สวัสดีครับทุกท่าน ใครตามอ่านเรื่องนี้ในที่สุดเรื่องก็เริ่มเข้าคดีหลักแล้วครับ จะเป็นอย่างไรต่อนั้นเชิญอ่านต่อได้ครับ
สำหรับตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่ปลายฟ้ากับสารวัตรวิทยาได้พบกันครับ ซึ่งภายหลังสารวัตรก็มาให้ปลายฟ้าช่วยอยู่เรื่อยแหละครับ ดังที่ได้เห็นในชุดเรื่องสั้นต่อมา
โปรดทราบก่อนอ่าน
******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้ ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******
ลิ้งตอนที่ผ่านมาครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 1 ปลายฟ้า พิทักษ์ธรรม์
https://pantip.com/topic/37066376
ตอนที่ 2 พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
https://pantip.com/topic/37083267
ตอนที่ 3 ศพและของหาย
https://pantip.com/topic/37107432
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 4 : สารวัตรวิทยา
เกิดเหตุที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้น!
มีคนตายในห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยี!
และไม่ใช่ว่ามีคนตายเพียงอย่างเดียว เรื่องยุ่ง ๆ ยังมีตามติดคล้ายซ้ำให้วุ่นวายอีก เพราะว่ามีของหายไปด้วย
มันคือ โปรเจคเตอร์และกล้องอินฟราเรด ที่ราคารวมกันหลายแสนบาท
ซึ่งหลังจากเหล่าเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์พบเจอกับเหตุการณ์สองอย่างนี้ก็ได้โทรแจ้งตำรวจ โดยเวลานี้พื้นที่รอบ ๆ นิทรรศการที่เกิดเหตุถูกกั้นด้วยแถบเทปสีเหลือง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว และทางพิพิธภัณฑ์ได้ปิดบริการภายในอาคารนี้ไว้ชั่วคราวด้วย
แน่นอนว่าส่วนใหญ่ตำรวจต้องอยู่ภายในห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยีที่เกิดเหตุ
แต่คำว่า “ส่วนใหญ่” ก็หมายความว่าต้องมีส่วนน้อยที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังมีเหล่าผู้พบศพอยู่ที่นี่ เพราะว่าทางตำรวจต้องสอบถามข้อมูลจากพวกเขาก่อน
ตำรวจระดับผู้หมวดที่ชื่อว่า ธนา เอ่ยถามกับปรีชาผู้พบศพเด็กหญิงคนแรก
“คุณเป็นผู้พบศพคนแรกใช่ไหม?”
“ครับ” ปรีชาพยักหน้ารับ แล้วนิ่งไป เขาดูมีสติมากขึ้นแล้ว “ผมเปิดนิทรรศการก็พบศพเด็กสาวอยู่ที่นั่นเลยครับ”
ศพของเด็กหญิงนักเรียนที่ว่าตอนนี้ถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว เหลือเพียงรอยชอล์กขีดบอกตำแหน่งเท่านั้น
“คุณแน่ใจ?” ผู้หมวดธนามองหน้าเจ้าหน้าที่ปรีชา
“แน่ถึงแน่ที่สุดครับ!” ปรีชาตอบเสียงแข็ง “เพราะทุกครั้งที่ผมเปิดนิทรรศการ ผมจะเดินดูทุกโซน เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ...พอผมดูตรงโซนเลเซอร์ก็เห็นร่างเด็กสาวนอนอยู่ เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็รู้ว่าตาย จึงออกไปบอกเพื่อนข้างนอก”
“งั้นหรือครับ” นายตำรวจบอก พลางจดรายละเอียดตาม “แล้วเมื่อวานคุณเห็นศพนี้ไหมครับ?”
“ไม่ครับ เมื่อวานตอนผมปิดนิทรรศการยังไม่เห็นเลย”
“แล้วเมื่อวานคุณปิดห้องนิทรรศการตอนกี่โมง?”
“สี่โมงกว่า ๆ”
“สี่โมงกว่า ๆ นี่ประมาณเท่าไร ระบุได้ไหมครับ?”
