เรื่องราวจากตอนที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/36695065 ** บทนำ ** https://pantip.com/topic/36974434 16 ** หายใจรดต้นคอ **
https://pantip.com/topic/36707713 1 ** หน่วยเหยี่ยวพิฆาต ** https://pantip.com/topic/36992032 17 ** เจ็บปวด **
https://pantip.com/topic/36722529 2 ** ลางร้าย ** https://pantip.com/topic/37011852 18 ** เริ่มชัดเจน **
https://pantip.com/topic/36739946 3 ** ตัวเชื่อมโยง ** https://pantip.com/topic/37036747 19 ** ระหํ่าเมือง **
https://pantip.com/topic/36754111 4 ** เรียกตัว ** https://pantip.com/topic/37057505 20 ** ต้องอยู่รอด **
https://pantip.com/topic/36768151 5 ** พร้อมหน้า ** https://pantip.com/topic/37074519 21 ** เดินหน้า **
https://pantip.com/topic/36781641 6 ** ชายชราผมดอกเลา** https://pantip.com/topic/37104891 22 ** เป็นต่อ **
https://pantip.com/topic/36798608 7 ** เตรียมแผนการ **
https://pantip.com/topic/36823217 8 ** เป็นไปตามแผน **
https://pantip.com/topic/36846614 9 ** พร้อมรับมือ **
https://pantip.com/topic/36856028 10 ** ร่องรอยเรื่องราว **
https://pantip.com/topic/36873802 11 ** หยั่งเชิง **
https://pantip.com/topic/36889820 12 ** ผู้ทรงอิทธิพล **
https://pantip.com/topic/36905595 13 ** ลวงให้ชิงตัว **
https://pantip.com/topic/36924993 14 ** เป็นไปตามแผน **
https://pantip.com/topic/36945317 15 ** องค์กรอสรพิษเขี้ยวเงิน **
23
** เป้าหมาย **
ใช้เวลาแค่เพียงสิบนาที ‘อินทรีย์สอง’ก็เสร็จสิ้นภารกิจของตัวเอง
แฮนดี้แคมถูกเก็บลงใต้น้ำและซุกใส่ถุงตาข่ายข้างเข็มขัด อินทรีย์สองขยับหน้ากากก่อนจะดําลงใต้น้ำ ผิวน้ำกระเพื่อมหุบราวกับปลาฮุบเหยื่อ อินทรีย์หนึ่งหรือ‘พันตำรวจโททัศนัย’เบนกล้องอินฟราเรดกลับไปยังเรือสินธุวารินทร์อีกครั้ง ลูกเรือสี่คนกำลังคลุมผ้าใบครอบลังไม้ หนึ่งในสี่ส่งสัญญาณมือบางอย่าง มีคนอีกห้าคนโผล่เพิ่มเข้ามาในเลนส์กล้อง แล้วพวกมันทุกคนก็แยกย้ายตามจุดของใครของมัน พร้อมกับเริ่มต้นลากอวนดักปลาตามบทบาทเหมือนเรือประมงทั่วไป
สิบห้านาทีต่อมา อินทรีย์สองดำน้ำกลับมาถึงเรือตัวเอง พันตำรวจโททัศนัยเอื้อมมือดึงลูกน้องขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายปีนบันไดโผล่จากผิวน้ำเต็มตัว ถังอ็อกซิเจนติดหลังท่อนเดียวถูกปลดออก คนที่ใช้มันก้าวขึ้นมาบนเรือและนั่งลงกับเหลี่ยมลังพลาสติกใบหนึ่ง
‘อินทรีย์สาม’ส่งเสียงขึ้น “มันตั้งท่าจะกลับฝั่งแล้วครับหัวหน้า” เขารายงานโดยยังนอนราบอยู่ที่เดิม ‘อินทรีย์สี่’ก็ยังนอนคว่ำอยู่กับปืนคู่กายเช่นกัน
