ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/36695065 ** บทนำ ** https://pantip.com/topic/36873802 11 ** หยั่งเชิง **
https://pantip.com/topic/36707713 1 ** หน่วยเหยี่ยวพิฆาต ** https://pantip.com/topic/36889820 12 ** ผู้ทรงอิทธิพล **
https://pantip.com/topic/36722529 2 ** ลางร้าย ** https://pantip.com/topic/36905595 13 ** ลวงให้ชิงตัว **
https://pantip.com/topic/36739946 3 ** ตัวเชื่อมโยง ** https://pantip.com/topic/36924993 14 ** เป็นไปตามแผน **
https://pantip.com/topic/36754111 4 ** เรียกตัว ** https://pantip.com/topic/36945317 15 ** องค์กรอสรพิษเขี้ยวเงิน **
https://pantip.com/topic/36768151 5 ** พร้อมหน้า **
https://pantip.com/topic/36781641 6 ** ชายชราผมดอกเลา**
https://pantip.com/topic/36798608 7 ** เตรียมแผนการ **
https://pantip.com/topic/36823217 8 ** เป็นไปตามแผน **
https://pantip.com/topic/36846614 9 ** พร้อมรับมือ **
https://pantip.com/topic/36856028 10 ** ร่องรอยเรื่องราว **
16
** หายใจรดต้นคอ **
ห้องกักตัวเสมือนห้องนอนธรรมดาตั้งแต่เมื่อคืนกลับกลายมาเป็นห้องฝึกสมาธิไปโดยปริยาย ตั้งแต่ ‘เจนจิรา’ ได้เจอหน้ากับ ‘ชายชราผมดอกเลา’ ร่วมครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
วัยหกสิบกว่าของนายประกรศักดิ์ไม่มีอาการโรยล้าใด ๆ ให้มองเห็น ริ้วรอยบนใบหน้า ยังดูดีตามแบบฉบับผู้มีอันเกินกินเสมอ เขาเดินรอบเก้าอี้ตัวว่างกลางห้อง เกริ่นนำประหนึ่งยินดีที่ได้รู้จักกับเธอ พร้อมทั้งเปิดเผยสถานะตัวเองคร่าว ๆ สั้น ๆ
เมื่อรู้ว่าตัวเองใช้เวลาไปพอสมควรแล้ว จึงวนกลับมานั่งลงที่เก้าอี้กลางห้อง ยกขาข้างหนึ่งไขว่ห้างด้วยท่าทีแบบสบาย ๆ ราวกับเจ้าของบ้านแวะมาเยี่ยมเยียนแขกสำคัญถึงห้องนอน
เขานั่งโดดเด่นอยู่กลางห้อง ชัดเจน และเปิดเผย
ที่ ‘เจนจิรา’ มองเห็นชัดเจน ก็เพราะตำแหน่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ใต้โคมไฟซาลาเปาเหนือหัวเขาพอดี สัญชาตญาณซึ่งได้รับการฝึกมา ทำให้เธอมองเห็นจุดที่จะทำให้ชายชราตรงหน้าเกิดการโกลาหลได้แล้ว แค่เธอทำให้โคมไฟดวงนั้นกระจุยลงมา เธอนั่นก็เพียงพอแล้ว กับการฆ่าใครสักคน
เจนจิรานั่งอยู่กับขอบเตียงชิดผนังห้อง คนสองคนนั่งประจัญหน้ากันด้วยความรู้สึกตรงกันเพียงอย่างเดียวคือ ..
หากแกหมดค่าแล้ว ฉันจะกำจัดแกเอง‼ ..
‘จันทิราตัวปลอม’ แสร้งกุมสองมือสั่นระริกเพื่อให้ชายชรามองเห็นอาการเกร็ง .. เครียด .. และสับสน ทั้งที่ในใจของเธอมีแต่ความเคียดแค้น .. ชิงชัง .. และขยะแขยงในตัวเขามากกว่า
เธอไม่ได้เครียดแต่อย่างใด แต่กำลังตื่นตัวต่างหาก
และพร้อมแล้ว สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเบื้องหน้า‼
ผู้มีศักดิ์เป็นอดีตของพ่อสามี ใช้เวลากับการสนทนากับอดีตลูกสะใภ้ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง โดยการสนทนานั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการพูดอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า คำพูดของเขาดูดี ไม่มีประโยคคุกคามแม้แต่ประโยคเดียว ส่วนใหญ่เป็นการเท้าความถึงสาเหตุที่ทำให้ ‘เธอกับเขา’ ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันเสียมากกว่า
เขามีจิตวิทยาในการสนทนาอย่างเห็นได้ชัด แม้บางช่วงตอนคล้ายกับตำหนิใครสักคน โดยโยงกับเรื่องโน้น เรื่องนี้ ซึ่งเจนจิราก็ไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น เขาไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นสาเหตุของเรื่องโน้น หรือเรื่องนี้ ที่ทำให้เขาและจันทิราไม่เคยได้พบกัน
เสียงในภวังค์เสียงหนึ่ง กระซิบเตือนเจนจิราแผ่วเบา
..
