บ้านสวนป่วนรัก [องครักษ์พิทักษ์คุณชาย]
โรแมนติกคอมเมดี้ แนวความหลากหลายทางเพศ
พิธันดร
คุณพีทคุย
สวัสดีทักทายในบทที่ 2 ครับ กำลังค่อยๆ หาจังหวะว่าจะลงทุกกี่วันถึงจะเหมาะ มีต้นฉบับตุนอยู่บ้างนิดหน่อยที่เขียนค้างไว้ กำลังจะเริ่มเขียนต่อ แต่... ยังไม่ได้เริ่ม แหะๆ กลัวลงๆ ไปแล้วหมดกระปุกโม่ไม่ทัน ยิ่งเขียนช้าๆ อยู่ครับ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านและแวะเข้ามาคุยครับ คิดเห็นเป็นยังไง ฝากข้อความบอกไว้บ้างก็จะดีใจมากครับ
สารบัญ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1 ประตูเหล็กสีเทา
บทที่ 2 บทสนทนาในห้องมืด
“ทำตัวตามสบายนะ ไม่ต้องเกร็ง”
เสียงบอกดังมาจากเก้าอี้ในเงาสลัวกลางห้อง
พูดง่าย ฟังง่าย แต่ทำไม่ง่ายเลยสักนิด ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนยิ้มแหยขยับเท้าไปมา มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน ป่ายหน้าป่ายหลังอยู่ชั่วครู่แล้วเก็บมากุมอยู่ตรงหน้าขา
“คุณรู้ใช่ไหมว่างานที่สมัครมาคืออะไร”
พนาพยักหน้ารับ
“พอทราบอยู่บ้างครับ รุ่นพี่ที่แนะนำมาบอกผมว่าเป็นงานผู้ติดตาม ดูแลความเป็นอยู่ เสื้อผ้า อาหาร การเดินทาง แล้วก็เป็นเลขาส่วนตัวจัดการพวกตารางนัดหมายด้วย แบบนี้ใช่มั้ยครับ”
“คุณจะทำได้หรือ งานแบบนี้มันจำเจมากนะ คุณจบวิทยาศาสตร์นี่”
“ผมชินแล้วครับ ตั้งแต่จบผมก็ทำงานเป็นเลขาอาจารย์ที่คณะ เกือบสิบปีแล้วครับ อาจารย์ผมนี่เหมือนนักวิทยาศาสตร์ในหนังเลยครับ” พนายิ้มมีความสุข “วันๆ ง่วนอยู่แต่กับงานวิจัย บางทีก็ลืมว่ามีคาบสอน ผมต้องคอยเตือน บางทีแกติดพันไม่อยากลุก ไล่ให้ผมไปสอนแทนบ้างก็มีครับ”
“ผมเห็นในเอกสารคุณแล้วว่าเคยเป็นเลขามาก่อน”
“ตำแหน่งเลขาแต่ว่าทำทุกอย่างครับ อาจารย์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับงาน ชีวิตส่วนตัวผมเลยต้องดูแลหมด ซักรีด ทำกับข้าว ล้างจาน จัดกระเป๋าเดินทาง เรียกรถรับส่ง พาไปห้องสัมมนา คืออะไรที่นอกเหนือจากงานวิจัย ผมก็ช่วยหมดครับ”
ชายหนุ่มบนเก้าอี้พยักหน้าช้าๆ
“ไม่เบื่อหรือ”
“ไม่ครับ” พนาตอบหนักแน่น “ผมชอบ”
“แล้วทำไมเลิกเสียล่ะ”
“อาจารย์เกษียณอายุครับ แล้วแกก็อยากวางมือจากงานวิจัยด้วย ตอนนี้หันไปสนใจงานอดิเรกอย่างอื่นแทนครับ”
“งานแบบนี้บางคนเขาติว่าเป็นงานต่ำต้อย เป็นคนรับใช้ คุณไม่อายหรือ อุตส่าห์เรียนมาตั้งมาก”