“เรือเบนหัวมาทางเราแล้วครับ” คราวนี้เป็นอินทรีย์สี่ที่รายงาน
เสียงเครื่องยนต์เรือขนาดสิบวาดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม เมื่อมันเริ่มขยับลำ พันตำรวจโททัศนัยส่งเสียงบอกกับคนนำทางพวกเขาทันที
“ติดเครื่อง! เตรียมกลับฝั่ง”
เครื่องยนต์ HINO V 8 สูบ ส่งเสียงฮึ่มราวกับปลาฉลามงัวเงียตื่น หัวเรือค่อยๆวาดวงเลี้ยวแหวกผืนน้ำ หัวหน้าทีมตำรวจเฉพาะกิจวาดกล้องไปทางเรือเป้าหมาย ตัวเรือสินธุวารินทร์กำลังตั้งตรงและขยับเดินหน้า เขามองเห็นคนบนเรือกำลังช่วยกันเก็บอวนอย่างกระฉับกระเฉง ไม่มีอาการใดบ่งบอกความผิดปกติให้เห็น
“เก็บอาวุธได้แล้วพวกเรา”
“มันคงไม่โฉบมาทางพวกเรานะครับ” ลูกน้องผู้ขึ้นมาจากน้ำเปรยถามหัวหน้า
“เรือใหญ่จะไม่สนใจเรือเล็กหรอกครับ สบายใจได้เลย” เสียงจากคนควบคุมพังงาเรือดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ขึ้นมา
และจากคำยืนยันนั่นเอง ที่ทำให้นายตำรวจลูกน้องลุกขึ้นเก็บอาวุธตามคำสั่งหัวหน้า อินทรีย์สองลุกขึ้นถอดชุดมนุษย์กบออก ขณะที่อินทรีย์สามและสี่ถอดขาหยั่งปืนแล้วมุดหายลงไปในเคบินเรือ พันตำรวจโททัศนัยมองดูลูกน้องคนสุดท้ายเก็บสัมภาระพลางเอ่ยถาม
“เก็บรายละเอียดตัวหนังสือข้างลังชัดเจนมั๊ย”
“ชัดเจนครับ” อินทรีย์สองตอบ “ตรงตามสายข่าวส่วนกลางแจ้งมาครับผม”
“ดีมาก นายทำได้ดีมาก อินทรีย์สอง” เขาตบบ่าลูกน้องด้วยความจริงใจ
“ลุงป้าน!” นายพันตำรวจโทเรียกคนอยู่หน้าพังงาเรือ ลุงป้านตอบเสียงดังฟังชัด “ครับผม!”
“นำหน้า และไปให้ถึงฝั่งก่อนพวกมัน”
“ได้เลยครับ เรือพวกมันอืดกว่าเรือผมอยู่แล้ว แล้วพวกเราก็นำหน้ามันอยู่ห้าสิบเมตร ยังไงก็ไม่ได้กินผมหรอกครับเจ้านาย ฮ่าๆๆ...” คนนำทางหัวเราะอย่างมั่นใจในเรือห้าวาของตนเอง
แล้วในที่สุด เรือประมงเล็กขนาดห้าวาของลุงป้านก็เข้ามาทิ้งสมอห่างจากชายหาดราวยี่สิบเมตร นายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดทั้งสี่ต่างหย่อนตัวลงน้ำทีละคน ระดับความลึกหนึ่งเมตรยี่สิบเซ็นต์ ทำให้ทุกคนจมเปียกน้ำถึงระดับหน้าอกเสื้อ
คืนนี้คลื่นลมสงบ ได้ยินเพียงเสียงสาดซัดเบาๆจากระลอกคลื่นเข้ากระทบฝั่ง เจ้าหน้าที่ในชุดสีเทาลายพรางพากันฝ่าผืนน้ำขึ้นมาจนโผล่พ้นระดับข้อเท้า พันตำรวจโททัศนัยที่นำหน้าทุกคนพูดกับไมค์ข้างแก้มขึ้น เมื่อรองเท้าเริ่มสัมผัสทรายแห้งบนชายหาด
“อินทรีย์ห้า! รับที่จุดนัดพบด้วย ย้ำ! รับที่จุดนัดพบด้วย”
มีเสียงแกรกกรากนำมาก่อน ก่อนเสียงลูกน้องจะดังตามมา “รับทราบครับ! เจอกันในห้านาที”