“น่าจะราว ๆ สี่โมงยี่สิบ”
“ครับ” นายตำรวจธนาจดรายละเอียดประกอบ ค่อยถามปรีชาต่อ “คุณรู้จักผู้ตายหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ครับ” ปรีชาส่ายหน้า “ผมไม่รู้จักเธอ ..แต่เธอน่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์”
“ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?” ผู้หมวดธนาถามต่อ
“เห็นอาจารย์ปลายฟ้าบอกว่า เคยพบเธอที่หน้าพิพิธภัณฑ์ครับ”
“อาจารย์ปลายฟ้าหรือ...” ผู้หมวดธนาคิดตาม แล้วหันหน้าไปมองหาผู้ที่ปรีชากล่าวถึง
ปลายฟ้าขณะนี้เพียงยืนสังเกตการณ์ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับการทำงานของตำรวจ เพราะว่าหลังจากเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ไม่มีคดีฆาตกรรมที่เเกี่ยวข้องหรือเข้าไปสืบสวนสักเท่าไรแล้ว ความสนใจในการสืบคดีของเขาจึงคล้ายลดลง วัน ๆ เอาแต่ทำงานและกระล่อนกับสาว ๆ เสียมากกว่า
ผู้หมวดธนาได้เรียกตัวปลายฟ้าที่ยืนข้าง ๆ สิรินทร์และเหล่าเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์มาให้ข้อมูลแก่ตน
“มีอะไรหรือครับ?” ปลายฟ้าเอ่ยถามนายตำรวจ
“คุณปลายฟ้าใช่ไหมครับ” พอนักวิชาการหนุ่มพยักหน้ารับ ผู้หมวดธนาก็พูดต่อ “เห็นคุณปรีชาบอกว่า คุณเคยพบผู้ตายที่หน้าพิพิธภัณฑ์มาก่อน”
“ใช่ครับ ...พอดีเธอเดินมาชนผมจนเกือบล้ม ผมเลยจำเธอได้” เขาตอบ
“แล้วรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ครับ ผมเพิ่งเจอเธอครั้งนั้นครั้งแรก แล้วก็มาพบเธออีกทีตอนที่เป็นศพนี่แหละครับ”
ผู้หมวดธนามองหน้า นิ่งครู่หนึ่งค่อยบอกว่า “ครับ.. ขอบคุณมาก”
จากนั้นนายตำรวจก็หันไปสอบถามปรีชาต่อ “คุณปรีชา..คุณให้ข้อมูลมาว่ามีของหายด้วยใช่ไหมครับ?”
“ครับ” ปรีชาพยักหน้ารับ “โปรเจคเตอร์กับกล้องอินฟราเรดหายไปครับ”
“อืม..” นายตำรวจจดรายละเอียดประกอบ “แล้วเมื่อวานคุณล็อกห้องดีหรือเปล่าครับ มีลืมล็อกบ้างไหม?”
“ผมล็อกเรียบร้อยครับ ไม่มีทางเปิดเข้าไปข้างในได้หรอก แล้วผมก็เอากุญแจไปคืนที่ป้อม รปภ. ด้วย ถ้ามีคนจะเข้าไปข้างในได้ ก็คงต้องเบิกกุญแจที่ รปภ. ก่อนครับ”
“อืม...” นายตำรวจธนาพยักหน้าตาม แล้วหันไปบอกตำรวจผู้น้อยให้ไปสอบถาม รปภ. เกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งเป็นจริงอย่างที่ปรีชาว่า กุญแจดอกเดียวของห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยี ไม่มีใครขอเบิกต่อจากปรีชา เพราะว่าถ้ามีคนต้องการใช้กุญแจต้องมาลงชื่อในสมุดเบิกกุญแจ แต่จากในสมุดเบิกกุญแจนั้นกุญแจห้องนี้ไม่มีใครใช้ต่อ มีปรีชาใช้เพียงคนเดียว เขาส่งคืนในเวลา 16.25 น. ก่อนเจ้าหน้าที่ดูแลนิทรรศการอื่นจะเอากุญแจมาคืนเสียอีก
เมื่อได้ความดังนี้ ผู้หมวดธนาก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ฆ่าเด็กหญิงและขโมยของไป เพราะจากรูปการณ์แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทางที่จะเข้าไปในห้องนิทรรศการที่ถูกปิดล็อกนั่นได้เลย แถมจากการสอบถามเพิ่มเติมก็ไม่มีกุญแจสำรองของห้องนี้อีกด้วย
ไม่ทราบว่าศพของเด็กสาวและของหายไปในห้องนิทรรศการที่ปิดอยู่นี้ได้อย่างไร?