พนามุ่นคิ้วน้อยๆ อยู่ชั่วครู่
“ไม่ทราบสิครับ ผมไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อน อาจเพราะไม่เคยมีใครเรียกผมว่าเป็นคนรับใช้ด้วยครับ ตำแหน่งผมเป็นเลขา รับเงินเดือนประจำจากคณะ งานส่วนตัวที่ผมช่วยอาจารย์ก็ไม่ได้เงินเพิ่มหรอกครับ เห็นอาจารย์สนุกกับงานวิจัยผมก็พลอยดีใจ อะไรที่ทำให้แกก็เหมือนทำให้ญาติผู้ใหญ่คนนึงมากกว่าครับ”
“ผมยังไม่อาวุโสพอจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของคุณหรอกนะ”
น้ำเสียงจากเก้าอี้เจือขำ พนาละล่ำละลักแก้
“เปล่าครับ ผมไม่ได้นึกถึงคุณโยธิศอย่างนั้นเลยครับ แค่อยากอธิบายให้ฟังเท่านั้นเอง”
ที่จริงชายหนุ่มที่นั่งอยู่จะเป็นโยธิศผู้ว่าจ้างเองหรือเปล่าพนาก็ไม่รู้และเดาไม่ออก แต่ประโยคสุดท้ายที่เปรียบเทียบตัวเองกับญาติผู้ใหญ่ทำให้พนาคาดว่าคงจะใช่แน่แล้ว ซึ่งก็สมเหตุสมผล ถ้าใครจะจ้างผู้ติดตามที่ต้องเจอหน้ากันเกือบตลอดเวลาที่ตื่นก็ควรต้องเลือกเฟ้นด้วยตัวเอง เกิดศรศิลป์ไม่กินกันจะได้รู้เสียแต่แรก ไม่ไปแตกหักหลังจากร่วมเดินทางกันแล้ว
“ตำแหน่งงานนี้เป็นผู้ติดตามก็จริง แต่หน้าที่หลักอีกอย่างคือต้องคุ้มกันผมด้วย”
“อะ... หา...” พนาอ้าปากค้าง
“ปกติผมไม่ได้อยู่เมืองไทย คุณไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ยังไม่มีใครรู้จักผมเท่าไหร่”
“เอ่อ... อ่อ... อ้อครับ”
“แต่ผมก็ได้รับคำเตือนมาบ้าง”
นั่นปะไร! นี่ถ้าพนาอยู่คนเดียวและนั่งอยู่คงตบเข่าฉาดไปแล้ว
ชายหนุ่มบนเก้าอี้คงสังเกตเห็นสีหน้าหรือท่าทางของเขาในเงาสลัว เสียงที่พูดต่อเจือแววขำ
“ผมกำลังดูลู่ทางทำธุรกิจที่เมืองไทย หุ้นส่วนของผมเป็นคนไทย รู้จักสังคมที่นี่ดี เลยเตือนมาให้ระวัง ถ้าเริ่มเปิดตัวเมื่อไหร่จะมีคนจ้องจับ”
พนาระบายลมหายใจ พยักหน้าช้าๆ สมัครผิดงานแล้วเรา
“จับ... ไปเรียกค่าไถ่แบบนี้เหรอครับ”
“เปล่า จับแต่งงาน”
พนากะพริบตาหนึ่งปริบ พยายามทำความเข้าใจประโยคท้ายที่ได้ยิน
“จับ... แต่งงาน?”
“ใช่ น่ากลัวมาก” โยธิศพูดเสียงจริงจังจนพนาไม่กล้าขำ แถมฝ่ายนั้นยังโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “หน้าที่หลักของคุณอีกอย่างคือ ต้องคุ้มกันผม เป็นกันชนให้ผม เข้าใจหรือเปล่า”
พนาทำปากกลมร้องอ๋อในใจ พยักหน้าช้าๆ แล้วหยุดกึก
...อะไรนะ... หน้าที่หลักของคุณ...