การติดต่อสิ้นสุดลง หัวหน้าทีมมองกลับไปยังลูกน้องที่ต่างทยอยตามกันมา ทุกคนเปียกน้ำตั้งแต่หน้าอกลงไปในสภาพเดียวกัน อาวุธประจำกายไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการเคลื่อนตัว อินทรีย์สามและสี่คอนปืน M 16 A2 กับสองบ่า ในขณะอินทรีย์สองมีเป้ผ้าใบติดหลังและคล้องถังอ็อกซิเจนตามมาเป็นคนสุดท้าย
ชายหาดบางเสร่นอกชุมชนอาศัย สงบเงียบท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนกระจายกันอยู่กับโคนต้นมะพร้าวเพื่อถอดรองเท้าบู้ทเทน้ำทิ้ง นายพันตำรวจโทล้วงกล้องอินฟราเรดขึ้นมาส่องกลับไปยังเรือลุงป้าน ลุงป้านเพิ่งหย่อนตัวลงน้ำหลังจากตรวจเช็กทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กล้องเบนไปทางด้านข้างอีกสององศา เรือประมงสิบวาสินธุวารินทร์กําลังแล่นเข้าหาฝั่งในอาการผ่อนความเร็วลง
และเพียงอึดใจ เสียงเครื่องยนต์สปีดโบ้ทลำหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล พันตำรวจโททัศนัยกวาดกล้องไปทางนั้นทันที เขามองเห็นข้างเรือติดตัวหนังสือ YAMAHA เครื่องยนต์ 70 แรงม้ากำลังแหวกผืนน้ำออกจากริมหาดมุ่งไปหาเรือสินธุวารินทร์
รถแวกอนเชฟโรเล็ตสีดำปราดเข้ามาหยุดใกล้แนวต้นมะพร้าว ลูกน้องทั้งสามผละออกจากจุดพรางตัวพร้อมสัมภาระ มุ่งสู่พาหนะของพวกตนทันที เสียงจากอินทรีย์ห้าดังผ่านเอียร์โฟนเข้ามาฟังชัดเจน “เคลียร์!” นั่นคือสัญญาณแจ้งสถานการณ์โดยรอบ
สปีดโบ้ทซึ่งแล่นฝ่าผืนน้ำออกไปเมื่อครู่นั้น ขณะนี้มันกำลังจอดลอยลำรับลังไม้ปริศนาที่ถูกหย่อนลงมาจากเรือสินธุวารินทร์ ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเรียบง่าย และเมื่อคนในสปีดโบ้ทตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เรือเร็วลำเล็กก็ตีวงแล่นย้อนกลับมา
กล้องส่องอินฟราเรดในมือพันตำรวจโททัศนัยยังเกาะติดสถานการณ์ที่เรือเร็ว YAMAHA เขาเห็นมันแล่นเข้าชายฝั่งห่างออกไปยี่สิบเมตร ณ จุดตรงนั้นมีตัวเรือนสังกะสีทอดกลืนลงไปหาน้ำทะเล ประตูสังกะสีบานใหญ่เปิดกว้างทั้งสองบาน แล้วเรือเร็ว YAMAHA ลำนั้นก็แล่นหายเข้าไปในบานประตู มันน่าจะเป็นร่องน้ำซึ่งขุดเซาะเอาไว้เพื่อการเข้าออกของเรือเล็กนั่นเอง
“ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า” เสียงจากอินทรีย์ห้าย้ำมา หัวหน้าทีมเก็บกล้องก่อนจะวิ่งมายังรถเชฟโรเล็ต
“ค่อยๆเลาะไปตามถนนเลียบหาด อีกราวยี่สิบเมตรข้างหน้าเราก็จะได้รู้กันล่ะว่า โรงแช่แข็งของพวกมันรัดกุมระดับไหน”
พันตำรวจโททัศนัยเอ่ย ขณะมุดตัวขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ เสียงประตูปิดดังตามมาพร้อมๆกับล้อรถขยับเคลื่อนตัว
...