ผู้หมวดธนาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากปรีชาและเจ้าหน้าที่คนอื่น ซึ่งก็ได้ความไม่ต่างกัน ตำรวจจึงยังไม่อาจปิดคดีนี้ได้ง่าย ๆ และไม่สามารถคุมตัวใครไว้ก่อนได้ ไม่นานเขาก็ต้องนำเจ้าหน้าที่เดินทางกลับสถานีตำรวจไปก่อน
ปลายฟ้าและสิรินทร์ออกจากห้องนิทรรศการที่เกิดเหตุแล้ว นักวิชาการหนุ่มต้องเดินไปส่งหญิงสาวเพราะเธอต้องกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ
“แย่จังนะคะ ..เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” สิรินทร์พูดขึ้นมา
“ครับ” ปลายฟ้าพยักหน้าเล็ก ๆ “คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่ แถมมันส่งผลกระทบมาที่พิพิธภัณฑ์ด้วย ใครล่ะครับอยากจะมาชมนิทรรศการที่มีคนตาย”
“นั่นสิเนอะ” สาวสวยพยักหน้าเห็นด้วย
“เอ้อ..ริน ช่วยส่งภาพถ่ายที่ผมถ่ายมาที่อีเมล์ผมได้ไหมครับ”
“ได้สิ ปลายเอาภาพไหน”
“ก็เอาภาพทั้งหมด รวมทั้งภาพที่ผมถ่ายที่ห้องนิทรรศการด้วย ส่งมาที่อีเมล์ตามนามบัตรผมนะครับ”
“ค่ะ แล้วจะส่งให้นะ”
ปลายฟ้ามาส่งสิรินทร์ถึงที่จอดรถ พอหญิงสาวขับรถมินิโฟลวีลออกไป เขาจึงเดินกลับเข้าไปในพิพิธภัณฑ์นั่งรวมกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ของอาคารนี้
เนื่องจากในวันนี้ทางอาคารพิพิธภัณฑ์ได้ปิดบริการชั่วคราว เนื่องจากเกิดคดีขึ้น เจ้าหน้าที่ดูแลนิทรรศการจึงมีเวลาว่างมานั่งรวมกลุ่มพูดคุยกันได้
แน่นอนว่าประเด็นที่พวกเขาพูดคุยกันต้องเป็นเรื่อง ศพเด็กหญิงและของที่หายในนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโยลี
ปรีชาบ่นออกมาว่า “แย่จริง ๆ ดันเกิดเรื่องซะได้ อย่างนี้ฉันจะได้ขั้นบ้างไหมเนี่ย”
“ไม่เกี่ยวหรอกน่าปรีชา” วาสนา สาววัยสามสิบปลาย ๆ บอก เจ้าแม่ประจำตึกอย่างเธอย่อมสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว “แต่มันเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร ..เด็กตายในห้อง ของหายอีกด้วย”
“จะไปรู้ได้ไง ถ้ารู้คงไม่ให้เป็นแบบนี้หรอก” ปรีชาว่าสวนกลับ
“แล้วเคยเห็นเด็กที่ตายบ้างไหมล่ะ?” วาสนาถามต่อ
“ไม่เคย มีอะไรล่ะ?”