...ของคุณ!?...
กำลังจะหลุดปากถามว่าผมได้งานแล้วเหรอครับแต่ยั้งไว้ทัน บางทีโยธิศอาจจะหมายถึงว่า ‘ถ้า’ เขาได้งานนี้
“คุณคิดว่าทำได้ไหม”
นั่นปะไร เกือบตบเข่าฉาดอีกรอบ
“เอ่อ... ผมไม่เคยเป็นกันชนให้ใครเลยครับ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน...”
อ้าว ซื่อสัตย์เกินไปแบบนี้ จะได้งานมั้ยล่ะนี่เรา
“ผมเข้าใจ ผมก็ไม่เคยจ้างใครให้เป็นกันชนเหมือนกัน แต่ผมยินดีถ้าคุณจะลอง”
“อ้อ... ครับ...” คราวนี้อ้อมแอ้ม “ผมกลัวจะทำได้ไม่ดี แต่ก็จะตั้งใจให้ดีที่สุดครับ”
“ดี คุยกันตรงๆ แบบนี้ผมชอบ มีอีกเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าเข้าใจตรงกันได้ผมก็ยินดีรับคุณเข้าทำงาน”
พนารับคำ
“เราต้องใช้ชีวิตใกล้ชิดกัน ผมต้องพึ่งพาคุณ สิ่งที่คุณทำทุกอย่างจะมีผลต่อชีวิตและความปลอดภัยของผม” โยธิศหยุดนิ่งเหมือนรอ พนารีบพยักหน้ารับ โยธิศพูดต่อ “ผมจำเป็นต้องมั่นใจในตัวคุณโดยสิ้นเชิง และคุณก็จำเป็นต้องมั่นใจในตัวผมโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน ผมไม่มีหลักประกันอะไรให้คุณ ทำได้แค่ยืนยันด้วยปากว่าผมไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งทุจริตผิดกฎหมายและจริยธรรม และผมจะไม่ทำหรือสั่งอะไรที่เป็นอันตรายต่อคุณแน่ แต่ผมก็จำเป็นต้องแน่ใจว่าคุณเชื่อมั่นในตัวผม และพร้อมจะทำตามที่ผมสั่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไร คุณยอมรับได้ไหม”
พนามุ่นคิ้วน้อยๆ โดยเหตุและผลก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนทำงานกับอาจารย์ ทั้งเขาและอาจารย์ก็คงรู้สึกไว้วางใจในกันและกันไปโดยปริยาย ไม่เคยต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
แต่เขากับอาจารย์คุ้นเคยกันดีตั้งแต่สมัยเขาเรียนมหาวิทยาลัย ในขณะที่เขากับโยธิศไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การพูดจาตกลงกันให้เข้าใจก็คงเหมาะสมดี
ถึงอย่างนั้น คำสัญญานี้ไม่ใช่เล็กน้อยเลย ถ้าเอ่ยปากรับแล้วเขาจะทำตามคำสั่งได้ทุกอย่างจริงหรือเปล่า?
