สวัสดีครับทุกท่าน ผมเอานิยายมาให้อ่านอีกแล้ว
ปลายฟ้ากับปริศนาฆาตกรรม [Case 1 : ฆาตกรรมที่พิพิธภัณฑ์] ผมเขียนลงในถนนนักเขียนมานานมากๆแล้วครับ (จนตัวเองยังจำไม่ได้ว่ากี่ปีมาแล้ว) ซึ่งภายหลังมันถูกเก็บไว้ในคลังกระทู้ ทำให้หลายครั้งผมตามหาไม่เจอ
และไหนๆก็รีไรท์แล้วส่งไปยังงานประกวดหนึ่ง (และก็ไม่ผ่านเข้ารอบแต่อย่างใดตามคาด) เลยนึกขึ้นได้ว่าเอาต้นฉบับที่ปรับปรุงบ้างแล้วมาให้อ่านกันอีกรอบดีกว่าครับ
โปรดทราบก่อนอ่าน
******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้ ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 1 : ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์
ช่วงเช้าของวันนี้ที่ชั้น 4 ภายในอาคารสำนักงานของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติจะมีการประชุมขึ้น
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการของกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ต้องเข้าประชุมทั้งหมด
และเนื่องจากเนื้อหาการประชุมเกี่ยวกับนิทรรศการใหม่ของพิพิธภัณฑ์ที่จะจัดสร้างขึ้นเพิ่มเติมภายในปีการศึกษานี้ ผู้เกี่ยวข้องจึงไม่ได้มีแค่เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ยังมีพนักงานของบริษัทออกแบบและบริษัทจัดสร้างเข้าร่วมประชุมด้วย
ขณะนี้เวลา 8.40 น.แล้ว ผู้ร่วมประชุมต่างทยอยมาอยู่หน้าห้องเกือบทั้งหมด
แม้ผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่จะมาที่นี่แล้ว แต่ยังมีบางคนที่มาไม่ถึง เป็นเหตุให้หัวหน้าหรือผู้เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นเกิดอาการกระวนกระวายเล็ก ๆ ขึ้นมาได้
นักวิชาการร่างใหญ่เดินวนไปวนมาพลางก้มดูนาฬิกาที่ข้อมืออยู่หลายครั้ง สีหน้าของเขาเคร่งเครียด พยายามหันมองลิฟท์คล้ายรอใครบางคนขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์อีกคนที่อยู่ไม่ห่างเห็นอาการ เลยเอ่ยถามเขาว่า
“เป็นอะไรวิรัตน์ เดินวุ่นจัง”
วิรัตน์ นักวิชาการวัยกลางคนหันมองผู้ถาม ตอบกลับว่า
“จะไม่ให้วุ่นได้ไง นี่มันใกล้ถึงเวลาประชุมแล้ว ลูกน้องฉันยังไม่มาเลย งานส่วนใหญ่ก็อยู่ที่มันด้วย”
“เจ้าปลายน่ะหรือ..” ผู้เป็นเพื่อนเลิกคิ้ว “แล้วโทรตามยังล่ะ มันอาจลืมก็ได้”
“อือ.. ก็ว่าจะโทรหาอยู่นี่แหละ” วิรัตน์บอก แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกดโทรออกทันที
“ครับ ..ครับ”
หนุ่มผมตั้งวัยเบญจเพสพูดตอบกับปลายสายของโทรศัพท์มือถือทั้งที่ปากยังคาบขนมปังอยู่ เขารีบเดินออกจากห้องอย่างเร่งรีบ
“ครับ ใกล้ถึงแล้วครับ” หนุ่มผมตั้งบอกกับปลายสาย “หัวหน้ารอหน่อยนะครับ”
สักพักเขาก็วางสายลง กัดขนมปังที่คาบอยู่ ยกกล่องนมที่วางอยู่บนโต๊ะกระดกดื่มในจังหวะต่อมา
หนุ่มผมตั้งดื่มนมสลับกับกินขนมปังอย่างรวดเร็วเท่าที่ตัวเองทำได้ เพียงพริบตาทั้งสองอย่างก็อันตรธานไป