เจ้าแม่ประจำตึกมองหน้า “ไม่มีอะไรหรอก นึกว่าเด็กแกน่ะ”
“บ้า! ฉันจะไปยุ่งกับเด็กทำไม!” ปรีชาโวยทันที
“อ่ะ ล้อเล่นน่า” วาสนาทำมือไปมาบ่งบอกว่าแหย่เล่น
สุภาพ ปิยะพร ปรเมศ และดิเรกเพียงนั่งฟังการสนทนาของปรีชาและวาสนา เพราะปกติสองคนนี้มักพูดคุยกันแบบไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดอยู่แล้ว ส่วนสาธิตเจ้าหน้าที่อีกคนนั้น ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะว่าเขามีหน้าที่ต้องไปช่วยงานนักวิชาการที่อาคารดวงดาว
ปลายฟ้าก็ไม่ได้นั่งร่วมสนทนากับพวกเขาเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เขากำลังพูดคุยกับกนกวรรณที่ออกมาจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“เกิดคดีขึ้นเนี่ย.. นักสืบจำเป็นอย่างนายไม่ออกโรงเหรอ?” กนกวรรณถามขึ้น นอกจากเธอจะสนิทสนมกับปลายฟ้าแล้ว สมัยเรียนเธอก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงพอรู้เรื่องที่ปลายฟ้าสืบสวนได้ด้วย
“ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าคนตายและของหายภายในห้องนิทรรศการที่เกิดขึ้น มันเป็นไปได้อย่างไร” ปลายฟ้าบอก
“เหรอ... แล้วนายจะช่วยสืบหรือเปล่า?” หญิงสาวถาม
“คงไม่หรอก” หนุ่มผมตั้งว่า “คงดูอยู่ห่าง ๆ แหละ ปล่อยเป็นหน้าที่ของตำรวจเค้าดีกว่า”
(มีต่อครับ)
ปลายฟ้ากับปริศนาฆาตกรรม [Case 1 : ฆาตกรรมที่พิพิธภัณฑ์] - ตอนที่ 4 สารวัตรวิทยา
สำหรับตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่ปลายฟ้ากับสารวัตรวิทยาได้พบกันครับ ซึ่งภายหลังสารวัตรก็มาให้ปลายฟ้าช่วยอยู่เรื่อยแหละครับ ดังที่ได้เห็นในชุดเรื่องสั้นต่อมา
โปรดทราบก่อนอ่าน
******สำหรับคนที่ติดตามอ่านการสืบคดีของปลายฟ้าในระบบเรื่องสั้น [ปลายฟ้ากับคดีปริศนา] ที่ผมลงให้อ่านกันในถนนนักเขียนอยู่ตอนนี้ ต้องแจ้งก่อนว่าตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องราวก่อนคดีที่ 1 ฆาตกรรมกลางทะเล ของชุดนั้นเลยแหละครับ (และต่อจากชุด "ปลาย นักสืบจำเป็น" ที่เคยตีพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว) โดยตัวเรื่องนี้มีลักษณะเป็นแบบนิยายเรื่องยาวหลายตอนจบอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเขียนเรื่องยาวๆเท่าไร ลองอ่านกันดูครับ ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วก็ลองอ่านอีกรอบก็ได้นะครับ*******
ลิ้งตอนที่ผ่านมาครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 4 : สารวัตรวิทยา
เกิดเหตุที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้น!
มีคนตายในห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยี!