ตอนที่ศิลาหนุ่มรุ่นพี่แนะนำงานนี้ก็เตือนเขาไว้ล่วงหน้าอยู่เหมือนกัน โยธิศผู้ว่าจ้างมาจากตระกูลร่ำรวย เติบโตในต่างประเทศ และอาจมีความคิดหรือนิสัยที่แปลกห่ามอยู่บ้าง แต่เท่าที่หนุ่มรุ่นพี่รู้จักมา มั่นใจว่าถึงอย่างนั้นโยธิศก็เป็นคนดีมีเหตุผล และดูแลคนใกล้ชิดเป็นอย่างดี
พนายังมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของว่าที่นายจ้างด้วยซ้ำไป และถึงเห็นก็ไม่มีทางหยั่งรู้ได้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคนแบบไหน สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้คือ ตัดสินใจว่าจะเชื่อมั่นในคำรับรองของศิลาหรือไม่
โยธิศนั่งรอเงียบปล่อยให้เขาคิด พนาสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเป็นคนยึดมั่นในคำสัญญา จริงอยู่ถ้าเป็นคำสั่งที่เขาไม่สามารถยอมทำตามได้ เขายังมีทางเลือกที่จะขอยุติการว่าจ้างเสียตอนนั้น แต่ถ้าเกิดเหตุคับขันก็คงไม่ยุติธรรมต่อความคาดหวังของผู้ว่าจ้าง ทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ว่าจะเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิงหรือไม่ ถ้าไม่ได้ เขาก็ไม่ควรเอ่ยปากสัญญาออกไป
พนามองเงาตะคุ่มกลางห้อง ถ้าไม่ได้งานนี้เขาก็คงพอมีปัญญาหางานอื่น ไม่ใช่ว่าเดือดร้อนเร่งด่วนอะไร ถ้าเขาจะถอยเสียตั้งแต่ตอนนี้...
แต่เขาไม่เคยเห็นศิลามองคนผิด และที่สำคัญ โยธิศเองก็เปิดเผยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา มันจะเป็นเหตุผลเพียงพอให้ตัดสินว่าเขาสามารถมั่นใจในตัวอีกฝ่ายได้หรือเปล่าเขาก็ไม่รู้ แต่พนายอมรับว่ามันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ
พนาสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แล้วตัดสินใจเอ่ยปาก
“ครับคุณโยธิศ ผมพร้อมที่จะทำตามคำสั่งคุณโยธิศทุกอย่างครับ”
ความเงียบปกคลุมห้องสลัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ชายหนุ่มบนเก้าอี้จะเอ่ยเสียงเรียบ
“ดี งั้นเริ่มที่คำสั่งแรก ผมต้องการให้คุณถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเดี๋ยวนี้”
[จบบทครับ]
บ้านสวนป่วนรัก [องครักษ์พิทักษ์คุณชาย] บทที่ 2 บทสนทนาในห้องมืด
โรแมนติกคอมเมดี้ แนวความหลากหลายทางเพศ
พิธันดร
สวัสดีทักทายในบทที่ 2 ครับ กำลังค่อยๆ หาจังหวะว่าจะลงทุกกี่วันถึงจะเหมาะ มีต้นฉบับตุนอยู่บ้างนิดหน่อยที่เขียนค้างไว้ กำลังจะเริ่มเขียนต่อ แต่... ยังไม่ได้เริ่ม แหะๆ กลัวลงๆ ไปแล้วหมดกระปุกโม่ไม่ทัน ยิ่งเขียนช้าๆ อยู่ครับ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านและแวะเข้ามาคุยครับ คิดเห็นเป็นยังไง ฝากข้อความบอกไว้บ้างก็จะดีใจมากครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ทำตัวตามสบายนะ ไม่ต้องเกร็ง”
เสียงบอกดังมาจากเก้าอี้ในเงาสลัวกลางห้อง
