💖💧💦💖 [ ถุงมือนักเขียน - FINAL ] เรื่องที่ 11 "สายใยแห่งรัก" โดย "ถุงมือ นักเขียน ณ พันทิป" ครับ 💖💦💧💖

กระทู้คำถาม


เรื่องที่ 11 ครับ ยังอยู่ในบรรยากาศอุ่นไอรักอย่างต่อเนื่อง (คงไม่โดนหลอกแล้วมั้ง) ด้วยชื่อเรื่องที่จั่วหัวมาอย่างที่เห็น

จะอบอุ่นหวานฉ่ำปานใด หรือมีอะไรหลอก แอบแฝงไว้ภายในไหม ? มาอ่านกันครับ...อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





แม่ของพงษ์จากไปเมื่อหกเดือนก่อน แม่ตายในวันเกิดครบเจ็ดปีของพงษ์พอดี แม่หัวใจวายขณะกำลังขับรถไปรับเค้กที่ร้านเบอร์เกอรี่ รถของแม่พุ่งแฉลบข้ามเกาะกลางถนนไปชนกับรถบรรทุกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
                                  
ผ่านมาหกเดือน ทำให้พงษ์รู้ว่า เขาไม่ได้แค่เสียแม่ไปคนเดียว แต่เขายังเสียพ่อไปด้วยอีกคน เพราะหลังจากที่แม่ตาย พ่อก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

ความตายของแม่พรากรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและนิสัยขี้เล่นของพ่อไปด้วย พ่อกลายเป็นคนเงียบขรึม เฉื่อยชา ไม่สนใจสิ่งต่างๆรอบข้าง

และแม้แต่ตัวพงษ์เอง ในบางครั้ง พ่อมองผ่านเขาด้วยสายตาเหม่อลอย เฉยเมย ราวกับตัวพ่อมีแค่ร่างกาย แต่จิตวิญญาณได้ตายไปแล้ว

พงษ์ไม่เข้าใจทำไมพ่อกลายเป็นแบบนี้ พ่อจะเสียใจอะไรหนักหนา แม่ก็แค่นอนหลับไม่ใช่เหรอ พ่อเป็นคนบอกเขาเอง ในวันที่ไปดูแม่ที่โรงพยาบาล

แม่นอนอยู่บนเตียง มีผ้าขาวคลุมตัวไว้ ทันทีที่ผ้าถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าแม่ พ่อก็กระโจนเข้ากอดร่างแม่ ใบหน้าซบอยู่บนตัวแม่ แล้วร้องห่มร้องไห้ราวคนเสียสติ

พงษ์ยืนเอียงคอเมียงมอง และเดินไปเกาะขาพ่อ ไม่เข้าใจพ่อเลยจริงๆ ‘พ่อจะร้องไห้ทำไม แม่แค่นอนหลับ อีกเดี๋ยวแม่ก็ตื่น’ พงษ์จำได้ว่า ได้พูดประโยคนี้ออกไปเพื่อปลอบโยนพ่อ

พ่อหันมามองหน้าเขาและพยักหน้า เพื่อตอบรับในสิ่งที่พงษ์พูด

“ใช่จ๊ะ แม่แค่นอนหลับ” พ่อพูดเสียงสั่น

“งั้นพ่ออย่าร้องไห้สิครับ เป็นผู้ชายไม่ขี้แยนะ”

พงษ์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้พ่อ ใช่แล้ว เป็นผู้ชายไม่ขี้แยนะ ประโยคนี้พ่อมักพูดกับพงษ์อยู่เสมอ ในยามที่เขาเล่นซุกซน จนหกล้มหัวเข่าถลอก พงษ์จะเบ้ปาก ใบหน้าเหยเก เตรียมพร้อมจะแหกปากร้องไห้ทันที

ในจังหวะเดียวกันนั้น พ่อจะเดินมาใกล้ๆ นั่งลงตรงข้ามพงษ์แล้วบอกว่า ‘เป็นผู้ชายเค้าไม่ขี้แยกันนะ’ จากนั้นพ่อจะอุ้มเขาขึ้นขี่คอ

