บ้านสวนป่วนรัก [องครักษ์พิทักษ์คุณชาย]
โรแมนติกคอมเมดี้ แนวความหลากหลายทางเพศ
พิธันดร
คุณพีทคุย
สวัสดีทักทายในบทที่ 3 แล้วครับ จริงๆ รู้สึกว่าบทที่แล้วจบได้สวย สวยจนไม่น่าเขียนต่อ //ผิด สวยจนอยากรีบลงต่อไวๆ อดใจไม่ไหวก็เลยมาลง
พอจัดหน้าลงถนนฯ ซักสองสามครั้งก็รู้สึกได้ ว่าบทแรกๆ นี่มันสั้นจัง! (รู้สึกบทหลังๆ จะยาวกว่านี้นิดนุง)
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาเยี่ยม มาอ่าน มากดถูกใจ มาคุยทักทาย เป็นกำลังใจอย่างมากเลยครับ
สารบัญ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 1 ประตูเหล็กสีเทา
บทที่ 2 บทสนทนาในห้องมืด
บทที่ 3 คำสั่งแรก
“ผมต้องการให้คุณถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเดี๋ยวนี้”
พนาอึ้ง
นี่เขาตัดสินใจผิดไปใช่ไหม?
ว่าที่นายจ้างนั่งนิ่งอยู่ในเงาสลัวกลางห้อง ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่ได้โน้มตัวมาเร่งรัด เสียงเดียวที่พนาได้ยินนอกจากลมหายใจไม่เป็นจังหวะกับเสียงหัวใจอึงอลของตัวเอง ก็มีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศต่ำเบาประดับเงาสลัวของห้องเท่านั้น
เข้าใจล่ะ นี่คือคำสั่งแรก คำสั่งที่จะทดสอบว่าเขาสามารถ ‘ทำ’ ได้อย่างที่ปาก ‘พูด’ หรือเปล่า
ก็สมควรแล้วที่เขาจะถูกทดสอบ เพราะถ้าเกิดเหตุคับขันขึ้นจริงๆ แล้วเขาไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ ถึงตอนนั้นผู้เสียหายก็คงเป็นนายจ้าง ไม่ใช่เขา
นี่คงเป็นการบอกเขากลายๆ ว่าถ้าจะถอยก็ให้รีบตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้
แต่เขาออกปากสัญญาไปแล้ว
และ... คำสั่งนี้... แม้จะทำให้เขารู้สึกขัดเขินอย่างมาก มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลร้ายหรืออันตรายต่อตัวเขาแต่อย่างใด
นึกถึงคำเตือนของศิลาหนุ่มรุ่นพี่ นึกถึงถ้อยความที่โยธิศพูดกับเขาเมื่อครู่ แล้วก็สูดลมหายใจลึก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนเริ่มปลดกระดุมเสื้อจากเม็ดใต้คอ
อากาศในห้องหนาวเหน็บจนพนาชักสงสัยว่าเป็นความจงใจของผู้ว่าจ้างหรือเปล่า ถึงอย่างนั้นใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าว นิ้วมือเปียกจนลื่น เขาต้องพยายามอยู่หลายครั้งกว่าจะจับกระดุมติดและปลดมันออกจากรังจนสำเร็จ
เม็ดแรกผ่านไปแล้ว เม็ดที่สองควรจะง่ายขึ้น แต่นิ้วของเขากลับเทอะทะงุ่มง่ามยิ่งกว่าเดิม ใช้เวลาอยู่ไม่น้อยกว่าจะปลดมันออก
รอยแยกเพียงเล็กน้อยของอกเสื้อไม่ควรจะเปิดช่องให้อากาศเย็นในห้องรุกล้ำเข้ามาแตะต้องผิวเนื้อเขาได้มากมาย แต่พนารู้สึกหนาววูบตั้งแต่หว่างอกลามลึกลงไปถึงแข้งขา
บางทีอาจไม่ใช่เพราะรอยแยกของผ้า แต่เป็นเพราะใจเขาเองที่หวาดประหม่าล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
พนาเผลอขบกรามสู้ความหนาว นิ้วมือมะงุมมะงาหราอยู่อีกหลายอึดใจ กว่ากระดุมเม็ดที่สามจะถูกพรากออกจากรัง
รู้สึกถึงหยดเหงื่อเย็นเยียบบนผิวแก้มที่ร้อนฉ่า พนากลั้นใจเลื่อนมือไปยังกระดุมเม็ดที่สี่ใกล้เข็มขัด
“พอแล้ว”
เสียงสั่งเรียบดังมาจากเงาสลัวกลางห้อง พนาชะงักมือไปเพียงชั่ววินาที นิ้วขยับจะปฏิบัติงานต่อ แล้วสมองถึงค่อยรับรู้ความหมายของคำสั่ง เขาเกือบถอนหายใจแต่ยั้งตัวเองไว้ทัน
“เอ่อ... ครับ?”
เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? หรือเขาช้าเกินไป? บางทีเขาอาจจะไม่ผ่านการทดสอบนี้
“ติดกระดุมตามเดิม นี่ถือว่าเป็นคำสั่งที่สองแล้วกัน”
เหมือนคนกำลังจมน้ำโผล่หัวพรวดขึ้นมาหายใจ พนายิ้มออกมาได้ มือรีบงมงำคลำหากระดุมกลัดคืนมิดชิดตามเดิม และประโยคท้ายนั่น ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด...
“ผมได้งานแล้วใช่มั้ยครับ”
ยังไม่ทันได้คำตอบก็มีเสียงกระแอมต่ำลึกดังมาจากเบื้องหลังราวกับเป็นสัญญาณเตือนความจำอะไรสักอย่าง
ลืมไปเลยว่ามีคุณพ่อบ้านทะมึนอยู่ในห้องด้วยอีกคน
“มีอีกสองคำถาม” ชายหนุ่มที่กลางห้องพูดเสียงอารมณ์ดี “คุณมีทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวบ้างหรือเปล่า”
พนารู้สึกใจแฟบลงทันที ส่ายหน้าน้อยๆ ตอบเสียงเบา
“ไม่มีเลยครับ ไม่เคยหัดอะไรซักอย่างครับ”
“แล้วอาวุธล่ะ ใช้อะไรเป็นบ้าง”
ฝืนยิ้มทั้งที่ไม่คิดว่าคำตอบของตัวเองจะตลกเลยสักนิด
“มีดทำครัวครับ หั่น ซอย สับ นับมั้ยครับ”
เหมือนมีเสียงครืนต่ำๆ ดังมาจากข้างหลัง พนาอยากจะคิดว่ามันคือเสียงรถบรรทุกวิ่งผ่านหน้ารั้ว แต่ซอยนี้เล็กเกินไป และเสียงนั้นก็ใกล้เกินไป
‘นายจ้าง’ ที่กำลังกลายเป็น ‘คนที่เกือบจะเป็นนายจ้าง’ หัวเราะเบาๆ อยู่ในเงาสลัว
“พ่อบ้านของผมคงพอใจคำตอบของคุณแล้ว ตกลงผมยินดีรับคุณเข้าทำงาน หมายถึงว่าถ้าคุณยังยินดีเอาตัวมาเสี่ยงกับหน้าที่นี้อยู่นะ”
พนานิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาได้
“ยินดีสิครับ” ถึงเจ้านายคนใหม่จะดูแปลกคนไปสักหน่อยก็เถอะ
“พร้อมจะเริ่มงานทันทีไหม”
“ครับ” พนาพยักหน้าหนักแน่น “ผมเอาของใช้ส่วนตัวมาแล้วตามที่สั่งไว้ในอีเมลครับ”
“ดี” เจ้านายคนใหม่ลุกยืนขึ้น “กระเป๋าเดินทางของเราสองคนเตรียมไว้พร้อมแล้ว พ่อบ้านผมจะพาคุณไปดูรายละเอียดของงาน เสร็จแล้วคุณก็กินมื้อเที่ยงเสียที่นี่เลย ตอนบ่ายเราจะออกเดินทาง”