“เหอ.. ไม่น่าคุยโทรศัพท์กับมีนดึกเลย” เขาพูดต่อพร้อมกับใช้มือปัดผมให้ชี้ตั้งมากขึ้น จากนั้นก็ตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันเก่งที่จอดอยู่
ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเอกสารที่ถือมา หยิบหมวกกันน็อคที่อยู่บนแฮนด์รถสวมใส่ แล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ติดเครื่องบิดคันเร่ง สตาร์ทรถออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้มีชื่อว่า ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์ อายุ 25 ปี สูงประมาณ 180 เซนติเมตรได้ เขาเป็นหนึ่งในนักวิชาการของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
แน่นอนว่าหากเขาเป็นนักวิชาการของที่นั่นก็ต้องเข้าร่วมประชุมเช่นกัน ซึ่งปลายสายโทรศัพท์ที่ปลายฟ้าพูดคุยด้วยนั้นก็คือ วิรัตน์ นักวิชาการที่เป็นหัวหน้าโทรตามนั่นเอง
แต่ทั้งที่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมแล้วยังเผลอนอนตื่นสายได้อีกอย่างนี้ นั่นก็เพราะเมื่อคืนปลายฟ้ามัวแต่คุยโทรศัพท์กับมีน แฟนสาวของเขาจนดึกมาก จึงต้องตื่นสายในวันสำคัญอย่างนี้
ยังดีที่บ้านพักของเขาอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไม่มากนัก พอมีเวลาที่จะไปทันการประชุมได้
แต่ต้องทันแบบเฉียดฉิวเลย..
ปลายฟ้าบิดคันเร่ง ขับขี่ด้วยความคล่องแคล่วลัดเลาะผ่านฝูงรถที่ติดบนถนนไปได้เพียงช่วงเดียว ก็ต้องหยุดลง
เหมือนเป็นคราวซวยสำหรับเขาในวันนี้ รถบนถนนติดนานแน่นิ่งจนที่นี่คล้ายจะเป็นลานจอดรถไปเสียแล้ว
“ซวยฉิบ...” ปลายฟ้าสบถ “คงต้องไปทางลัดซะแล้ว”
เขาว่าแล้วก็หักเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปยังซอยหนึ่งทางด้านข้าง ซอยนี้เป็นอีกเส้นทางที่สามารถเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ เพียงแต่มันจะอ้อมมากกว่าถนนเส้นหลักที่รถติดนั้น
จำนวนรถในซอยลัดมีพอสมควร มากกว่าปกติสักเล็กน้อย แต่เส้นทางนี้ไม่ได้ติดนานอะไรมากจนขัดขวางการเดินของปลายฟ้านัก
ดีกว่าติดอยู่บนถนนเส้นหลักแน่นอน
ทว่าไม่นานก็มีอุปสรรคเข้ามาจนได้
น่าจะเป็นคราวซวยรอบสองสำหรับปลายฟ้า บนถนนตอนนี้มีผู้คนแห่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่ เป็นเหตุให้กีดขวางเส้นทางเดินรถ ไม่อาจออกตัวไปได้อย่างรวดเร็ว
“อะไรอีกเนี่ย..” เขาบ่นขึ้นอีก มองไปยังเหล่าไทยมุงนั่น
แน่นอนว่าหากมีไทยมุงก็ต้องมีเรื่องน่าสนใจจนต้องหยุดมุงดู
เรื่องที่เกิดขึ้นคือ มีรถมินิโฟรวีลคันหนึ่งขับชนคนบาดเจ็บ ญาติผู้เกี่ยวข้องกับผู้โดนชนออกมาร้องเรียกค่าเสียหายกับคนขับ แต่คนขับรถชนกลับไม่ยอมออกจากรถมาเคลียร์เรื่อง ทำให้ญาติผู้โดนชนต้องขวางทางไม่ให้รถคันนี้ขับไปได้
ปลายฟ้าหันมองเหตุการณ์เหล่านั้นวูบหนึ่ง คล้ายไม่ได้สนใจอะไร
(มีต่อครับ)