รถแวกอนสีดำค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อกำลังจะมาถึงหน้าห้องแถวไม้ขนาดห้าคูหา ตัวหนังสือเหนือกรอบประตูใหญ่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า
‘ห้างหุ้นส่วนจำกัดวารินทร์ซับพลายด์’ บานประตูเมทัลชีทบานใหญ่ปิดเงียบ หลอดฟลูออเรสเซ้นต์ใต้ชายคาส่องแสงมัวซัวราวกับมันเหนื่อยหน่ายกับหน้าที่ตัวเอง ชายสองคนข้างประตูเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมากฮอสมองรถวิ่งผ่าน ท่าทางซังกะตายของพวกมันคล้ายกับไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เห็นแต่อย่างใด
ดี!... หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจพูดกับตัวเองในใจ
ทว่า อีกคนซึ่งเดินไปมาหน้าบานประตูกลับมีอาการระวังภัย มันจ้องเขม็งขณะรถแวกอนแล่นผ่านหน้า มือของมันข้างหนึ่งสอดเข้าใต้ชายเสื้อเชิ้ตตัวนอก พันตำรวจโททัศนัยมองแค่นั้นก็รู้แล้วว่า ไอ้นี่มีอาวุธติดซอกเอวแน่นอน
“ผ่านไป!” อินทรีย์หนึ่งสั่งอินทรีย์ห้า รถแล่นผ่านไปด้วยความเร็วปกติธรรมดา และพอผ่านพ้นได้ราวห้าสิบเมตร หัวรถก็โฉบวูบเลี้ยวซ้ายเข้าหาตรอกแห่งหนึ่ง
“อินทรีย์สองเตรียมกล้อง! อินทรีย์สามลงมาคุ้มกัน ที่เหลือแสตนด์บายอยู่กับรถ”
คนสั่งการเปิดประตูก้าวลงจากรถ ลูกน้องสองคนผู้ได้รับคำสั่งต่างกุลีกุจอออกจากรถคนละฝั่ง แล้วคนทั้งสามก็วิ่งก้มตัวย้อนกลับไปโผล่ออกถนนเมนหลักที่เพิ่งนั่งรถผ่านมา ถนนเส้นนี้กว้างเพียงหกเมตร คนสองฝั่งสามารถคุยกันข้ามถนนได้อย่างสบายๆ นั่นเตือนให้รู้ว่า หากมีใครมองข้ามฝั่ง ย่อมสามารถมองเห็นสถานการณ์อีกฟากอย่างง่ายดาย
แต่สภาพห้องแถวของชาวประมงแถบนี้ ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆของพวกเขา ทำให้แต่ละบ้านต่างวางสัมภาระหน้าคูหาบ้านตัวเองเหมือนกันแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นวัฒนธรรมแสนคุ้นเคยของพวกเขานั่นเอง ถังไฟเบอร์ใบใหญ่ใส่ปลา ตลอดจนลังพลาสติก และกระทั่งลังสแตนเลสใบใหญ่ที่วางตั้งซ้อนกันแต่ละบ้าน ช่วยบดบังการมองเห็นจากคนฟากตรงข้ามเป็นอย่างดี
การเคลื่อนไหวของนายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดสามคน จึงดำเนินไปด้วยความปลอดโปร่ง ไร้รอยเงา
...