จำไว้ให้แม่นว่า จันทิราไม่เคยเจอหน้ากันเลยกับนายประกรศักดิ์ เพราะปกรณ์เดชลูกชายเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น .. เสียงผู้พันจามรดังแว่วในโสตประสาท
สายงานที่แยกส่วนจากกันรวมทั้งที่อยู่ซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของนายปกรณ์เดชลูกชาย เป็นประเด็นซึ่งชายชราเบื้องหน้านำมาเน้นน้ำหนักจนเจนจิราสัมผัสได้ ปกรณ์เดชทำงานให้ผู้เป็นพ่อก็จริง แต่ฟังจากปากผู้เป็นพ่อแล้ว เจนจิรารู้ในทันทีว่าความเป็นพ่อลูกกันของคนคู่นี้ นายปกรณ์เดชมีให้พ่อแค่เพียง‘หุ้นส่วน’เท่านั้น ในขณะลึกๆในใจผู้เป็นพ่อพยายามจะสานถักสายใยพ่อลูกให้กลับมาตลอดเวลา แต่ ณ เวลานี้ เขาหมดเวลาที่จะทำเช่นนั้นแล้ว
คำพูดจาตามแบบฉบับนักการเมืองระดับที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วย ทำให้เจนจิราต้องระวังตัวมากขึ้น เขาพยายามล่อหลอกให้เธอเผลอคำพูดอะไรสักอย่างออกมา เพื่อเช็กว่าขนิษฐารู้เรื่องความเป็นไปในสายงานระดับไหน ทว่า ข้อมูลตัวตนของขนิษฐาในส่วนนี้ ผู้พันจามรซักซ้อมให้เธอมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ขนิษฐาไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องราวใดๆ ไม่รู้แม้กระทั่งพ่อของสามีเป็นใคร
“เธอไม่รู้จักฉันจริงๆเหรอ?” คำถามซ้ำซากนั้นกลับมาอีกรอบ แต่รอบนี้เจนจิราคลายความอึดอัดลงแล้ว เพราะนอกจากชายชราผมดอกเลาจะพยายามพูดจาให้ดูเป็นกันเองขึ้น เรื่องราวส่วนตัวซึ่งไม่จำเป็นต้องเล่าให้ฟัง เขาก็ยังเล่าให้ฟัง การทำให้เธอผ่อนคลายเป็นเรื่องดี แต่อย่าหวังเลยสำหรับการพลาดตกลงไปในหลุมที่เขากำลังวางขวากหนามดักอยู่
“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ปกรณ์เขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลยค่ะ” สรรพนามที่ต้องเรียกปกรณ์เฉยๆนั้น ผู้พันจามรกำชับนักหนา จนเจนจิราจำขึ้นใจไม่เคยพลาด
“เขาไม่เคยพาติดรถไปทำงานด้วยเลยเหรอ?” นี่ก็คำถามเดิมอีกแล้ว แม้จะไม่ใช่ประโยคเดียวกัน แต่คำถามซึ่งต้องการคำตอบว่าเธอรู้เห็นเรื่องเลวทรามด้วยหรือไม่ มันก็ไม่ต่างกันหรอกสำหรับคำตอบแบบดิม
“ไม่เคยเลยสักครั้งค่ะ” นั่นคือข้อมูลจริง
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เจนจิรามองผ่านใบหน้าชายชราไปยังหลังบานประตู
เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เธอจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงคือนายวิทยา “มีสายเรียกเข้าจากเครื่องดำครับนายท่าน”
“เดี๋ยวฉันออกไปรับเอง” นายประกรศักดิ์เอี้ยวหน้าไปตอบพร้อมกับลุกขึ้น เขามองมายังเจนจิราแวบหนึ่ง พยายามค้นหาบางสิ่งในสายตาของเธอ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเมื่อพบแต่ความว่างเปล่าในแววตาเธอ
ประตูถูกปิดล็อคจากข้างนอกเหมือนเมื่อคืน เจนจิรานั่งนิ่งใช้ความคิด
“ว่าไงนะครับ?”