พูดง่าย ฟังง่าย แต่ทำไม่ง่ายเลยสักนิด ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนยิ้มแหยขยับเท้าไปมา มือไม้ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน ป่ายหน้าป่ายหลังอยู่ชั่วครู่แล้วเก็บมากุมอยู่ตรงหน้าขา
“คุณรู้ใช่ไหมว่างานที่สมัครมาคืออะไร”
พนาพยักหน้ารับ
“พอทราบอยู่บ้างครับ รุ่นพี่ที่แนะนำมาบอกผมว่าเป็นงานผู้ติดตาม ดูแลความเป็นอยู่ เสื้อผ้า อาหาร การเดินทาง แล้วก็เป็นเลขาส่วนตัวจัดการพวกตารางนัดหมายด้วย แบบนี้ใช่มั้ยครับ”
“คุณจะทำได้หรือ งานแบบนี้มันจำเจมากนะ คุณจบวิทยาศาสตร์นี่”
“ผมชินแล้วครับ ตั้งแต่จบผมก็ทำงานเป็นเลขาอาจารย์ที่คณะ เกือบสิบปีแล้วครับ อาจารย์ผมนี่เหมือนนักวิทยาศาสตร์ในหนังเลยครับ” พนายิ้มมีความสุข “วันๆ ง่วนอยู่แต่กับงานวิจัย บางทีก็ลืมว่ามีคาบสอน ผมต้องคอยเตือน บางทีแกติดพันไม่อยากลุก ไล่ให้ผมไปสอนแทนบ้างก็มีครับ”
“ผมเห็นในเอกสารคุณแล้วว่าเคยเป็นเลขามาก่อน”
“ตำแหน่งเลขาแต่ว่าทำทุกอย่างครับ อาจารย์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับงาน ชีวิตส่วนตัวผมเลยต้องดูแลหมด ซักรีด ทำกับข้าว ล้างจาน จัดกระเป๋าเดินทาง เรียกรถรับส่ง พาไปห้องสัมมนา คืออะไรที่นอกเหนือจากงานวิจัย ผมก็ช่วยหมดครับ”
ชายหนุ่มบนเก้าอี้พยักหน้าช้าๆ
“ไม่เบื่อหรือ”
“ไม่ครับ” พนาตอบหนักแน่น “ผมชอบ”
“แล้วทำไมเลิกเสียล่ะ”
“อาจารย์เกษียณอายุครับ แล้วแกก็อยากวางมือจากงานวิจัยด้วย ตอนนี้หันไปสนใจงานอดิเรกอย่างอื่นแทนครับ”
“งานแบบนี้บางคนเขาติว่าเป็นงานต่ำต้อย เป็นคนรับใช้ คุณไม่อายหรือ อุตส่าห์เรียนมาตั้งมาก”
พนามุ่นคิ้วน้อยๆ อยู่ชั่วครู่
“ไม่ทราบสิครับ ผมไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อน อาจเพราะไม่เคยมีใครเรียกผมว่าเป็นคนรับใช้ด้วยครับ ตำแหน่งผมเป็นเลขา รับเงินเดือนประจำจากคณะ งานส่วนตัวที่ผมช่วยอาจารย์ก็ไม่ได้เงินเพิ่มหรอกครับ เห็นอาจารย์สนุกกับงานวิจัยผมก็พลอยดีใจ อะไรที่ทำให้แกก็เหมือนทำให้ญาติผู้ใหญ่คนนึงมากกว่าครับ”
“ผมยังไม่อาวุโสพอจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของคุณหรอกนะ”
น้ำเสียงจากเก้าอี้เจือขำ พนาละล่ำละลักแก้
“เปล่าครับ ผมไม่ได้นึกถึงคุณโยธิศอย่างนั้นเลยครับ แค่อยากอธิบายให้ฟังเท่านั้นเอง”
ที่จริงชายหนุ่มที่นั่งอยู่จะเป็นโยธิศผู้ว่าจ้างเองหรือเปล่าพนาก็ไม่รู้และเดาไม่ออก แต่ประโยคสุดท้ายที่เปรียบเทียบตัวเองกับญาติผู้ใหญ่ทำให้พนาคาดว่าคงจะใช่แน่แล้ว ซึ่งก็สมเหตุสมผล ถ้าใครจะจ้างผู้ติดตามที่ต้องเจอหน้ากันเกือบตลอดเวลาที่ตื่นก็ควรต้องเลือกเฟ้นด้วยตัวเอง เกิดศรศิลป์ไม่กินกันจะได้รู้เสียแต่แรก ไม่ไปแตกหักหลังจากร่วมเดินทางกันแล้ว
“ตำแหน่งงานนี้เป็นผู้ติดตามก็จริง แต่หน้าที่หลักอีกอย่างคือต้องคุ้มกันผมด้วย”
“อะ... หา...” พนาอ้าปากค้าง
“ปกติผมไม่ได้อยู่เมืองไทย คุณไม่ต้องกลัวหรอก ที่นี่ยังไม่มีใครรู้จักผมเท่าไหร่”
“เอ่อ... อ่อ... อ้อครับ”
“แต่ผมก็ได้รับคำเตือนมาบ้าง”