พงษ์กรีดร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในขณะที่พ่อร้องเชียร์ให้เขาบิน

พงษ์กางแขนออก แล้วพ่อก็ค่อยๆวิ่งไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง เพื่อส่งนกน้อยที่อยู่บนคอ ให้โบยบินไปกับสายลมเย็นสบาย ในยามเย็นของทุกวัน  

เสียงหัวเราะหยอกล้อของสองพ่อลูก ดังกังวานก้องสดใส เรียกรอยยิ้มจากเพื่อนบ้านที่เฝ้ามองดูได้เสมอ ฉายา ‘พ่อลูกคู่ฮา’ ถูกตั้งขึ้นโดยลุงสมปอง เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านพงษ์



ผ่านมาหกเดือน พงษ์รอแม่กลับบ้าน แต่แม่ไม่กลับมาอีกเลย ในวันนี้เขาจึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพ่อถึงร้องไห้ เพราะแม่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก พ่อจะไม่มีวันได้เจอแม่อีกตลอด  

ค่ำคืนเงียงเหงา พ่อเข้านอนทันทีที่กินข้าวเย็นเสร็จ พงษ์นั่งอยู่คนเดียวบนโซฟา ในห้องรับแขก

เขาเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ วันนี้มีการ์ตูนเรื่องโปรด ที่เขากับพ่อชอบดูด้วยกัน ในทุกๆคืน ที่การ์ตูนเรื่องนี้ฉาย พ่อจะนั่งอยู่ข้างพงษ์ มือข้างหนึ่งยื่นมาโอบไหล่เขาไว้ คุกกี้ที่แม่ทำเอง จัดใส่จานอย่างสวยงามถูกนำมาวางไว้บนตักพ่อ

จากนั้นพงษ์กับพ่อจะแข่งกันกินคุกกี้ ใครกินได้มากสุดจะเป็นผู้ชนะ คนแพ้ต้องลุกไปเอาน้ำมาเสิร์ฟผู้ชนะ และกลายเป็นพ่อที่แพ้ให้เขาทุกครั้ง

คืนนี้พงษ์นั่งอยู่คนเดียวบนโซฟา โดยปราศจากพ่อและจานคุกกี้

พงษ์นั่งชันเข่า กอดขาตัวเอง ซบหน้าลงบนหัวเข่า น้ำตาเอ่อรื้นไหลพรากราวเขื่อนพังทลาย เสียงร้องไห้ เศร้าสร้อย ดังก้องท่ามกลางบ้านที่เงียบเหงา

พงษ์ไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่แม่จากไป ผ่านมาหกเดือน เขาเริ่มทำใจได้แล้ว และยอมรับว่าแม่จะไม่กลับมาบ้านอีก

แต่พงษ์ร้องไห้เพราะความตายของแม่ ทำให้พ่อกลายเป็นคนที่มีชีวิตเพียงครึ่งเดียว พ่อไปทำงานได้เป็นปกติ ส่งเขาไปโรงเรียน ทำกับข้าวให้กิน แต่พ่อพูดคุยกับเขาน้อยมาก บางวันพ่อแทบไม่พูดกับพงษ์เลย และไม่เล่นด้วยเหมือนก่อน

เมื่อวานพงษ์ขอให้พ่อช่วยสอนการบ้านคณิตศาสตร์ พ่อรับสมุดของเขาไปถือไว้แล้วจ้องมองสมุดเล่นนั้นอยู่นานแสนนาน โดยไม่พูดอะไรสักคำ

พ่อวางสมุดไว้บนโต๊ะ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ตลอดทั้งคืนนั้น พ่อไม่ออกมาจากห้องอีกเลย

กระทั่งเช้าวันใหม่ พงษ์เห็นกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งมีโจทย์การบ้านคณิตศาสตร์ทั้งสี่ข้อของเขา วางอยู่โต๊ะอาหาร พ่อทำการบ้านให้แล้ว พงษ์แค่ลอกลงสมุด แต่เขาไม่ชอบแบบนี้เลย ไม่ชอบความห่างเหินที่พ่อหยิบยื่นมาให้