ปลายฟ้ากับปริศนาฆาตกรรม [Case 1 : ฆาตกรรมที่พิพิธภัณฑ์] - ตอนที่ 1 ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์
ปลายฟ้ากับปริศนาฆาตกรรม [Case 1 : ฆาตกรรมที่พิพิธภัณฑ์] ผมเขียนลงในถนนนักเขียนมานานมากๆแล้วครับ (จนตัวเองยังจำไม่ได้ว่ากี่ปีมาแล้ว) ซึ่งภายหลังมันถูกเก็บไว้ในคลังกระทู้ ทำให้หลายครั้งผมตามหาไม่เจอ
และไหนๆก็รีไรท์แล้วส่งไปยังงานประกวดหนึ่ง (และก็ไม่ผ่านเข้ารอบแต่อย่างใดตามคาด) เลยนึกขึ้นได้ว่าเอาต้นฉบับที่ปรับปรุงบ้างแล้วมาให้อ่านกันอีกรอบดีกว่าครับ
โปรดทราบก่อนอ่าน
******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้ ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 1 : ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์
ช่วงเช้าของวันนี้ที่ชั้น 4 ภายในอาคารสำนักงานของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติจะมีการประชุมขึ้น
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการของกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ต้องเข้าประชุมทั้งหมด
และเนื่องจากเนื้อหาการประชุมเกี่ยวกับนิทรรศการใหม่ของพิพิธภัณฑ์ที่จะจัดสร้างขึ้นเพิ่มเติมภายในปีการศึกษานี้ ผู้เกี่ยวข้องจึงไม่ได้มีแค่เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ยังมีพนักงานของบริษัทออกแบบและบริษัทจัดสร้างเข้าร่วมประชุมด้วย
ขณะนี้เวลา 8.40 น.แล้ว ผู้ร่วมประชุมต่างทยอยมาอยู่หน้าห้องเกือบทั้งหมด
แม้ผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่จะมาที่นี่แล้ว แต่ยังมีบางคนที่มาไม่ถึง เป็นเหตุให้หัวหน้าหรือผู้เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นเกิดอาการกระวนกระวายเล็ก ๆ ขึ้นมาได้
นักวิชาการร่างใหญ่เดินวนไปวนมาพลางก้มดูนาฬิกาที่ข้อมืออยู่หลายครั้ง สีหน้าของเขาเคร่งเครียด พยายามหันมองลิฟท์คล้ายรอใครบางคนขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์อีกคนที่อยู่ไม่ห่างเห็นอาการ เลยเอ่ยถามเขาว่า
“เป็นอะไรวิรัตน์ เดินวุ่นจัง”
วิรัตน์ นักวิชาการวัยกลางคนหันมองผู้ถาม ตอบกลับว่า
“จะไม่ให้วุ่นได้ไง นี่มันใกล้ถึงเวลาประชุมแล้ว ลูกน้องฉันยังไม่มาเลย งานส่วนใหญ่ก็อยู่ที่มันด้วย”
“เจ้าปลายน่ะหรือ..” ผู้เป็นเพื่อนเลิกคิ้ว “แล้วโทรตามยังล่ะ มันอาจลืมก็ได้”
“อือ.. ก็ว่าจะโทรหาอยู่นี่แหละ” วิรัตน์บอก แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือกดโทรออกทันที
“ครับ ..ครับ”
หนุ่มผมตั้งวัยเบญจเพสพูดตอบกับปลายสายของโทรศัพท์มือถือทั้งที่ปากยังคาบขนมปังอยู่ เขารีบเดินออกจากห้องอย่างเร่งรีบ
“ครับ ใกล้ถึงแล้วครับ” หนุ่มผมตั้งบอกกับปลายสาย “หัวหน้ารอหน่อยนะครับ”
สักพักเขาก็วางสายลง กัดขนมปังที่คาบอยู่ ยกกล่องนมที่วางอยู่บนโต๊ะกระดกดื่มในจังหวะต่อมา
หนุ่มผมตั้งดื่มนมสลับกับกินขนมปังอย่างรวดเร็วเท่าที่ตัวเองทำได้ เพียงพริบตาทั้งสองอย่างก็อันตรธานไป
