๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 13

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


13

** ลวงให้ชิงตัว **



                  “แล้วทำไมปรางค์ไม่โทรหาเขาเองล่ะ  เขาบ่นมาเหมือนกันนะว่าเราทำเหมือนกับไม่อยากเจอหน้าเขา” เสียงของ‘อาไผ่’คล้ายกับต่อว่าแทนใครอีกคน

                  ปรางค์ทิพย์หน้ามุ่ยกับโทรศัพท์ “อีกแล๊ะ  อาไผ่”

                  “อ้าว  หรือว่าไม่จริง?”

                  “มันไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย”

                  “แล้วมันยังไงล่ะ?”

                  ปรางค์ทิพย์ถอนใจกับตัวเอง  เธอนั่งลงกับเก้าอี้ข้างเตียงหลังจากเดินไปเดินมากับโทรศัพท์ในห้องพักหลังสถานีตำรวจเมืองพัทยา

                  “ก็เพราะไม่ได้เจอหน้าพี่เขานานแล้วไงคะ  ปรางค์เลยต้องอาศัยอาไผ่” เธอเว้นวรรคคำพูด “งานของปรางค์ตอนนี้ก็ขมวดความชัดเจนเข้ามาทุกขณะ  กลัวว่าตอนกำลังคุยๆๆกัน อาจเผลอพูดเอาจริงเอาจังให้พี่ทัศนัยได้ยินอีก  พี่เขาชอบเหน็บปรางค์เสมอเวลาเห็นหมกมุ่นกับงาน  แต่ถ้าอาไผ่เป็นธุระให้ ปรางค์ว่ามันจะดูซ็อฟขึ้นมากๆๆๆเลย  อาไผ่มีวาทะศิลป์นุ่มนวลกว่าปรางค์ อาไผ่ทำได้ดีกว่าปรางค์ล้านเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว”

                  “ทำไมไม่พูดกับเขาทำนองนี้เองล่ะ ดูกระหนุงกระหนิงตามประสาหนุ่มสาวด้วย ไหงมาเอาตัวรอดกับอา” น้ำเสียงนั้นคล้ายกับบ่นพอเป็นพิธี ไม่ได้จริงจังอะไร

                  “ไม่ได้เอาตัวรอดดด...” ปรางค์ทิพย์ทำเสียงกระเง้ากระงอด “เฮ้อ.. ไม่อยากคุยกับอาไผ่แล้วนะนี่”

                  “เดี๋ยวๆ.. เดี๋ยว!  อย่างเพิ่งวางหูนะ” ปลายสายทักท้วงพัลวัน “อะไรกันนักหนาน๊อ.. เวลาเราต่อรองอะไรก็จะเป็นยังงี้ทุกครั้ง  แล้วทุกครั้ง อาต้องเป็นฝ่ายแพ้ทุกที  ทำไมน๊าา  ทำไม?”

                  ปรางค์ทิพย์รุกทันที “ก็อาไผ่ใจดีไง อาไผ่ไม่เคยขัดใจ อาไผ่คือคนที่ปรางค์ปรึกษาได้ อาไผ่ทำอะไรให้ปรางค์ได้เสมอ อาไผ่เป็น..”

                  “พอ....พอ.. พอ   เดี๋ยวอาจะจัดการให้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาโปรยยาหอมให้มันมากมายหรอก เดี๋ยวสำลักกันพอดี”

                  ปรางค์ทิพย์หัวเราะด้วยน้ำเสียงเป็นเด็ก อาไผ่ทองกล่าวเป็นการเป็นงานต่อ “อย่าเคร่งเครียดให้มันมากนะลูก  เวลาที่ควรพักก็ต้องพัก อย่าเอาจริงเอาจังให้เกินตัว  ห่วงสุขภาพตัวเองด้วย”

                  หลานสาวคนสวยเงียบเสียง “ปรางค์ทราบค่ะ  ขอบคุณอาไผ่สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าปรางค์ไม่มีอา....” เธอพูดยังไม่จบประโยคดีผู้เป็นอาก็แทรกขึ้นเสียก่อน

                  “บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามพูดคล้ายกับสั่งเสียแบบนี้  มันไม่ดีรู้รึเปล่า”

                  “ขอโทษค่ะอาไผ่ ปรางค์ลืมไป” ปรางค์ทิพย์รู้สึกตัว “ปรางค์แค่อยากขอบคุณที่อาไผ่รักปรางค์  และปรางค์ก็รักอาไผ่ไม่น้อยไปกว่าอาเช่นกัน”

                  มีเสียงหัวเราะเบาๆในสายก่อนเสียงพูดจะตามมา “ก็เพราะคำพูดยังงี้ไง  อาถึงได้แพ้เราตลอด”

                  ทั้งสองหัวเราะด้วยกัน

                  “นอนได้แล้ว  เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คนเขาส่งข้อมูลตามที่ขอมาให้  ฝันดีนะลูก”

                  “ขอบคุณค่ะอาไผ่  ดูแลตัวเองนะคะ  ฝันดีเช่นกันค่ะ  รักอาไผ่มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