พงษ์เช็ดน้ำตาจนแห้งสนิท ปิดโทรทัศน์ เดินไปปิดไฟชั้นล่างจนครบทุกดวง เหลือไว้แค่ไฟตรงหน้าบ้าน แม่เคยบอกให้เปิดไฟหน้าบ้านไว้เสมอ จะได้ช่วยให้แสงสว่างสำหรับคนที่เดินริมถนนในยามกลางคืน

พงษ์เดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ประตูห้องนอนพ่อถูกเปิดทิ้งไว้ ไฟในห้องยังสว่างไสว พงษ์เดินเข้าไปในห้อง เห็นพ่อนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท

พงษ์เพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าพ่อดูอิดโรย อ่อนล้า พ่อคงเสียใจที่ไม่มีแม่อยู่ด้วยแล้ว

พงษ์นึกสงสัยว่า ทุกครั้งที่พ่อหนีขึ้นมาบนห้องนอน พ่อแอบมาร้องไห้หรือเปล่า พงษ์ขยับเข้ามาใกล้ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้พ่อ และได้เห็นหมอนที่พ่อหนุนอยู่มีรอยเปียกชื้นแผ่เป็นวงกว้าง

สิ่งที่พงษ์นึกสงสัย ได้รับความกระจ่างแล้ว

พงษ์เดินไปปิดไฟ ปิดประตูอย่างแผ่วเบาแล้วเดินเข้าห้องนอนตัวเอง



ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว

พงษ์นั่งรอพ่อที่ม้าหินอ่อน ข้างประตูทางเข้าโรงเรียน วันนี้พ่อโทรมาบอกคุณครูประจำชั้น ว่าจะมารับเขาสายหน่อยเพราะติดประชุม พงษ์เข้าใจและรอพ่อได้เสมอ

พงษ์มองดูเพื่อนๆหลายคน เริ่มทยอยกลับบ้านไปจนเกือบหมด แต่พ่อยังไม่มา ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฟ้าร้องครืนๆ ส่งสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานฝนจะตกลงมา

ดวงไฟที่เสาประตูโรงเรียนเปิดสว่างขึ้น พร้อมสายฝนที่โปรยปรายลงมา พงษ์วิ่งไปหลบฝนที่ป้อมยาม

“รอพ่อนานไหมลูก” น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างหู พงษ์หันขวับมาตามทิศทางเสียง เห็นพ่อยืนตัวเปียกโชก ทว่าอีกมือหนึ่งถือร่มยื่นมาบังฝนให้เขา

พงษ์ยิ้มกว้าง และโผเข้ากอดพ่อ สายตา รอยยิ้ม น้ำเสียง พงษ์มั่นใจว่าเขากำลังได้พ่อคนเดิมกลับมาแล้ว

“มากอดพ่อทำไม เดี๋ยวลูกก็เปียกหมดหรอก ไปๆไปที่รถกัน”

พงษ์เดินตามพ่อมาขึ้นรถ พ่อเดินกางร่มมาเปิดประตูด้านหน้าฝั่งคนนั่งให้พงษ์ขึ้นไปนั่งก่อน จึงค่อยเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งคนขับ พ่อขึ้นมานั่งในรถ พับเก็บร่มเรียบร้อย แล้วจึงโยนร่มไปไว้เบาะรถด้านหลัง

“ทำไมตัวพ่อเปียกหมดล่ะครับ พ่อขับรถยนต์นะ ไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์” พงษ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นตัวพ่อเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้

“ระหว่างทางมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น พ่อเลยลงไปช่วยเค้าน่ะ ก็เลยเปียกอย่างที่ลูกเห็นนี่ละ แล้ววันนี้เป็นไง เรียนสนุกไหม”

“ผมได้พ่อคนเดิมกลับมาแล้วใช่ไหมครับ” พงษ์เอ่ยขึ้นเสียงดัง น้ำเสียงแสดงถึงความดีอกดีใจ ที่พ่อเริ่มถามไถ่เรื่องราวของเขาแล้ว