และไม่ใช่ว่ามีคนตายเพียงอย่างเดียว เรื่องยุ่ง ๆ ยังมีตามติดคล้ายซ้ำให้วุ่นวายอีก เพราะว่ามีของหายไปด้วย
มันคือ โปรเจคเตอร์และกล้องอินฟราเรด ที่ราคารวมกันหลายแสนบาท
ซึ่งหลังจากเหล่าเจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์พบเจอกับเหตุการณ์สองอย่างนี้ก็ได้โทรแจ้งตำรวจ โดยเวลานี้พื้นที่รอบ ๆ นิทรรศการที่เกิดเหตุถูกกั้นด้วยแถบเทปสีเหลือง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว และทางพิพิธภัณฑ์ได้ปิดบริการภายในอาคารนี้ไว้ชั่วคราวด้วย
แน่นอนว่าส่วนใหญ่ตำรวจต้องอยู่ภายในห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยีที่เกิดเหตุ
แต่คำว่า “ส่วนใหญ่” ก็หมายความว่าต้องมีส่วนน้อยที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังมีเหล่าผู้พบศพอยู่ที่นี่ เพราะว่าทางตำรวจต้องสอบถามข้อมูลจากพวกเขาก่อน
ตำรวจระดับผู้หมวดที่ชื่อว่า ธนา เอ่ยถามกับปรีชาผู้พบศพเด็กหญิงคนแรก
“คุณเป็นผู้พบศพคนแรกใช่ไหม?”
“ครับ” ปรีชาพยักหน้ารับ แล้วนิ่งไป เขาดูมีสติมากขึ้นแล้ว “ผมเปิดนิทรรศการก็พบศพเด็กสาวอยู่ที่นั่นเลยครับ”
ศพของเด็กหญิงนักเรียนที่ว่าตอนนี้ถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว เหลือเพียงรอยชอล์กขีดบอกตำแหน่งเท่านั้น
“คุณแน่ใจ?” ผู้หมวดธนามองหน้าเจ้าหน้าที่ปรีชา
“แน่ถึงแน่ที่สุดครับ!” ปรีชาตอบเสียงแข็ง “เพราะทุกครั้งที่ผมเปิดนิทรรศการ ผมจะเดินดูทุกโซน เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ...พอผมดูตรงโซนเลเซอร์ก็เห็นร่างเด็กสาวนอนอยู่ เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็รู้ว่าตาย จึงออกไปบอกเพื่อนข้างนอก”
“งั้นหรือครับ” นายตำรวจบอก พลางจดรายละเอียดตาม “แล้วเมื่อวานคุณเห็นศพนี้ไหมครับ?”
“ไม่ครับ เมื่อวานตอนผมปิดนิทรรศการยังไม่เห็นเลย”
“แล้วเมื่อวานคุณปิดห้องนิทรรศการตอนกี่โมง?”
“สี่โมงกว่า ๆ”
“สี่โมงกว่า ๆ นี่ประมาณเท่าไร ระบุได้ไหมครับ?”
“น่าจะราว ๆ สี่โมงยี่สิบ”
“ครับ” นายตำรวจธนาจดรายละเอียดประกอบ ค่อยถามปรีชาต่อ “คุณรู้จักผู้ตายหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ครับ” ปรีชาส่ายหน้า “ผมไม่รู้จักเธอ ..แต่เธอน่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์”
“ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?” ผู้หมวดธนาถามต่อ
“เห็นอาจารย์ปลายฟ้าบอกว่า เคยพบเธอที่หน้าพิพิธภัณฑ์ครับ”
“อาจารย์ปลายฟ้าหรือ...” ผู้หมวดธนาคิดตาม แล้วหันหน้าไปมองหาผู้ที่ปรีชากล่าวถึง
ปลายฟ้าขณะนี้เพียงยืนสังเกตการณ์ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับการทำงานของตำรวจ เพราะว่าหลังจากเขาเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ไม่มีคดีฆาตกรรมที่เเกี่ยวข้องหรือเข้าไปสืบสวนสักเท่าไรแล้ว ความสนใจในการสืบคดีของเขาจึงคล้ายลดลง วัน ๆ เอาแต่ทำงานและกระล่อนกับสาว ๆ เสียมากกว่า
ผู้หมวดธนาได้เรียกตัวปลายฟ้าที่ยืนข้าง ๆ สิรินทร์และเหล่าเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์มาให้ข้อมูลแก่ตน
“มีอะไรหรือครับ?” ปลายฟ้าเอ่ยถามนายตำรวจ
“คุณปลายฟ้าใช่ไหมครับ” พอนักวิชาการหนุ่มพยักหน้ารับ ผู้หมวดธนาก็พูดต่อ “เห็นคุณปรีชาบอกว่า คุณเคยพบผู้ตายที่หน้าพิพิธภัณฑ์มาก่อน”
“ใช่ครับ ...พอดีเธอเดินมาชนผมจนเกือบล้ม ผมเลยจำเธอได้” เขาตอบ
“แล้วรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ครับ ผมเพิ่งเจอเธอครั้งนั้นครั้งแรก แล้วก็มาพบเธออีกทีตอนที่เป็นศพนี่แหละครับ”
ผู้หมวดธนามองหน้า นิ่งครู่หนึ่งค่อยบอกว่า “ครับ.. ขอบคุณมาก”
จากนั้นนายตำรวจก็หันไปสอบถามปรีชาต่อ “คุณปรีชา..คุณให้ข้อมูลมาว่ามีของหายด้วยใช่ไหมครับ?”