(มีต่อ)
๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 23
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** เป้าหมาย **
ใช้เวลาแค่เพียงสิบนาที ‘อินทรีย์สอง’ก็เสร็จสิ้นภารกิจของตัวเอง
แฮนดี้แคมถูกเก็บลงใต้น้ำและซุกใส่ถุงตาข่ายข้างเข็มขัด อินทรีย์สองขยับหน้ากากก่อนจะดําลงใต้น้ำ ผิวน้ำกระเพื่อมหุบราวกับปลาฮุบเหยื่อ อินทรีย์หนึ่งหรือ‘พันตำรวจโททัศนัย’เบนกล้องอินฟราเรดกลับไปยังเรือสินธุวารินทร์อีกครั้ง ลูกเรือสี่คนกำลังคลุมผ้าใบครอบลังไม้ หนึ่งในสี่ส่งสัญญาณมือบางอย่าง มีคนอีกห้าคนโผล่เพิ่มเข้ามาในเลนส์กล้อง แล้วพวกมันทุกคนก็แยกย้ายตามจุดของใครของมัน พร้อมกับเริ่มต้นลากอวนดักปลาตามบทบาทเหมือนเรือประมงทั่วไป
สิบห้านาทีต่อมา อินทรีย์สองดำน้ำกลับมาถึงเรือตัวเอง พันตำรวจโททัศนัยเอื้อมมือดึงลูกน้องขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายปีนบันไดโผล่จากผิวน้ำเต็มตัว ถังอ็อกซิเจนติดหลังท่อนเดียวถูกปลดออก คนที่ใช้มันก้าวขึ้นมาบนเรือและนั่งลงกับเหลี่ยมลังพลาสติกใบหนึ่ง
‘อินทรีย์สาม’ส่งเสียงขึ้น “มันตั้งท่าจะกลับฝั่งแล้วครับหัวหน้า” เขารายงานโดยยังนอนราบอยู่ที่เดิม ‘อินทรีย์สี่’ก็ยังนอนคว่ำอยู่กับปืนคู่กายเช่นกัน
“เรือเบนหัวมาทางเราแล้วครับ” คราวนี้เป็นอินทรีย์สี่ที่รายงาน
เสียงเครื่องยนต์เรือขนาดสิบวาดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม เมื่อมันเริ่มขยับลำ พันตำรวจโททัศนัยส่งเสียงบอกกับคนนำทางพวกเขาทันที
“ติดเครื่อง! เตรียมกลับฝั่ง”
เครื่องยนต์ HINO V 8 สูบ ส่งเสียงฮึ่มราวกับปลาฉลามงัวเงียตื่น หัวเรือค่อยๆวาดวงเลี้ยวแหวกผืนน้ำ หัวหน้าทีมตำรวจเฉพาะกิจวาดกล้องไปทางเรือเป้าหมาย ตัวเรือสินธุวารินทร์กำลังตั้งตรงและขยับเดินหน้า เขามองเห็นคนบนเรือกำลังช่วยกันเก็บอวนอย่างกระฉับกระเฉง ไม่มีอาการใดบ่งบอกความผิดปกติให้เห็น
“เก็บอาวุธได้แล้วพวกเรา”
“มันคงไม่โฉบมาทางพวกเรานะครับ” ลูกน้องผู้ขึ้นมาจากน้ำเปรยถามหัวหน้า
“เรือใหญ่จะไม่สนใจเรือเล็กหรอกครับ สบายใจได้เลย” เสียงจากคนควบคุมพังงาเรือดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ขึ้นมา
และจากคำยืนยันนั่นเอง ที่ทำให้นายตำรวจลูกน้องลุกขึ้นเก็บอาวุธตามคำสั่งหัวหน้า อินทรีย์สองลุกขึ้นถอดชุดมนุษย์กบออก ขณะที่อินทรีย์สามและสี่ถอดขาหยั่งปืนแล้วมุดหายลงไปในเคบินเรือ พันตำรวจโททัศนัยมองดูลูกน้องคนสุดท้ายเก็บสัมภาระพลางเอ่ยถาม
“เก็บรายละเอียดตัวหนังสือข้างลังชัดเจนมั๊ย”
“ชัดเจนครับ” อินทรีย์สองตอบ “ตรงตามสายข่าวส่วนกลางแจ้งมาครับผม”
“ดีมาก นายทำได้ดีมาก อินทรีย์สอง” เขาตบบ่าลูกน้องด้วยความจริงใจ
“ลุงป้าน!” นายพันตำรวจโทเรียกคนอยู่หน้าพังงาเรือ ลุงป้านตอบเสียงดังฟังชัด “ครับผม!”