นายประกรศักดิ์เอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ในห้องนอนเลขาแต่เพียงลำพัง
“วันอาทิตย์นี้ มูลนิธิเราจะเปิดตัวเด็กซึ่งรับมาเยียวยาล็อตแรก ลื้อต้องไปออกสื่อกับอั๊วด้วยนะ ได้ยินไหม” นายประกรศักดิ์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงวันอาทิตย์ในประโยคนั้น
“วันอาทิตย์เหรอครับ เอ่อ .. รู้สึกผมมีนัดกับคุณนิรันดร์หรือเปล่าไม่แน่ใจ ขอผมเช็กดูก่อน”
“เฮ้ย เรื่องขี้ผงว่ะ เดี๋ยวอั๊วคุยกับหัวหน้าพรรคของลื้อให้เอง”
“ไม่ต้องลำบากครับท่าน ผมจัดการเองได้ครับ” สิ่งซึ่งสะดุดใจแต่ต้น สะกิดใจให้เขาตั้งคำถาม “ท่านพูดถึงเด็กล็อตแรก ตอนนี้ได้เด็กพวกนั้นมาแล้วเหรอครับ”
“ใช่ สิบหกคนด้วย กำลังโทรมดูไม่ได้เลยว่ะ ฮ่า ๆ ๆ . . ”
นายประกรศักดิ์เผลอกุมโทรศัพท์มือถือแน่น เขาไม่ได้ใส่ใจกับจำนวนตัวเลขและสภาพเด็กตามที่ได้รับฟัง แต่ความแปลกใจต่างหากที่กำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยคำถาม
นายพลใหญ่ผู้นี้ได้สิ่งสำคัญสําหรับมูลนิธิมาจากไหน? อย่างไร?
“ไม่ต้องงงหรอกว่าอั๊วได้มายังไง และจากใคร” น้ำเสียงวางอำนาจนั้นเอ่ยกับเขาราวกับรู้เห็นในสิ่งที่เขากำลังคิด คำพูดของนายพลเกษียณยังตามติดมาอีก “ตอนนี้เด็กสาวพวกนั้นอยู่ในที่ที่อั๊วจัดไว้ให้อย่างดีแล้วล่ะ ลื้อไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ทำตัวให้ว่างวันอาทิตย์นี้ก็พอ”
คำพูดราวกับสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเคยชินนั้น ทำให้นายประกรศักดิ์เงียบไป
คราวนี้เขาได้ยินคำถามใหม่ “ลื้อได้ตัวขนิษฐาหรือยัง?”
“ได้แล้วครับ” เขาไม่ต้องการโกหก เพราะชายวัยเดียวกันกับเขาผู้นี้เป็นคนให้ข้อมูลก่อนหน้าว่าขนิษฐาถูกเก็บตัวไว้ที่ไหนนั่นเอง
“อย่าฆ่าเธอทิ้งซะล่ะ ถ้าจะทำอย่างนั้น อั๊วขอนะ เธอจะได้เป็นอีกคนซึ่งควรมีส่วนร่วมกับมูลนิธิอั๊ว ไม่ต้องห่วงว่าเธอรู้อะไรแค่ไหนกับงานผ่านมาของลื้อ อั๊วนี่ล่ะบอกกับลื้อได้เลยว่า เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก”
คำพูดซึ่งแทงใจดำหลายเรื่อง ทำให้นายประกรศักดิ์พูดอะไรไม่ออก “ผมกำลังคุยกับเธออยู่นี่เองครับ”
“อ้าว เรอะ.. อย่าให้ช้ำนะเว้ย เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก” เสียงนั้นย้ำมาอีกรอบ
ชายผมสีดอกเลาขบกรามแน่น “ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นครับ”
“ไม่ต้องร้อนตัวหรอก รู้ๆกันอยู่ แต่ก็เอ๊า ตามสบายเลยกับเรื่องส่วนตัวของลื้อ อย่าลืมวันอาทิตย์นี้แล้วกัน”
สายจากปลายทางถูกวางไปแล้ว ชายชราอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยกดโทรศัพท์วางสายตาม เขานึกถึง‘นายนิรันดร์’หัวหน้าพรรคตัวเองขึ้นมา ตารางนัดหมายสำคัญใดก็ไม่มีความสำคัญอีกแล้ว เมื่อนัดสำคัญกว่าจากนายพลผู้นี้แทรกเข้ามาขัด