“ครับ” ปรีชาพยักหน้ารับ “โปรเจคเตอร์กับกล้องอินฟราเรดหายไปครับ”
“อืม..” นายตำรวจจดรายละเอียดประกอบ “แล้วเมื่อวานคุณล็อกห้องดีหรือเปล่าครับ มีลืมล็อกบ้างไหม?”
“ผมล็อกเรียบร้อยครับ ไม่มีทางเปิดเข้าไปข้างในได้หรอก แล้วผมก็เอากุญแจไปคืนที่ป้อม รปภ. ด้วย ถ้ามีคนจะเข้าไปข้างในได้ ก็คงต้องเบิกกุญแจที่ รปภ. ก่อนครับ”
“อืม...” นายตำรวจธนาพยักหน้าตาม แล้วหันไปบอกตำรวจผู้น้อยให้ไปสอบถาม รปภ. เกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งเป็นจริงอย่างที่ปรีชาว่า กุญแจดอกเดียวของห้องนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโลยี ไม่มีใครขอเบิกต่อจากปรีชา เพราะว่าถ้ามีคนต้องการใช้กุญแจต้องมาลงชื่อในสมุดเบิกกุญแจ แต่จากในสมุดเบิกกุญแจนั้นกุญแจห้องนี้ไม่มีใครใช้ต่อ มีปรีชาใช้เพียงคนเดียว เขาส่งคืนในเวลา 16.25 น. ก่อนเจ้าหน้าที่ดูแลนิทรรศการอื่นจะเอากุญแจมาคืนเสียอีก
เมื่อได้ความดังนี้ ผู้หมวดธนาก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ฆ่าเด็กหญิงและขโมยของไป เพราะจากรูปการณ์แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทางที่จะเข้าไปในห้องนิทรรศการที่ถูกปิดล็อกนั่นได้เลย แถมจากการสอบถามเพิ่มเติมก็ไม่มีกุญแจสำรองของห้องนี้อีกด้วย
ไม่ทราบว่าศพของเด็กสาวและของหายไปในห้องนิทรรศการที่ปิดอยู่นี้ได้อย่างไร?