“นำหน้า และไปให้ถึงฝั่งก่อนพวกมัน”
“ได้เลยครับ เรือพวกมันอืดกว่าเรือผมอยู่แล้ว แล้วพวกเราก็นำหน้ามันอยู่ห้าสิบเมตร ยังไงก็ไม่ได้กินผมหรอกครับเจ้านาย ฮ่าๆๆ...” คนนำทางหัวเราะอย่างมั่นใจในเรือห้าวาของตนเอง
แล้วในที่สุด เรือประมงเล็กขนาดห้าวาของลุงป้านก็เข้ามาทิ้งสมอห่างจากชายหาดราวยี่สิบเมตร นายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดทั้งสี่ต่างหย่อนตัวลงน้ำทีละคน ระดับความลึกหนึ่งเมตรยี่สิบเซ็นต์ ทำให้ทุกคนจมเปียกน้ำถึงระดับหน้าอกเสื้อ
คืนนี้คลื่นลมสงบ ได้ยินเพียงเสียงสาดซัดเบาๆจากระลอกคลื่นเข้ากระทบฝั่ง เจ้าหน้าที่ในชุดสีเทาลายพรางพากันฝ่าผืนน้ำขึ้นมาจนโผล่พ้นระดับข้อเท้า พันตำรวจโททัศนัยที่นำหน้าทุกคนพูดกับไมค์ข้างแก้มขึ้น เมื่อรองเท้าเริ่มสัมผัสทรายแห้งบนชายหาด
“อินทรีย์ห้า! รับที่จุดนัดพบด้วย ย้ำ! รับที่จุดนัดพบด้วย”
มีเสียงแกรกกรากนำมาก่อน ก่อนเสียงลูกน้องจะดังตามมา “รับทราบครับ! เจอกันในห้านาที”
การติดต่อสิ้นสุดลง หัวหน้าทีมมองกลับไปยังลูกน้องที่ต่างทยอยตามกันมา ทุกคนเปียกน้ำตั้งแต่หน้าอกลงไปในสภาพเดียวกัน อาวุธประจำกายไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการเคลื่อนตัว อินทรีย์สามและสี่คอนปืน M 16 A2 กับสองบ่า ในขณะอินทรีย์สองมีเป้ผ้าใบติดหลังและคล้องถังอ็อกซิเจนตามมาเป็นคนสุดท้าย
ชายหาดบางเสร่นอกชุมชนอาศัย สงบเงียบท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนกระจายกันอยู่กับโคนต้นมะพร้าวเพื่อถอดรองเท้าบู้ทเทน้ำทิ้ง นายพันตำรวจโทล้วงกล้องอินฟราเรดขึ้นมาส่องกลับไปยังเรือลุงป้าน ลุงป้านเพิ่งหย่อนตัวลงน้ำหลังจากตรวจเช็กทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กล้องเบนไปทางด้านข้างอีกสององศา เรือประมงสิบวาสินธุวารินทร์กําลังแล่นเข้าหาฝั่งในอาการผ่อนความเร็วลง
และเพียงอึดใจ เสียงเครื่องยนต์สปีดโบ้ทลำหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล พันตำรวจโททัศนัยกวาดกล้องไปทางนั้นทันที เขามองเห็นข้างเรือติดตัวหนังสือ YAMAHA เครื่องยนต์ 70 แรงม้ากำลังแหวกผืนน้ำออกจากริมหาดมุ่งไปหาเรือสินธุวารินทร์
รถแวกอนเชฟโรเล็ตสีดำปราดเข้ามาหยุดใกล้แนวต้นมะพร้าว ลูกน้องทั้งสามผละออกจากจุดพรางตัวพร้อมสัมภาระ มุ่งสู่พาหนะของพวกตนทันที เสียงจากอินทรีย์ห้าดังผ่านเอียร์โฟนเข้ามาฟังชัดเจน “เคลียร์!” นั่นคือสัญญาณแจ้งสถานการณ์โดยรอบ
สปีดโบ้ทซึ่งแล่นฝ่าผืนน้ำออกไปเมื่อครู่นั้น ขณะนี้มันกำลังจอดลอยลำรับลังไม้ปริศนาที่ถูกหย่อนลงมาจากเรือสินธุวารินทร์ ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเรียบง่าย และเมื่อคนในสปีดโบ้ทตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เรือเร็วลำเล็กก็ตีวงแล่นย้อนกลับมา
กล้องส่องอินฟราเรดในมือพันตำรวจโททัศนัยยังเกาะติดสถานการณ์ที่เรือเร็ว YAMAHA เขาเห็นมันแล่นเข้าชายฝั่งห่างออกไปยี่สิบเมตร ณ จุดตรงนั้นมีตัวเรือนสังกะสีทอดกลืนลงไปหาน้ำทะเล ประตูสังกะสีบานใหญ่เปิดกว้างทั้งสองบาน แล้วเรือเร็ว YAMAHA ลำนั้นก็แล่นหายเข้าไปในบานประตู มันน่าจะเป็นร่องน้ำซึ่งขุดเซาะเอาไว้เพื่อการเข้าออกของเรือเล็กนั่นเอง
“ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า” เสียงจากอินทรีย์ห้าย้ำมา หัวหน้าทีมเก็บกล้องก่อนจะวิ่งมายังรถเชฟโรเล็ต
“ค่อยๆเลาะไปตามถนนเลียบหาด อีกราวยี่สิบเมตรข้างหน้าเราก็จะได้รู้กันล่ะว่า โรงแช่แข็งของพวกมันรัดกุมระดับไหน”
พันตำรวจโททัศนัยเอ่ย ขณะมุดตัวขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ เสียงประตูปิดดังตามมาพร้อมๆกับล้อรถขยับเคลื่อนตัว...