พนาตัวแข็งไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘พ่อบ้าน’ แล้ว แต่ถ้าเขาเป็นผู้ติดตามของโยธิศ ยังไงก็เลี่ยงการทำงานร่วมกับชายวัยกลางคนร่างทะมึนที่มีหนวดเคราเป็นแผงไม่ได้แน่ พนาแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหลียวหลังไปเจอกระเป๋าสะพายใบย่อมของเขาถูกยื่นพรวดเข้ามาเกือบจะกระแทกลิ้นปี่ พนารีบตะปบไว้ก่อนที่คุณพ่อบ้านทะมึนจะปล่อยร่วง
“ฝากด้วยนะคิโมน” เสียงเจ้านายคนใหม่กลั้วหัวเราะมาจากข้างหลัง “นายเคืองที่ไม่ได้ไปกับฉันก็ไม่ว่า แต่อย่าเผลอระบายใส่พนาเข้าแล้วกัน เดี๋ยวฉันต้องเดินทางคนเดียวล่ะแย่เลย”
พนากลืนน้ำลายอีกอึก เหลือบมองแผงหนวดทะมึนแหยงๆ ฝ่ายนั้นย่ำเท้าหนักๆ ผ่านเขาตรงเข้าไปด้านในห้อง พนาสูดลมหายใจลึกปลอบขวัญตัวเองแล้วหมุนตัวออกเดินตาม
โยธิศก้าวเข้ามาดักหน้า พนาหยุดเท้าเหลือบขึ้นมอง เห็นใบหน้าอีกฝ่ายขาวสว่างอย่างชาวตะวันตก ประดับด้วยหนวดเคราสีดำสนิทเหมือนพ่อบ้านแต่เล็มไว้คมกริบเรียบร้อย ดวงตาเข้มลึกสะท้อนแสงเป็นแววกล้า พนาเผลอสะดุ้งโดยไม่อาจยั้ง
...เทพกรีก...
โยธิศทำให้เขานึกถึงเทพเจ้ากรีกโบราณ
ยังไม่ทันรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ ฝ่ายนั้นก็จับไหล่เขาบีบกระชับ พูดเสียงต่ำเบาเกือบกระซิบ
“ไม่ต้องกลัวนะ คิโมนเป็นคนดี พวกเราที่นี่เป็นคนดีทุกคน”
ใบหน้าคมคลี่รอยยิ้มเห็นฟันขาวสว่างในความมืดแล้วพูดต่อ
“ยกเว้นผม”
อ้าว!!!
[จบบทครับ]
บ้านสวนป่วนรัก [องครักษ์พิทักษ์คุณชาย] บทที่ 3 คำสั่งแรก
โรแมนติกคอมเมดี้ แนวความหลากหลายทางเพศ
พิธันดร
สวัสดีทักทายในบทที่ 3 แล้วครับ จริงๆ รู้สึกว่าบทที่แล้วจบได้สวย สวยจนไม่น่าเขียนต่อ //ผิด สวยจนอยากรีบลงต่อไวๆ อดใจไม่ไหวก็เลยมาลง
พอจัดหน้าลงถนนฯ ซักสองสามครั้งก็รู้สึกได้ ว่าบทแรกๆ นี่มันสั้นจัง! (รู้สึกบทหลังๆ จะยาวกว่านี้นิดนุง)
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาเยี่ยม มาอ่าน มากดถูกใจ มาคุยทักทาย เป็นกำลังใจอย่างมากเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ผมต้องการให้คุณถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเดี๋ยวนี้”
พนาอึ้ง
นี่เขาตัดสินใจผิดไปใช่ไหม?