ผู้หมวดธนาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากปรีชาและเจ้าหน้าที่คนอื่น ซึ่งก็ได้ความไม่ต่างกัน ตำรวจจึงยังไม่อาจปิดคดีนี้ได้ง่าย ๆ และไม่สามารถคุมตัวใครไว้ก่อนได้ ไม่นานเขาก็ต้องนำเจ้าหน้าที่เดินทางกลับสถานีตำรวจไปก่อน
ปลายฟ้าและสิรินทร์ออกจากห้องนิทรรศการที่เกิดเหตุแล้ว นักวิชาการหนุ่มต้องเดินไปส่งหญิงสาวเพราะเธอต้องกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ
“แย่จังนะคะ ..เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” สิรินทร์พูดขึ้นมา
“ครับ” ปลายฟ้าพยักหน้าเล็ก ๆ “คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่ แถมมันส่งผลกระทบมาที่พิพิธภัณฑ์ด้วย ใครล่ะครับอยากจะมาชมนิทรรศการที่มีคนตาย”
“นั่นสิเนอะ” สาวสวยพยักหน้าเห็นด้วย
“เอ้อ..ริน ช่วยส่งภาพถ่ายที่ผมถ่ายมาที่อีเมล์ผมได้ไหมครับ”
“ได้สิ ปลายเอาภาพไหน”
“ก็เอาภาพทั้งหมด รวมทั้งภาพที่ผมถ่ายที่ห้องนิทรรศการด้วย ส่งมาที่อีเมล์ตามนามบัตรผมนะครับ”
“ค่ะ แล้วจะส่งให้นะ”
ปลายฟ้ามาส่งสิรินทร์ถึงที่จอดรถ พอหญิงสาวขับรถมินิโฟลวีลออกไป เขาจึงเดินกลับเข้าไปในพิพิธภัณฑ์นั่งรวมกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ของอาคารนี้
เนื่องจากในวันนี้ทางอาคารพิพิธภัณฑ์ได้ปิดบริการชั่วคราว เนื่องจากเกิดคดีขึ้น เจ้าหน้าที่ดูแลนิทรรศการจึงมีเวลาว่างมานั่งรวมกลุ่มพูดคุยกันได้
แน่นอนว่าประเด็นที่พวกเขาพูดคุยกันต้องเป็นเรื่อง ศพเด็กหญิงและของที่หายในนิทรรศการเปิดโลกเทคโนโยลี
ปรีชาบ่นออกมาว่า “แย่จริง ๆ ดันเกิดเรื่องซะได้ อย่างนี้ฉันจะได้ขั้นบ้างไหมเนี่ย”
“ไม่เกี่ยวหรอกน่าปรีชา” วาสนา สาววัยสามสิบปลาย ๆ บอก เจ้าแม่ประจำตึกอย่างเธอย่อมสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว “แต่มันเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร ..เด็กตายในห้อง ของหายอีกด้วย”
“จะไปรู้ได้ไง ถ้ารู้คงไม่ให้เป็นแบบนี้หรอก” ปรีชาว่าสวนกลับ
“แล้วเคยเห็นเด็กที่ตายบ้างไหมล่ะ?” วาสนาถามต่อ
“ไม่เคย มีอะไรล่ะ?”
เจ้าแม่ประจำตึกมองหน้า “ไม่มีอะไรหรอก นึกว่าเด็กแกน่ะ”
“บ้า! ฉันจะไปยุ่งกับเด็กทำไม!” ปรีชาโวยทันที
“อ่ะ ล้อเล่นน่า” วาสนาทำมือไปมาบ่งบอกว่าแหย่เล่น
สุภาพ ปิยะพร ปรเมศ และดิเรกเพียงนั่งฟังการสนทนาของปรีชาและวาสนา เพราะปกติสองคนนี้มักพูดคุยกันแบบไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดอยู่แล้ว ส่วนสาธิตเจ้าหน้าที่อีกคนนั้น ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะว่าเขามีหน้าที่ต้องไปช่วยงานนักวิชาการที่อาคารดวงดาว
ปลายฟ้าก็ไม่ได้นั่งร่วมสนทนากับพวกเขาเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เขากำลังพูดคุยกับกนกวรรณที่ออกมาจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“เกิดคดีขึ้นเนี่ย.. นักสืบจำเป็นอย่างนายไม่ออกโรงเหรอ?” กนกวรรณถามขึ้น นอกจากเธอจะสนิทสนมกับปลายฟ้าแล้ว สมัยเรียนเธอก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงพอรู้เรื่องที่ปลายฟ้าสืบสวนได้ด้วย
“ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าคนตายและของหายภายในห้องนิทรรศการที่เกิดขึ้น มันเป็นไปได้อย่างไร” ปลายฟ้าบอก
“เหรอ... แล้วนายจะช่วยสืบหรือเปล่า?” หญิงสาวถาม
“คงไม่หรอก” หนุ่มผมตั้งว่า “คงดูอยู่ห่าง ๆ แหละ ปล่อยเป็นหน้าที่ของตำรวจเค้าดีกว่า”
(มีต่อครับ)