๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 23

กระทู้สนทนา
เรื่องราวจากตอนที่ผ่านมา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

23

** เป้าหมาย **


ใช้เวลาแค่เพียงสิบนาที  ‘อินทรีย์สอง’ก็เสร็จสิ้นภารกิจของตัวเอง

แฮนดี้แคมถูกเก็บลงใต้น้ำและซุกใส่ถุงตาข่ายข้างเข็มขัด อินทรีย์สองขยับหน้ากากก่อนจะดําลงใต้น้ำ  ผิวน้ำกระเพื่อมหุบราวกับปลาฮุบเหยื่อ  อินทรีย์หนึ่งหรือ‘พันตำรวจโททัศนัย’เบนกล้องอินฟราเรดกลับไปยังเรือสินธุวารินทร์อีกครั้ง  ลูกเรือสี่คนกำลังคลุมผ้าใบครอบลังไม้ หนึ่งในสี่ส่งสัญญาณมือบางอย่าง มีคนอีกห้าคนโผล่เพิ่มเข้ามาในเลนส์กล้อง แล้วพวกมันทุกคนก็แยกย้ายตามจุดของใครของมัน  พร้อมกับเริ่มต้นลากอวนดักปลาตามบทบาทเหมือนเรือประมงทั่วไป

                สิบห้านาทีต่อมา  อินทรีย์สองดำน้ำกลับมาถึงเรือตัวเอง พันตำรวจโททัศนัยเอื้อมมือดึงลูกน้องขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายปีนบันไดโผล่จากผิวน้ำเต็มตัว ถังอ็อกซิเจนติดหลังท่อนเดียวถูกปลดออก คนที่ใช้มันก้าวขึ้นมาบนเรือและนั่งลงกับเหลี่ยมลังพลาสติกใบหนึ่ง

                ‘อินทรีย์สาม’ส่งเสียงขึ้น “มันตั้งท่าจะกลับฝั่งแล้วครับหัวหน้า” เขารายงานโดยยังนอนราบอยู่ที่เดิม  ‘อินทรีย์สี่’ก็ยังนอนคว่ำอยู่กับปืนคู่กายเช่นกัน

                “เรือเบนหัวมาทางเราแล้วครับ” คราวนี้เป็นอินทรีย์สี่ที่รายงาน

                เสียงเครื่องยนต์เรือขนาดสิบวาดังกระหึ่มขึ้นกว่าเดิม เมื่อมันเริ่มขยับลำ พันตำรวจโททัศนัยส่งเสียงบอกกับคนนำทางพวกเขาทันที

                “ติดเครื่อง! เตรียมกลับฝั่ง”

                เครื่องยนต์ HINO  V 8 สูบ ส่งเสียงฮึ่มราวกับปลาฉลามงัวเงียตื่น หัวเรือค่อยๆวาดวงเลี้ยวแหวกผืนน้ำ หัวหน้าทีมตำรวจเฉพาะกิจวาดกล้องไปทางเรือเป้าหมาย ตัวเรือสินธุวารินทร์กำลังตั้งตรงและขยับเดินหน้า เขามองเห็นคนบนเรือกำลังช่วยกันเก็บอวนอย่างกระฉับกระเฉง  ไม่มีอาการใดบ่งบอกความผิดปกติให้เห็น

                “เก็บอาวุธได้แล้วพวกเรา”

                “มันคงไม่โฉบมาทางพวกเรานะครับ” ลูกน้องผู้ขึ้นมาจากน้ำเปรยถามหัวหน้า

                “เรือใหญ่จะไม่สนใจเรือเล็กหรอกครับ สบายใจได้เลย” เสียงจากคนควบคุมพังงาเรือดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ขึ้นมา

                และจากคำยืนยันนั่นเอง ที่ทำให้นายตำรวจลูกน้องลุกขึ้นเก็บอาวุธตามคำสั่งหัวหน้า  อินทรีย์สองลุกขึ้นถอดชุดมนุษย์กบออก ขณะที่อินทรีย์สามและสี่ถอดขาหยั่งปืนแล้วมุดหายลงไปในเคบินเรือ พันตำรวจโททัศนัยมองดูลูกน้องคนสุดท้ายเก็บสัมภาระพลางเอ่ยถาม

                “เก็บรายละเอียดตัวหนังสือข้างลังชัดเจนมั๊ย”

                “ชัดเจนครับ” อินทรีย์สองตอบ “ตรงตามสายข่าวส่วนกลางแจ้งมาครับผม”

                “ดีมาก นายทำได้ดีมาก อินทรีย์สอง” เขาตบบ่าลูกน้องด้วยความจริงใจ

                “ลุงป้าน!” นายพันตำรวจโทเรียกคนอยู่หน้าพังงาเรือ ลุงป้านตอบเสียงดังฟังชัด “ครับผม!”