นั่นปะไร! นี่ถ้าพนาอยู่คนเดียวและนั่งอยู่คงตบเข่าฉาดไปแล้ว
ชายหนุ่มบนเก้าอี้คงสังเกตเห็นสีหน้าหรือท่าทางของเขาในเงาสลัว เสียงที่พูดต่อเจือแววขำ
“ผมกำลังดูลู่ทางทำธุรกิจที่เมืองไทย หุ้นส่วนของผมเป็นคนไทย รู้จักสังคมที่นี่ดี เลยเตือนมาให้ระวัง ถ้าเริ่มเปิดตัวเมื่อไหร่จะมีคนจ้องจับ”
พนาระบายลมหายใจ พยักหน้าช้าๆ สมัครผิดงานแล้วเรา
“จับ... ไปเรียกค่าไถ่แบบนี้เหรอครับ”
“เปล่า จับแต่งงาน”
พนากะพริบตาหนึ่งปริบ พยายามทำความเข้าใจประโยคท้ายที่ได้ยิน
“จับ... แต่งงาน?”
“ใช่ น่ากลัวมาก” โยธิศพูดเสียงจริงจังจนพนาไม่กล้าขำ แถมฝ่ายนั้นยังโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “หน้าที่หลักของคุณอีกอย่างคือ ต้องคุ้มกันผม เป็นกันชนให้ผม เข้าใจหรือเปล่า”
พนาทำปากกลมร้องอ๋อในใจ พยักหน้าช้าๆ แล้วหยุดกึก
...อะไรนะ... หน้าที่หลักของคุณ...
...ของคุณ!?...
กำลังจะหลุดปากถามว่าผมได้งานแล้วเหรอครับแต่ยั้งไว้ทัน บางทีโยธิศอาจจะหมายถึงว่า ‘ถ้า’ เขาได้งานนี้
“คุณคิดว่าทำได้ไหม”
นั่นปะไร เกือบตบเข่าฉาดอีกรอบ
“เอ่อ... ผมไม่เคยเป็นกันชนให้ใครเลยครับ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน...”
อ้าว ซื่อสัตย์เกินไปแบบนี้ จะได้งานมั้ยล่ะนี่เรา
“ผมเข้าใจ ผมก็ไม่เคยจ้างใครให้เป็นกันชนเหมือนกัน แต่ผมยินดีถ้าคุณจะลอง”
“อ้อ... ครับ...” คราวนี้อ้อมแอ้ม “ผมกลัวจะทำได้ไม่ดี แต่ก็จะตั้งใจให้ดีที่สุดครับ”
“ดี คุยกันตรงๆ แบบนี้ผมชอบ มีอีกเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าเข้าใจตรงกันได้ผมก็ยินดีรับคุณเข้าทำงาน”
พนารับคำ
“เราต้องใช้ชีวิตใกล้ชิดกัน ผมต้องพึ่งพาคุณ สิ่งที่คุณทำทุกอย่างจะมีผลต่อชีวิตและความปลอดภัยของผม” โยธิศหยุดนิ่งเหมือนรอ พนารีบพยักหน้ารับ โยธิศพูดต่อ “ผมจำเป็นต้องมั่นใจในตัวคุณโดยสิ้นเชิง และคุณก็จำเป็นต้องมั่นใจในตัวผมโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน ผมไม่มีหลักประกันอะไรให้คุณ ทำได้แค่ยืนยันด้วยปากว่าผมไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งทุจริตผิดกฎหมายและจริยธรรม และผมจะไม่ทำหรือสั่งอะไรที่เป็นอันตรายต่อคุณแน่ แต่ผมก็จำเป็นต้องแน่ใจว่าคุณเชื่อมั่นในตัวผม และพร้อมจะทำตามที่ผมสั่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไร คุณยอมรับได้ไหม”
พนามุ่นคิ้วน้อยๆ โดยเหตุและผลก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนทำงานกับอาจารย์ ทั้งเขาและอาจารย์ก็คงรู้สึกไว้วางใจในกันและกันไปโดยปริยาย ไม่เคยต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
แต่เขากับอาจารย์คุ้นเคยกันดีตั้งแต่สมัยเขาเรียนมหาวิทยาลัย ในขณะที่เขากับโยธิศไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การพูดจาตกลงกันให้เข้าใจก็คงเหมาะสมดี
ถึงอย่างนั้น คำสัญญานี้ไม่ใช่เล็กน้อยเลย ถ้าเอ่ยปากรับแล้วเขาจะทำตามคำสั่งได้ทุกอย่างจริงหรือเปล่า?