                  “พอ ๆ !  ไปนอนได้แล้ว”

                  ปรางค์ทิพย์ยิ้มอยู่กับโทรศัพท์และรอให้อาไผ่ทองวางหู  เธอรู้ว่าอาไผ่มักจะนิ่งก่อนวางสายเสมอ  คราวนี้ก็เช่นกัน  หากอาไผ่เครียด มักจะมีเสียงลมหายใจหนักระบายให้ได้ยิน  แต่หากอาไผ่ผ่อนคลาย จะได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอทุกครั้ง  ครั้งนี้  เธอได้ยินเสียงหัวเราะฮึๆของอาไผ่ชัดเจน  แล้วสายก็ถูกวางไป  ปรางค์ทิพย์ยิ้มอย่างมีความสุขเงียบๆคนเดียว


                  โน้ตบุ้คเปิดค้างหน้าจอเอาไว้ทำให้ผู้กองคนสวยเดินไปนั่งลงกับโต๊ะริมห้อง  ตั้งใจจะคลิกเม้าส์ไร้สายเพื่อปิดเครื่อง  แต่ภาพไอ้หนุ่มตี๋ผู้ยืนพิงรถสปอร์ตคันนั้นกลับทำให้เปลี่ยนใจ

                  เธอคลิกไล่ดูภาพอีกหลายภาพกลับไปกลับมา  ภาพพวกนี้  ‘แม่’ของเด็กหนุ่มชื่อ‘แต้ม’เป็นคนแอบเอาอัลบั้มให้เธอดูหลังจากผู้เป็น‘เตี่ย’แสดงอาการไม่รับแขกแล้ว  ปรางค์ทิพย์ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายเก็บภาพสำคัญมาหลายใบ และใบนี้แหละที่เธอมั่นใจนักว่า  รถที่ไอ้หนุ่ม‘แต้ม’ยืนถ่ายประกบอยู่นี้ เป็นคันซึ่งเธอบังเอิญไปเจอะเจอในคืนปะทะเดือดนั้นแน่นอน

                  ไอ้มดซิ่งกับรถคันนี้ไปทำอะไรในที่เกิดเหตุคืนนั้นนะ?

                  บุคคลซึ่งพอจะต่อจิ๊กซอว์ให้เธอได้ เป็นคนที่อยู่ใกล้เธอนี่เอง  เพราะคืนนั้น  เป็นคืนแห่งงานชิ้นโบแดงของเขา  งานชิ้นโบแดงของหน่วยปราบปรามยาเสพติดภายใต้การนำทีมโดย

                  'พันตำรวจโททัศนัย วิเวศเดชา'



                  เวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที
                  ร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง

                  สตรีวัยสี่สิบปลายเจ้าของชื่อ‘ศจี’เป็นคนพูดจาฉาดฉาน  ตรงไปตรงมา  บุคลิกลักษณะคล้ายกับเลขานายผู้ใหญ่แสนคล่องแคล่วเอาการเอางาน  เธอเป็นคนคุยมากกว่าเจนภพ ซึ่งสงวนท่าทีอย่างระวังตัว  ศักดาและเม้งลูกน้องเขานั่งจิบกาแฟอยู่อีกโต๊ะ ทั้งคู่มองสำรวจเหตุการณ์รอบตัวอย่างระมัดระวังตามหน้าที่  คนติดตามคุณศจีสองคนนั่งโต๊ะใกล้เจ้านาย  ทั้งสองมีเพียงน้ำเย็นพร่องแก้วคนละแก้วไม่เปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะล่วงไปยี่สิบนาทีแล้วตั้งแต่มาถึงร้านอาหาร

                  เจนภพกับคุณศจีไม่ได้สั่งอาหาร  นอกจากเครื่องดื่มคนละแก้วกับผลไม้รวมหนึ่งจาน  โซนที่พวกเขานั่งเป็นเทอเรซยกสูงอีกครึ่งชั้นแยกจากกลุ่มโต๊ะสำหรับบริการลูกค้าทั่วไป  โซนนี้มีอยู่เพียงหกโต๊ะ และแต่ละโต๊ะทิ้งระยะห่างเกินกว่าจะได้ยินเสียงสนทนาซึ่งกันและกัน  หมดห่วงได้ สำหรับเสียงพูดจากันในโต๊ะของใครของมัน

                  นี่แหละ ที่เจนภพต้องการ

                  “ติดต่อได้รึยังคะ?” คุณศจีถามเมื่อเห็นเจนภพต่อโทรศัพท์เป็นครั้งที่สิบ

                  “ยังครับ”

                  “ดิฉันก็ไม่ได้รีบร้อนหรอกนะ  ห่วงแต่คุณเท่านั้นเอง  เห็นกระสับกระส่ายเหมือนไม่ค่อยสบายใจ”

                  เจนภพยิ้มเครียด “แค่หงุดหงิดกับโทรศัพท์แค่นั้นแหละครับ”