“ขอโทรศัพท์เครื่องสีขาวซิ วิทยา”
เขาเอ่ยกับเลขาเมื่อเปิดประตูออกไปเจอตัว นายวิทยาลุกจากเก้าอี้เดินมาส่งโทรศัพท์อีกเครื่องให้เจ้านาย และเลียบเคียงถาม “เอาไงต่อกับขนิษฐาครับท่าน”
“เอาไว้ให้ฉันคุยกับเธอเสร็จก่อน แล้วจะบอกอีกที”
(มีต่อ)
๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 16
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วัยหกสิบกว่าของนายประกรศักดิ์ไม่มีอาการโรยล้าใด ๆ ให้มองเห็น ริ้วรอยบนใบหน้า ยังดูดีตามแบบฉบับผู้มีอันเกินกินเสมอ เขาเดินรอบเก้าอี้ตัวว่างกลางห้อง เกริ่นนำประหนึ่งยินดีที่ได้รู้จักกับเธอ พร้อมทั้งเปิดเผยสถานะตัวเองคร่าว ๆ สั้น ๆ
เมื่อรู้ว่าตัวเองใช้เวลาไปพอสมควรแล้ว จึงวนกลับมานั่งลงที่เก้าอี้กลางห้อง ยกขาข้างหนึ่งไขว่ห้างด้วยท่าทีแบบสบาย ๆ ราวกับเจ้าของบ้านแวะมาเยี่ยมเยียนแขกสำคัญถึงห้องนอน
เขานั่งโดดเด่นอยู่กลางห้อง ชัดเจน และเปิดเผย
ที่ ‘เจนจิรา’ มองเห็นชัดเจน ก็เพราะตำแหน่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ใต้โคมไฟซาลาเปาเหนือหัวเขาพอดี สัญชาตญาณซึ่งได้รับการฝึกมา ทำให้เธอมองเห็นจุดที่จะทำให้ชายชราตรงหน้าเกิดการโกลาหลได้แล้ว แค่เธอทำให้โคมไฟดวงนั้นกระจุยลงมา เธอนั่นก็เพียงพอแล้ว กับการฆ่าใครสักคน
เจนจิรานั่งอยู่กับขอบเตียงชิดผนังห้อง คนสองคนนั่งประจัญหน้ากันด้วยความรู้สึกตรงกันเพียงอย่างเดียวคือ .. หากแกหมดค่าแล้ว ฉันจะกำจัดแกเอง‼ ..
‘จันทิราตัวปลอม’ แสร้งกุมสองมือสั่นระริกเพื่อให้ชายชรามองเห็นอาการเกร็ง .. เครียด .. และสับสน ทั้งที่ในใจของเธอมีแต่ความเคียดแค้น .. ชิงชัง .. และขยะแขยงในตัวเขามากกว่า
เธอไม่ได้เครียดแต่อย่างใด แต่กำลังตื่นตัวต่างหาก
และพร้อมแล้ว สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินเบื้องหน้า‼
ผู้มีศักดิ์เป็นอดีตของพ่อสามี ใช้เวลากับการสนทนากับอดีตลูกสะใภ้ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง โดยการสนทนานั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการพูดอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า คำพูดของเขาดูดี ไม่มีประโยคคุกคามแม้แต่ประโยคเดียว ส่วนใหญ่เป็นการเท้าความถึงสาเหตุที่ทำให้ ‘เธอกับเขา’ ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันเสียมากกว่า
เขามีจิตวิทยาในการสนทนาอย่างเห็นได้ชัด แม้บางช่วงตอนคล้ายกับตำหนิใครสักคน โดยโยงกับเรื่องโน้น เรื่องนี้ ซึ่งเจนจิราก็ไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น เขาไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นสาเหตุของเรื่องโน้น หรือเรื่องนี้ ที่ทำให้เขาและจันทิราไม่เคยได้พบกัน
เสียงในภวังค์เสียงหนึ่ง กระซิบเตือนเจนจิราแผ่วเบา