                “นำหน้า และไปให้ถึงฝั่งก่อนพวกมัน”

                “ได้เลยครับ เรือพวกมันอืดกว่าเรือผมอยู่แล้ว แล้วพวกเราก็นำหน้ามันอยู่ห้าสิบเมตร ยังไงก็ไม่ได้กินผมหรอกครับเจ้านาย ฮ่าๆๆ...”  คนนำทางหัวเราะอย่างมั่นใจในเรือห้าวาของตนเอง



แล้วในที่สุด เรือประมงเล็กขนาดห้าวาของลุงป้านก็เข้ามาทิ้งสมอห่างจากชายหาดราวยี่สิบเมตร นายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดทั้งสี่ต่างหย่อนตัวลงน้ำทีละคน ระดับความลึกหนึ่งเมตรยี่สิบเซ็นต์ ทำให้ทุกคนจมเปียกน้ำถึงระดับหน้าอกเสื้อ

                คืนนี้คลื่นลมสงบ ได้ยินเพียงเสียงสาดซัดเบาๆจากระลอกคลื่นเข้ากระทบฝั่ง เจ้าหน้าที่ในชุดสีเทาลายพรางพากันฝ่าผืนน้ำขึ้นมาจนโผล่พ้นระดับข้อเท้า พันตำรวจโททัศนัยที่นำหน้าทุกคนพูดกับไมค์ข้างแก้มขึ้น เมื่อรองเท้าเริ่มสัมผัสทรายแห้งบนชายหาด

                “อินทรีย์ห้า! รับที่จุดนัดพบด้วย ย้ำ! รับที่จุดนัดพบด้วย”

                มีเสียงแกรกกรากนำมาก่อน ก่อนเสียงลูกน้องจะดังตามมา “รับทราบครับ! เจอกันในห้านาที”

                การติดต่อสิ้นสุดลง หัวหน้าทีมมองกลับไปยังลูกน้องที่ต่างทยอยตามกันมา ทุกคนเปียกน้ำตั้งแต่หน้าอกลงไปในสภาพเดียวกัน  อาวุธประจำกายไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการเคลื่อนตัว อินทรีย์สามและสี่คอนปืน M 16 A2 กับสองบ่า ในขณะอินทรีย์สองมีเป้ผ้าใบติดหลังและคล้องถังอ็อกซิเจนตามมาเป็นคนสุดท้าย

                ชายหาดบางเสร่นอกชุมชนอาศัย สงบเงียบท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนกระจายกันอยู่กับโคนต้นมะพร้าวเพื่อถอดรองเท้าบู้ทเทน้ำทิ้ง นายพันตำรวจโทล้วงกล้องอินฟราเรดขึ้นมาส่องกลับไปยังเรือลุงป้าน ลุงป้านเพิ่งหย่อนตัวลงน้ำหลังจากตรวจเช็กทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย  กล้องเบนไปทางด้านข้างอีกสององศา เรือประมงสิบวาสินธุวารินทร์กําลังแล่นเข้าหาฝั่งในอาการผ่อนความเร็วลง

                และเพียงอึดใจ เสียงเครื่องยนต์สปีดโบ้ทลำหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล พันตำรวจโททัศนัยกวาดกล้องไปทางนั้นทันที เขามองเห็นข้างเรือติดตัวหนังสือ YAMAHA เครื่องยนต์ 70 แรงม้ากำลังแหวกผืนน้ำออกจากริมหาดมุ่งไปหาเรือสินธุวารินทร์

                รถแวกอนเชฟโรเล็ตสีดำปราดเข้ามาหยุดใกล้แนวต้นมะพร้าว ลูกน้องทั้งสามผละออกจากจุดพรางตัวพร้อมสัมภาระ มุ่งสู่พาหนะของพวกตนทันที เสียงจากอินทรีย์ห้าดังผ่านเอียร์โฟนเข้ามาฟังชัดเจน “เคลียร์!” นั่นคือสัญญาณแจ้งสถานการณ์โดยรอบ

                สปีดโบ้ทซึ่งแล่นฝ่าผืนน้ำออกไปเมื่อครู่นั้น ขณะนี้มันกำลังจอดลอยลำรับลังไม้ปริศนาที่ถูกหย่อนลงมาจากเรือสินธุวารินทร์ ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเรียบง่าย และเมื่อคนในสปีดโบ้ทตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เรือเร็วลำเล็กก็ตีวงแล่นย้อนกลับมา