ตอนที่ศิลาหนุ่มรุ่นพี่แนะนำงานนี้ก็เตือนเขาไว้ล่วงหน้าอยู่เหมือนกัน โยธิศผู้ว่าจ้างมาจากตระกูลร่ำรวย เติบโตในต่างประเทศ และอาจมีความคิดหรือนิสัยที่แปลกห่ามอยู่บ้าง แต่เท่าที่หนุ่มรุ่นพี่รู้จักมา มั่นใจว่าถึงอย่างนั้นโยธิศก็เป็นคนดีมีเหตุผล และดูแลคนใกล้ชิดเป็นอย่างดี
พนายังมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของว่าที่นายจ้างด้วยซ้ำไป และถึงเห็นก็ไม่มีทางหยั่งรู้ได้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคนแบบไหน สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้คือ ตัดสินใจว่าจะเชื่อมั่นในคำรับรองของศิลาหรือไม่
โยธิศนั่งรอเงียบปล่อยให้เขาคิด พนาสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเป็นคนยึดมั่นในคำสัญญา จริงอยู่ถ้าเป็นคำสั่งที่เขาไม่สามารถยอมทำตามได้ เขายังมีทางเลือกที่จะขอยุติการว่าจ้างเสียตอนนั้น แต่ถ้าเกิดเหตุคับขันก็คงไม่ยุติธรรมต่อความคาดหวังของผู้ว่าจ้าง ทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ว่าจะเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิงหรือไม่ ถ้าไม่ได้ เขาก็ไม่ควรเอ่ยปากสัญญาออกไป
พนามองเงาตะคุ่มกลางห้อง ถ้าไม่ได้งานนี้เขาก็คงพอมีปัญญาหางานอื่น ไม่ใช่ว่าเดือดร้อนเร่งด่วนอะไร ถ้าเขาจะถอยเสียตั้งแต่ตอนนี้...
แต่เขาไม่เคยเห็นศิลามองคนผิด และที่สำคัญ โยธิศเองก็เปิดเผยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา มันจะเป็นเหตุผลเพียงพอให้ตัดสินว่าเขาสามารถมั่นใจในตัวอีกฝ่ายได้หรือเปล่าเขาก็ไม่รู้ แต่พนายอมรับว่ามันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ
พนาสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แล้วตัดสินใจเอ่ยปาก
“ครับคุณโยธิศ ผมพร้อมที่จะทำตามคำสั่งคุณโยธิศทุกอย่างครับ”
ความเงียบปกคลุมห้องสลัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ชายหนุ่มบนเก้าอี้จะเอ่ยเสียงเรียบ
“ดี งั้นเริ่มที่คำสั่งแรก ผมต้องการให้คุณถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเดี๋ยวนี้”