.. จำไว้ให้แม่นว่า จันทิราไม่เคยเจอหน้ากันเลยกับนายประกรศักดิ์ เพราะปกรณ์เดชลูกชายเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น .. เสียงผู้พันจามรดังแว่วในโสตประสาท
สายงานที่แยกส่วนจากกันรวมทั้งที่อยู่ซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของนายปกรณ์เดชลูกชาย เป็นประเด็นซึ่งชายชราเบื้องหน้านำมาเน้นน้ำหนักจนเจนจิราสัมผัสได้ ปกรณ์เดชทำงานให้ผู้เป็นพ่อก็จริง แต่ฟังจากปากผู้เป็นพ่อแล้ว เจนจิรารู้ในทันทีว่าความเป็นพ่อลูกกันของคนคู่นี้ นายปกรณ์เดชมีให้พ่อแค่เพียง‘หุ้นส่วน’เท่านั้น ในขณะลึกๆในใจผู้เป็นพ่อพยายามจะสานถักสายใยพ่อลูกให้กลับมาตลอดเวลา แต่ ณ เวลานี้ เขาหมดเวลาที่จะทำเช่นนั้นแล้ว
คำพูดจาตามแบบฉบับนักการเมืองระดับที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วย ทำให้เจนจิราต้องระวังตัวมากขึ้น เขาพยายามล่อหลอกให้เธอเผลอคำพูดอะไรสักอย่างออกมา เพื่อเช็กว่าขนิษฐารู้เรื่องความเป็นไปในสายงานระดับไหน ทว่า ข้อมูลตัวตนของขนิษฐาในส่วนนี้ ผู้พันจามรซักซ้อมให้เธอมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ขนิษฐาไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องราวใดๆ ไม่รู้แม้กระทั่งพ่อของสามีเป็นใคร
“เธอไม่รู้จักฉันจริงๆเหรอ?” คำถามซ้ำซากนั้นกลับมาอีกรอบ แต่รอบนี้เจนจิราคลายความอึดอัดลงแล้ว เพราะนอกจากชายชราผมดอกเลาจะพยายามพูดจาให้ดูเป็นกันเองขึ้น เรื่องราวส่วนตัวซึ่งไม่จำเป็นต้องเล่าให้ฟัง เขาก็ยังเล่าให้ฟัง การทำให้เธอผ่อนคลายเป็นเรื่องดี แต่อย่าหวังเลยสำหรับการพลาดตกลงไปในหลุมที่เขากำลังวางขวากหนามดักอยู่
“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ปกรณ์เขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลยค่ะ” สรรพนามที่ต้องเรียกปกรณ์เฉยๆนั้น ผู้พันจามรกำชับนักหนา จนเจนจิราจำขึ้นใจไม่เคยพลาด
“เขาไม่เคยพาติดรถไปทำงานด้วยเลยเหรอ?” นี่ก็คำถามเดิมอีกแล้ว แม้จะไม่ใช่ประโยคเดียวกัน แต่คำถามซึ่งต้องการคำตอบว่าเธอรู้เห็นเรื่องเลวทรามด้วยหรือไม่ มันก็ไม่ต่างกันหรอกสำหรับคำตอบแบบดิม
“ไม่เคยเลยสักครั้งค่ะ” นั่นคือข้อมูลจริง
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เจนจิรามองผ่านใบหน้าชายชราไปยังหลังบานประตู
เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เธอจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงคือนายวิทยา “มีสายเรียกเข้าจากเครื่องดำครับนายท่าน”
“เดี๋ยวฉันออกไปรับเอง” นายประกรศักดิ์เอี้ยวหน้าไปตอบพร้อมกับลุกขึ้น เขามองมายังเจนจิราแวบหนึ่ง พยายามค้นหาบางสิ่งในสายตาของเธอ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเมื่อพบแต่ความว่างเปล่าในแววตาเธอ
ประตูถูกปิดล็อคจากข้างนอกเหมือนเมื่อคืน เจนจิรานั่งนิ่งใช้ความคิด
“ว่าไงนะครับ?”