                กล้องส่องอินฟราเรดในมือพันตำรวจโททัศนัยยังเกาะติดสถานการณ์ที่เรือเร็ว YAMAHA เขาเห็นมันแล่นเข้าชายฝั่งห่างออกไปยี่สิบเมตร ณ จุดตรงนั้นมีตัวเรือนสังกะสีทอดกลืนลงไปหาน้ำทะเล ประตูสังกะสีบานใหญ่เปิดกว้างทั้งสองบาน แล้วเรือเร็ว YAMAHA ลำนั้นก็แล่นหายเข้าไปในบานประตู  มันน่าจะเป็นร่องน้ำซึ่งขุดเซาะเอาไว้เพื่อการเข้าออกของเรือเล็กนั่นเอง

                “ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า” เสียงจากอินทรีย์ห้าย้ำมา หัวหน้าทีมเก็บกล้องก่อนจะวิ่งมายังรถเชฟโรเล็ต

                “ค่อยๆเลาะไปตามถนนเลียบหาด อีกราวยี่สิบเมตรข้างหน้าเราก็จะได้รู้กันล่ะว่า โรงแช่แข็งของพวกมันรัดกุมระดับไหน”

                พันตำรวจโททัศนัยเอ่ย ขณะมุดตัวขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ เสียงประตูปิดดังตามมาพร้อมๆกับล้อรถขยับเคลื่อนตัว...



รถแวกอนสีดำค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อกำลังจะมาถึงหน้าห้องแถวไม้ขนาดห้าคูหา ตัวหนังสือเหนือกรอบประตูใหญ่ขึ้นป้ายเอาไว้ว่า‘ห้างหุ้นส่วนจำกัดวารินทร์ซับพลายด์’  บานประตูเมทัลชีทบานใหญ่ปิดเงียบ  หลอดฟลูออเรสเซ้นต์ใต้ชายคาส่องแสงมัวซัวราวกับมันเหนื่อยหน่ายกับหน้าที่ตัวเอง  ชายสองคนข้างประตูเงยหน้าขึ้นจากกระดานหมากฮอสมองรถวิ่งผ่าน  ท่าทางซังกะตายของพวกมันคล้ายกับไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เห็นแต่อย่างใด

                ดี!... หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจพูดกับตัวเองในใจ

                ทว่า อีกคนซึ่งเดินไปมาหน้าบานประตูกลับมีอาการระวังภัย  มันจ้องเขม็งขณะรถแวกอนแล่นผ่านหน้า มือของมันข้างหนึ่งสอดเข้าใต้ชายเสื้อเชิ้ตตัวนอก พันตำรวจโททัศนัยมองแค่นั้นก็รู้แล้วว่า ไอ้นี่มีอาวุธติดซอกเอวแน่นอน

                “ผ่านไป!” อินทรีย์หนึ่งสั่งอินทรีย์ห้า รถแล่นผ่านไปด้วยความเร็วปกติธรรมดา และพอผ่านพ้นได้ราวห้าสิบเมตร  หัวรถก็โฉบวูบเลี้ยวซ้ายเข้าหาตรอกแห่งหนึ่ง

                “อินทรีย์สองเตรียมกล้อง! อินทรีย์สามลงมาคุ้มกัน ที่เหลือแสตนด์บายอยู่กับรถ”

                คนสั่งการเปิดประตูก้าวลงจากรถ  ลูกน้องสองคนผู้ได้รับคำสั่งต่างกุลีกุจอออกจากรถคนละฝั่ง แล้วคนทั้งสามก็วิ่งก้มตัวย้อนกลับไปโผล่ออกถนนเมนหลักที่เพิ่งนั่งรถผ่านมา  ถนนเส้นนี้กว้างเพียงหกเมตร คนสองฝั่งสามารถคุยกันข้ามถนนได้อย่างสบายๆ นั่นเตือนให้รู้ว่า  หากมีใครมองข้ามฝั่ง ย่อมสามารถมองเห็นสถานการณ์อีกฟากอย่างง่ายดาย

                แต่สภาพห้องแถวของชาวประมงแถบนี้  ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆของพวกเขา ทำให้แต่ละบ้านต่างวางสัมภาระหน้าคูหาบ้านตัวเองเหมือนกันแทบทุกหลังคาเรือน มันเป็นวัฒนธรรมแสนคุ้นเคยของพวกเขานั่นเอง ถังไฟเบอร์ใบใหญ่ใส่ปลา ตลอดจนลังพลาสติก และกระทั่งลังสแตนเลสใบใหญ่ที่วางตั้งซ้อนกันแต่ละบ้าน ช่วยบดบังการมองเห็นจากคนฟากตรงข้ามเป็นอย่างดี

                การเคลื่อนไหวของนายตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดสามคน จึงดำเนินไปด้วยความปลอดโปร่ง ไร้รอยเงา...


(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่