่ฉันไม่ค่อยยุ่งหรือทำกิจกรรมอื่นสักเท่าไร เน้นเรียนอย่างเดียว” ชายหนุ่มตอบ

        “ก็ดีนะ” มีนบอกพลางนึกถึงบางเรื่อง “ผิดกับเรานะ ตอน ป. ตรีเจอแต่เรื่องแปลก ๆ ประจำ จริงไหมแอล?”

         “อือ..” แอลพยักหน้ารับ “ยังดีที่ตอนเรียน ป.โท ไม่มี คนสืบเรื่องพวกนี้ไม่อยู่แล้วด้วย”

         “พวกนายหมายถึงเรื่องอะไรน่ะ?” วิชาญงง เพราะเรื่องแปลก ๆ ที่มีนว่าก็คือ คดีฆาตกรรมที่พวกเขามักเจออยู่เสมอ วิชาญที่จบมาจากมหาวิทยาลัยอื่นย่อมไม่เคยเจอ

         “ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย” หญิงสาวตอบ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไรอยู่ดี

         “แต่ว่าพวกนายเห็นไอ้สิทธิ์บ้างไหม?” วิชาญถาม

         ไอ้สิทธิ์ที่ว่าคือ พิสิทธิ์ เพื่อนของเขา

        “สิทธิ์หรือ... ไม่เห็นนะ” มีนตอบ

        “ไม่เห็น” แอลส่ายหน้า

         “พอดีเมื่อวานมันไม่ได้กลับหอน่ะ ไม่รู้มันไปอยู่ไหน สงสัยคงจะไปนอนค้างห้องหญิงที่ไหนสักแห่ง”

         “เหรอ.. อาจจะเป็นไปได้นะ เห็นมันชอบเข้าไปหลีหญิง แถมไม่สนด้วยว่าใครเป็นยังไง” แอลเสริม เริ่มพูดเยอะกว่าปกติ

         “นั่นแหละ ฉันเคยเตือนมันหลายครั้งแล้ว ถ้ามันไปยุ่งกับคนมีเจ้าของเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง แต่มันก็ไม่ฟัง แถมวันก่อนมันยังมาคุยด้วยว่า ไปฟันผู้หญิงคนหนึ่งมา”

          “หา! ขนาดนั้นเชียว” มีนว่า ทั้งสองสนิทกับวิชาญพอสมควร จึงพูดคุยเรื่องพวกนี้ได้อย่างปกติ

          “อือ.. เห็นว่าทีแรกผู้หญิงไม่ยอมด้วย มันเลยใช้กำลังข่มขืน”

          “โห มันไม่กลัวผู้หญิงเค้าแจ้งจับเหรอ?” มีนถาม

           “ไม่รู้สิ ท่าทางมันคงไม่กลัวแหละ มันบอกว่ามันมีไม้เด็ดที่ทำให้ผู้หญิงที่มันฟันไปไม่สามารถทำอะไรมันได้”

          “น่ากลัวว่ะ ต่อไปฉันไม่คุยกับมันแล้ว” สาวห้าวสวนขึ้นมาทันที

          “แล้วแต่เธอ สำหรับฉันยังไงมันก็เป็นเพื่อน” วิชาญพูดเสียงเข้ม ท่าทางเขารักเพื่อนจอมฟันสาวคนนี้มาก “ฉันว่ามันคงไม่ยุ่งกับเธอหรอกมั้ง ..ห้าวซะขนาดนี้”

          “เฮ้ย! ฉันห้าวแล้วมันผิดตรงไหนไม่ทราบ ฉันเป็นผู้หญิงนะ ไม่ใช่ทอม!” มีนสวนตอบอย่างมั่นใจ

          “เออ ๆ รู้แล้ว เธอเป็นผู้หญิงจริง ๆ ฉันล้อเล่นน่า” วิชาญมองเธอ พูดน้ำเสียงคล้ายประชดเล็กน้อย

         ซึ่งถึงชาญบอกว่ามีนเป็นผู้หญิง แต่พอดูกิริยาท่าทางที่มีนพูดสวนมา มันช่างไม่เหมือนผู้หญิงเลย ห้าวยิ่งกว่าทอมบอยเสียอีก


(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่