นายประกรศักดิ์เอ่ยขึ้น เมื่ออยู่ในห้องนอนเลขาแต่เพียงลำพัง
“วันอาทิตย์นี้ มูลนิธิเราจะเปิดตัวเด็กซึ่งรับมาเยียวยาล็อตแรก ลื้อต้องไปออกสื่อกับอั๊วด้วยนะ ได้ยินไหม” นายประกรศักดิ์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงวันอาทิตย์ในประโยคนั้น
“วันอาทิตย์เหรอครับ เอ่อ .. รู้สึกผมมีนัดกับคุณนิรันดร์หรือเปล่าไม่แน่ใจ ขอผมเช็กดูก่อน”
“เฮ้ย เรื่องขี้ผงว่ะ เดี๋ยวอั๊วคุยกับหัวหน้าพรรคของลื้อให้เอง”
“ไม่ต้องลำบากครับท่าน ผมจัดการเองได้ครับ” สิ่งซึ่งสะดุดใจแต่ต้น สะกิดใจให้เขาตั้งคำถาม “ท่านพูดถึงเด็กล็อตแรก ตอนนี้ได้เด็กพวกนั้นมาแล้วเหรอครับ”
“ใช่ สิบหกคนด้วย กำลังโทรมดูไม่ได้เลยว่ะ ฮ่า ๆ ๆ . . ”
นายประกรศักดิ์เผลอกุมโทรศัพท์มือถือแน่น เขาไม่ได้ใส่ใจกับจำนวนตัวเลขและสภาพเด็กตามที่ได้รับฟัง แต่ความแปลกใจต่างหากที่กำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยคำถาม
นายพลใหญ่ผู้นี้ได้สิ่งสำคัญสําหรับมูลนิธิมาจากไหน? อย่างไร?
“ไม่ต้องงงหรอกว่าอั๊วได้มายังไง และจากใคร” น้ำเสียงวางอำนาจนั้นเอ่ยกับเขาราวกับรู้เห็นในสิ่งที่เขากำลังคิด คำพูดของนายพลเกษียณยังตามติดมาอีก “ตอนนี้เด็กสาวพวกนั้นอยู่ในที่ที่อั๊วจัดไว้ให้อย่างดีแล้วล่ะ ลื้อไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ทำตัวให้ว่างวันอาทิตย์นี้ก็พอ”
คำพูดราวกับสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเคยชินนั้น ทำให้นายประกรศักดิ์เงียบไป
คราวนี้เขาได้ยินคำถามใหม่ “ลื้อได้ตัวขนิษฐาหรือยัง?”
“ได้แล้วครับ” เขาไม่ต้องการโกหก เพราะชายวัยเดียวกันกับเขาผู้นี้เป็นคนให้ข้อมูลก่อนหน้าว่าขนิษฐาถูกเก็บตัวไว้ที่ไหนนั่นเอง
“อย่าฆ่าเธอทิ้งซะล่ะ ถ้าจะทำอย่างนั้น อั๊วขอนะ เธอจะได้เป็นอีกคนซึ่งควรมีส่วนร่วมกับมูลนิธิอั๊ว ไม่ต้องห่วงว่าเธอรู้อะไรแค่ไหนกับงานผ่านมาของลื้อ อั๊วนี่ล่ะบอกกับลื้อได้เลยว่า เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก”
คำพูดซึ่งแทงใจดำหลายเรื่อง ทำให้นายประกรศักดิ์พูดอะไรไม่ออก “ผมกำลังคุยกับเธออยู่นี่เองครับ”
“อ้าว เรอะ.. อย่าให้ช้ำนะเว้ย เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก” เสียงนั้นย้ำมาอีกรอบ
ชายผมสีดอกเลาขบกรามแน่น “ผมไม่ใช่คนอย่างนั้นครับ”
“ไม่ต้องร้อนตัวหรอก รู้ๆกันอยู่ แต่ก็เอ๊า ตามสบายเลยกับเรื่องส่วนตัวของลื้อ อย่าลืมวันอาทิตย์นี้แล้วกัน”
สายจากปลายทางถูกวางไปแล้ว ชายชราอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยกดโทรศัพท์วางสายตาม เขานึกถึง‘นายนิรันดร์’หัวหน้าพรรคตัวเองขึ้นมา ตารางนัดหมายสำคัญใดก็ไม่มีความสำคัญอีกแล้ว เมื่อนัดสำคัญกว่าจากนายพลผู้นี้แทรกเข้ามาขัด
“ขอโทรศัพท์เครื่องสีขาวซิ วิทยา”
เขาเอ่ยกับเลขาเมื่อเปิดประตูออกไปเจอตัว นายวิทยาลุกจากเก้าอี้เดินมาส่งโทรศัพท์อีกเครื่องให้เจ้านาย และเลียบเคียงถาม “เอาไงต่อกับขนิษฐาครับท่าน”
“เอาไว้ให้ฉันคุยกับเธอเสร็จก่อน แล้วจะบอกอีกที”
(มีต่อ)