พ่อยื่นมือมาลูบศีรษะพงษ์ และยิ้มให้

เป็นรอยยิ้มที่อบุอ่นและน่ามอง พงษ์ชอบมาก เวลาที่พ่อยิ้มกว้างแบบนี้

“พ่อขอโทษ พ่อขอโทษลูกจริงๆ ที่ดูแลลูกได้ไม่ดีพอ แต่พงษ์รู้ไว้นะครับ ว่าพ่อรักพงษ์มาก รักมากที่สุด”

“พงษ์ก็รักพ่อครับ” พงษ์โน้มตัวไปกอดพ่อ และพูดต่อ “พงษ์รู้ว่าพ่อเสียใจที่แม่จากไป พงษ์เข้าใจพ่อนะ พ่อคงยังทำใจไม่ได้”

พ่อโอบกอดพงษ์และก้มลงหอมศีรษะลูกชาย

“เอาละ ปล่อยพ่อได้แล้ว พ่อต้องขอขับรถก่อน เราต้องรีบไปดูการ์ตูนเรื่องโปรดของเรานะ”

“คืนนี้พ่อจะดูการ์ตูนเป็นเพื่อนพงษ์หรือครับ”

“แน่นอนครับผม  และพ่อซื้อคุกกี้มาด้วย แต่รับรองได้เลยว่าคงไม่อร่อยเท่า คุกกี้ที่แม่ทำแน่ๆ คืนนี้เราจะแข่งกันกินคุกกี้”  พ่อบอกแผนการเสร็จสรรพ ก่อนยื่นมือมาขยี้ผมพงษ์

“พงษ์เห็นด้วยครับ คุกกี้ที่แม่ทำอร่อยที่สุดในโลกเลย”

แล้วภายในรถยนต์คันเก่าก็อบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของสองพ่อลูก

ดึกแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทำการบ้าน โดยมีคุณครูพ่อเป็นติวเตอร์คอยสอนอยู่ใกล้ๆ และเกมการแข่งขันกินคุกกี้จบลงด้วยการที่พงษ์เป็นผู้ชนะ สองพ่อลูกก็จูงมือกันเข้านอน

คืนนี้พงษ์ขอนอนกับพ่อ พงษ์ไม่ได้นอนกอดพ่อแบบนี้มานานมากแล้ว ความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยและแสนมีความสุขเอ่อล้นท่วมหัวใจพงษ์ เขานอนยิ้มกว้างภายใต้อ้อมกอดของพ่อ



เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก

เสียงร้องไอ้รวย ไก่ชนของลุงสมปองดังขึ้น ปลุกพงษ์ให้สะดุ้งตื่นจากความฝัน  

เมื่อคืนพงษ์ฝันดีเหลือเกิน ฝันว่าแม่กลับมาบ้าน เข้ามากอด มาหอมเขา แม่อุ้มพงษ์ขึ้นมานั่งบนตัก มีพ่อนั่งอยู่ข้างๆ และแม่ก็เริ่มร้องเพลงให้ฟัง เสียงของแม่สดใสราวระฆังเงิน เพลงขับกล่อมอันแสนไพเราะ ยังดังก้องกังวานอยู่ในห้วงความทรงจำ

พงษ์ยกมือขึ้นขยี้ตา หันไปมองตรงที่พ่อนอนอยู่ แต่ไม่มีพ่ออยู่ตรงนั้น เขาจึงเดินลงมาชั้นล่าง ได้กลิ่นอาหารโชยออกมาจากครัว พงษ์เดินไปที่ครัวและหยุดยืนอยู่ที่กรอบประตู

เห็นพ่อกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร วันนี้พ่อใส่เสื้อกันเปื้อนลายดอกทานตะวันตัวโปรดของแม่ พงษ์มองดูแล้วอดขำในใจไม่ได้

พ่อใส่เสื้อกันเปื้อนตัวนี้แล้วดูตลกยังไงชอบกล คงเป็นเพราะเสื้อตัวเล็ก ส่วนพ่อตัวโตเกินกว่าจะยัดเสื้อกันเปื้อนลงไปได้