รถแวกอนสีดำค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อกำลังจะมาถึงหน้าห้องแถวไม้ขนาดห้าคูหา ตัวหนังสือเหนือกรอบประตูใหญ่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า‘ห้างหุ้นส่วนจำกัดวารินทร์ซับพลายด์’ บานประตูเมทัลชีทบานใหญ่ปิดเงียบ หลอดฟลูออเรสเซ้นต์ใต้ชายคาส่องแสงมัวซัวราวกับมันเหนื่อยหน่ายกับหน้าที่ตัวเอง ชายสองคนข้างประตูเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมากฮอสมองรถวิ่งผ่าน ท่าทางซังกะตายของพวกมันคล้ายกับไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เห็นแต่อย่างใด
ดี!... หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจพูดกับตัวเองในใจ
ทว่า อีกคนซึ่งเดินไปมาหน้าบานประตูกลับมีอาการระวังภัย มันจ้องเขม็งขณะรถแวกอนแล่นผ่านหน้า มือของมันข้างหนึ่งสอดเข้าใต้ชายเสื้อเชิ้ตตัวนอก พันตำรวจโททัศนัยมองแค่นั้นก็รู้แล้วว่า ไอ้นี่มีอาวุธติดซอกเอวแน่นอน
“ผ่านไป!” อินทรีย์หนึ่งสั่งอินทรีย์ห้า รถแล่นผ่านไปด้วยความเร็วปกติธรรมดา และพอผ่านพ้นได้ราวห้าสิบเมตร หัวรถก็โฉบวูบเลี้ยวซ้ายเข้าหาตรอกแห่งหนึ่ง
“อินทรีย์สองเตรียมกล้อง! อินทรีย์สามลงมาคุ้มกัน ที่เหลือแสตนด์บายอยู่กับรถ”
คนสั่งการเปิดประตูก้าวลงจากรถ ลูกน้องสองคนผู้ได้รับคำสั่งต่างกุลีกุจอออกจากรถคนละฝั่ง แล้วคนทั้งสามก็วิ่งก้มตัวย้อนกลับไปโผล่ออกถนนเมนหลักที่เพิ่งนั่งรถผ่านมา ถนนเส้นนี้กว้างเพียงหกเมตร คนสองฝั่งสามารถคุยกันข้ามถนนได้อย่างสบายๆ นั่นเตือนให้รู้ว่า หากมีใครมองข้ามฝั่ง ย่อมสามารถมองเห็นสถานการณ์อีกฟากอย่างง่ายดาย
แต่สภาพห้องแถวของชาวประมงแถบนี้ ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆของพวกเขา ทำให้แต่ละบ้านต่างวางสัมภาระหน้าคูหาบ้านตัวเองเหมือนกันแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นวัฒนธรรมแสนคุ้นเคยของพวกเขานั่นเอง ถังไฟเบอร์ใบใหญ่ใส่ปลา ตลอดจนลังพลาสติก และกระทั่งลังสแตนเลสใบใหญ่ที่วางตั้งซ้อนกันแต่ละบ้าน ช่วยบดบังการมองเห็นจากคนฟากตรงข้ามเป็นอย่างดี
การเคลื่อนไหวของนายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดสามคน จึงดำเนินไปด้วยความปลอดโปร่ง ไร้รอยเงา...
(มีต่อ)