“เหอ.. ไม่น่าคุยโทรศัพท์กับมีนดึกเลย” เขาพูดต่อพร้อมกับใช้มือปัดผมให้ชี้ตั้งมากขึ้น จากนั้นก็ตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันเก่งที่จอดอยู่
ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเอกสารที่ถือมา หยิบหมวกกันน็อคที่อยู่บนแฮนด์รถสวมใส่ แล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ติดเครื่องบิดคันเร่ง สตาร์ทรถออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้มีชื่อว่า ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์ อายุ 25 ปี สูงประมาณ 180 เซนติเมตรได้ เขาเป็นหนึ่งในนักวิชาการของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
แน่นอนว่าหากเขาเป็นนักวิชาการของที่นั่นก็ต้องเข้าร่วมประชุมเช่นกัน ซึ่งปลายสายโทรศัพท์ที่ปลายฟ้าพูดคุยด้วยนั้นก็คือ วิรัตน์ นักวิชาการที่เป็นหัวหน้าโทรตามนั่นเอง
แต่ทั้งที่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมแล้วยังเผลอนอนตื่นสายได้อีกอย่างนี้ นั่นก็เพราะเมื่อคืนปลายฟ้ามัวแต่คุยโทรศัพท์กับมีน แฟนสาวของเขาจนดึกมาก จึงต้องตื่นสายในวันสำคัญอย่างนี้
ยังดีที่บ้านพักของเขาอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไม่มากนัก พอมีเวลาที่จะไปทันการประชุมได้
แต่ต้องทันแบบเฉียดฉิวเลย..
ปลายฟ้าบิดคันเร่ง ขับขี่ด้วยความคล่องแคล่วลัดเลาะผ่านฝูงรถที่ติดบนถนนไปได้เพียงช่วงเดียว ก็ต้องหยุดลง
เหมือนเป็นคราวซวยสำหรับเขาในวันนี้ รถบนถนนติดนานแน่นิ่งจนที่นี่คล้ายจะเป็นลานจอดรถไปเสียแล้ว
“ซวยฉิบ...” ปลายฟ้าสบถ “คงต้องไปทางลัดซะแล้ว”
เขาว่าแล้วก็หักเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปยังซอยหนึ่งทางด้านข้าง ซอยนี้เป็นอีกเส้นทางที่สามารถเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติได้ เพียงแต่มันจะอ้อมมากกว่าถนนเส้นหลักที่รถติดนั้น
จำนวนรถในซอยลัดมีพอสมควร มากกว่าปกติสักเล็กน้อย แต่เส้นทางนี้ไม่ได้ติดนานอะไรมากจนขัดขวางการเดินของปลายฟ้านัก
ดีกว่าติดอยู่บนถนนเส้นหลักแน่นอน
ทว่าไม่นานก็มีอุปสรรคเข้ามาจนได้
น่าจะเป็นคราวซวยรอบสองสำหรับปลายฟ้า บนถนนตอนนี้มีผู้คนแห่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่ เป็นเหตุให้กีดขวางเส้นทางเดินรถ ไม่อาจออกตัวไปได้อย่างรวดเร็ว
“อะไรอีกเนี่ย..” เขาบ่นขึ้นอีก มองไปยังเหล่าไทยมุงนั่น
แน่นอนว่าหากมีไทยมุงก็ต้องมีเรื่องน่าสนใจจนต้องหยุดมุงดู
เรื่องที่เกิดขึ้นคือ มีรถมินิโฟรวีลคันหนึ่งขับชนคนบาดเจ็บ ญาติผู้เกี่ยวข้องกับผู้โดนชนออกมาร้องเรียกค่าเสียหายกับคนขับ แต่คนขับรถชนกลับไม่ยอมออกจากรถมาเคลียร์เรื่อง ทำให้ญาติผู้โดนชนต้องขวางทางไม่ให้รถคันนี้ขับไปได้
ปลายฟ้าหันมองเหตุการณ์เหล่านั้นวูบหนึ่ง คล้ายไม่ได้สนใจอะไร
(มีต่อครับ)