“อ้าวตื่นแล้วหรือ วันนี้พ่อทำข้าวผัดกุ้งของโปรดให้ลูกด้วยนะ แต่ลูกต้องไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน” พ่อหันมาพูดกับพงษ์

“ครับ”



“พงษ์ พงษ์เปิดประตูให้ป้าหน่อยลูก” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนอยู่หน้าประตูบ้าน และตามด้วยเสียงเคาะประตูสามที

“นั่นเสียงป้านวลหรือเปล่าครับ” พงษ์ถามพ่อ

“น่าจะใช่ ลูกไปเปิดประตูให้ป้าสิ”

พงษ์รีบวิ่งมาเปิดประตูตามที่พ่อบอก ....

ทันทีที่ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออก พงษ์เห็นป้านวลยืนอยู่หน้าบ้าน ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำ ขอบตาคล้ำ ใบหน้าเศร้าหมอง ดูอ่อนโรย เหมือนไม่ใช่ป้านวลที่พงษ์เคยรู้จักมาก่อน

ป้านวล พี่สาวพ่อ เป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนานเฮฮา มักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ และยังขยันเล่นมุกตลกให้คนรอบข้างได้หัวเราะ จนขากรรไกรค้างมานักต่อนักแล้ว พ่อเคยบอกให้ป้านวลไปตั้งคณะเอง

พงษ์ไม่เข้าใจ พ่อจะให้ป้านวลไปตั้งคณะอะไร แต่ก็ได้รับคำเฉลยในไม่ช้า

‘คณะตลกจ้ะ’ ป้านวลบอกมาอย่างนั้น พงษ์ก็ทำทีเป็นพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจไม่เข้าใจก็พยักหน้าไว้ก่อน หากถามต่อว่า คณะตลกมีสอนที่ไหนบ้าง ป้านวลคงได้ร่ายยาวให้พงษ์ฟัง มีหวังอดไปเล่นน้ำคลองกับพี่ต่อพอดี

พี่ต่อเป็นลูกป้านวล พงษ์ยกพี่ต่อให้เป็นฮีโร่ประจำใจเลย เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรพี่ต่อก็สามารถทำได้หมด ตั้งแต่ปีนเก็บผลมะม่วง มะขาม กระท้อนยันต้นมะพร้าวพี่ต่อก็ปีนได้

แถมยังปั่นจักรยานยกล้อหน้าได้ด้วย หนำซ้ำยังว่ายน้ำท่าเงยหน้าท่าฟ้าได้อีก พงษ์อยากทำทุกๆอย่างให้ได้ แบบเดียวกับพี่ต่อ และพี่ต่อได้รับปากไว้แล้วว่าจะสอนพงษ์เอง

เท่าที่พงษ์จำได้ เขาไม่เคยเห็นป้านวลดูน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ป้านวลเหมือนไม่ใช่ป้านวลคนเดิมที่พงษ์เคยรู้จัก ใบหน้าป้านวลบิดเบี้ยว หมองๆ หม่นๆ ไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น

ป้านวลทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าพงษ์ ยื่นมือมาจับไหล่หลานชาย

“พงษ์ ฟังป้านะลูก เมื่อคืนรถพ่อพงษ์พลิกคว่ำ พ่อพงษ์จากไปแล้ว จากไปเหมือนแม่ของหลาน พงษ์เข้าใจที่ป้าพูดนะ”
ป้านวลน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม

พงษ์ยืนนิ่ง ไม่เข้าใจในสิ่งที่ป้านวลพูด พ่อจากไปไหน พ่อยังอยู่ในบ้านนะ พงษ์หันเข้าไปมองภายในบ้าน ยังเห็นพ่อยืนอยู่ตรงข้างตู้เก็บเครื่องแก้วของแม่ พ่อส่งยิ้มมาให้เขาด้วย

แต่เอ๊ะ ทำไมตัวพ่อยังเปียกโชกอยู่เลย เปียกไปหมดเหมือนตอนที่พ่อไปรับเขาที่โรงเรียนไม่มีผิด พงษ์ขมวดคิ้วจองมองพ่อด้วยความสงสัย

(มีต่อครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่