                  ที่จริงแล้ว  เขากระวนกระวายใจกับการนั่งเป็นเป้าสังเกตต่างหาก

                  เจนภพไม่ชอบเปิดเผยตัวอยู่ที่ไหนนานๆ  โดยเฉพาะร้านอาหารผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้  เขาชอบอยู่ในที่ลับตามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสถานบันเทิงส่วนตัวหรือแม้แต่ที่พักอาศัยของตัวเอง  ผู้คนซึ่งรายล้อม ควรจะเป็นคนของเขาเท่านั้น ไม่ใช่คนทั่วไปหรือคนของผู้หญิงที่ชื่อ‘ศจี’คนนี้

                  เขาเคยพบผู้หญิงคนนี้มาแล้วเมื่อครั้งส่ง‘สินค้า’ให้กับปกรณ์เดชในล็อตหนึ่ง  คราวนั้นเธอถูกแนะนำตัวในฐานะเป็นคนซึ่งกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ โดยมีสินค้าล็อตนั้นพ่วงไปด้วย  ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งใด เพราะเมื่อส่งของให้ปกรณ์เดชเสร็จเรียบร้อย  นั่นคือการหมดภาระหน้าที่เพียงแค่นั้น  ไม่มีสิ่งซึ่งต้องใส่ใจอีกแล้ว  แม้จะได้รับนามบัตรจากผู้หญิงคนนี้มาเมื่อตอนร่ำลากัน

                  เจนภพจำได้เพียงแค่ว่า คุณศจีเป็นคนรับช่วงต่อจากสองพ่อลูกคือนายประกรศักดิ์และปกรณ์เดช  คนพวกนี้จะมีความสัมพันธ์กันเช่นใด  เขาไม่ได้ใส่ใจ  ถึงแม้คืนนี้  ผู้หญิงคนนี้จะเป็นตัวล่อให้เขามาติดกับนายประกรศักดิ์หรือด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่  เขาพร้อมเสมอสำหรับการแหวกวงล้อม  เพราะคนของเขาอีกส่วนหนึ่งเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้วที่ลานจอดรถร้านอาหาร

                  ถ้าคุณศจีผู้ฉาดฉานคนนี้เป็นคนของทางการหน่วยไหนก็แล้วแต่  เขาเองก็ป้องกันตัวไว้แล้วด้วยการมาโดยเปิดเผยแค่สามคนกับลูกน้อง  ‘สินค้า’ยังอยู่ในที่ปลอดภัยอีกฟากหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้  นอกจากคนของเขาเอง

                  และแล้ว

                  การติดต่อกับปลายทางก็สำเร็จ

                  “ได้ยินชัดเจนไหม?” เจนภพกรอกเสียงกับเครื่องโทรศัพท์

                  “ชัดเจนครับ”

                  เขาหันไปทางคุณศจี “ผมจะพูดกับเครื่องนี้  และจะเปิดภาพสดให้คุณศจีดูจากเครื่องนี้” โทรศัพท์อีกเครื่องโผล่มาในมือของเจนภพ  เขายื่นเครื่องซึ่งมีภาพไลฟ์สดให้กับผู้หญิงร่วมโต๊ะ

                  คุณศจีรับเครื่องมาพลิกดู  เธอมองเห็นชายคนหนึ่งในจอภาพกำลังยืนถือโทรศัพท์ซึ่งเชื่อมสายมายังเจนภพ  การทักทายและสนทนากันระหว่างต้นทางปลายทาง เป็นสิ่งยืนยันว่าขณะนี้เป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่การตัดต่อคลิปส่งมาแต่อย่างใด

                  “เห็นชัดไหมครับนาย?” เสียงทางโน้นพูดมา  ภาษาปากตรงกับเสียงที่ดังออกมาจากเครื่องซึ่งเจนภพเปิดสปีคเกอร์ให้ฟัง

                  “ชัดเจนดีมาก”

                  ‘ศจี’ หรือคนของนายพลเอกกิตติราชยิ้มชื่นชมในวิธีการของเจนภพ  ความรัดกุมเช่นนี้เป็นผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย  เธอมองเห็นภาพในจอซูมเข้าไปหาหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง  มีสี่ถึงห้าคนซึ่งมีอายุเกินกว่ายี่สิบปี  นอกนั้นดูแล้วไม่น่าจะถึงยี่สิบปี  ภาพในจอซูมใกล้ใบหน้าผ่านให้ดูแต่ละคนอย่างชัดเจน  ใบหน้าซื่อๆของเด็กสาวเหล่านั้นดูอิดโรย เหนื่อยล้าทุกคน  นี่ล่ะที่ท่านนายพลต้องการ

                  โทรศัพท์ถูกวางสายทั้งสองเครื่อง  เจนภพถามขึ้น “ว่าไงครับ?  คุณศจี”

                  “ชัดเจนและถูกต้องตามสเปคค่ะ” คุณศจีเอ่ยหนักแน่น

                  “พรุ่งนี้ส่งมอบกันได้เลยทั้งสิบหกคน ดิฉันจะนัดเวลาให้ทราบอีกที  ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับธุรกิจของเรานะคะ”

                  แล้วคนทั้งสองก็จับมือกัน


(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่