ว่าที่นายจ้างนั่งนิ่งอยู่ในเงาสลัวกลางห้อง ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่ได้โน้มตัวมาเร่งรัด เสียงเดียวที่พนาได้ยินนอกจากลมหายใจไม่เป็นจังหวะกับเสียงหัวใจอึงอลของตัวเอง ก็มีแต่เสียงเครื่องปรับอากาศต่ำเบาประดับเงาสลัวของห้องเท่านั้น
เข้าใจล่ะ นี่คือคำสั่งแรก คำสั่งที่จะทดสอบว่าเขาสามารถ ‘ทำ’ ได้อย่างที่ปาก ‘พูด’ หรือเปล่า
ก็สมควรแล้วที่เขาจะถูกทดสอบ เพราะถ้าเกิดเหตุคับขันขึ้นจริงๆ แล้วเขาไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ ถึงตอนนั้นผู้เสียหายก็คงเป็นนายจ้าง ไม่ใช่เขา
นี่คงเป็นการบอกเขากลายๆ ว่าถ้าจะถอยก็ให้รีบตัดสินใจเสียตั้งแต่ตอนนี้
แต่เขาออกปากสัญญาไปแล้ว
และ... คำสั่งนี้... แม้จะทำให้เขารู้สึกขัดเขินอย่างมาก มันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผลร้ายหรืออันตรายต่อตัวเขาแต่อย่างใด
นึกถึงคำเตือนของศิลาหนุ่มรุ่นพี่ นึกถึงถ้อยความที่โยธิศพูดกับเขาเมื่อครู่ แล้วก็สูดลมหายใจลึก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวสีน้ำตาลอ่อนเริ่มปลดกระดุมเสื้อจากเม็ดใต้คอ
อากาศในห้องหนาวเหน็บจนพนาชักสงสัยว่าเป็นความจงใจของผู้ว่าจ้างหรือเปล่า ถึงอย่างนั้นใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าว นิ้วมือเปียกจนลื่น เขาต้องพยายามอยู่หลายครั้งกว่าจะจับกระดุมติดและปลดมันออกจากรังจนสำเร็จ
เม็ดแรกผ่านไปแล้ว เม็ดที่สองควรจะง่ายขึ้น แต่นิ้วของเขากลับเทอะทะงุ่มง่ามยิ่งกว่าเดิม ใช้เวลาอยู่ไม่น้อยกว่าจะปลดมันออก
รอยแยกเพียงเล็กน้อยของอกเสื้อไม่ควรจะเปิดช่องให้อากาศเย็นในห้องรุกล้ำเข้ามาแตะต้องผิวเนื้อเขาได้มากมาย แต่พนารู้สึกหนาววูบตั้งแต่หว่างอกลามลึกลงไปถึงแข้งขา
บางทีอาจไม่ใช่เพราะรอยแยกของผ้า แต่เป็นเพราะใจเขาเองที่หวาดประหม่าล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
พนาเผลอขบกรามสู้ความหนาว นิ้วมือมะงุมมะงาหราอยู่อีกหลายอึดใจ กว่ากระดุมเม็ดที่สามจะถูกพรากออกจากรัง
รู้สึกถึงหยดเหงื่อเย็นเยียบบนผิวแก้มที่ร้อนฉ่า พนากลั้นใจเลื่อนมือไปยังกระดุมเม็ดที่สี่ใกล้เข็มขัด
“พอแล้ว”
เสียงสั่งเรียบดังมาจากเงาสลัวกลางห้อง พนาชะงักมือไปเพียงชั่ววินาที นิ้วขยับจะปฏิบัติงานต่อ แล้วสมองถึงค่อยรับรู้ความหมายของคำสั่ง เขาเกือบถอนหายใจแต่ยั้งตัวเองไว้ทัน
“เอ่อ... ครับ?”
เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? หรือเขาช้าเกินไป? บางทีเขาอาจจะไม่ผ่านการทดสอบนี้
“ติดกระดุมตามเดิม นี่ถือว่าเป็นคำสั่งที่สองแล้วกัน”
เหมือนคนกำลังจมน้ำโผล่หัวพรวดขึ้นมาหายใจ พนายิ้มออกมาได้ มือรีบงมงำคลำหากระดุมกลัดคืนมิดชิดตามเดิม และประโยคท้ายนั่น ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด...
“ผมได้งานแล้วใช่มั้ยครับ”
ยังไม่ทันได้คำตอบก็มีเสียงกระแอมต่ำลึกดังมาจากเบื้องหลังราวกับเป็นสัญญาณเตือนความจำอะไรสักอย่าง
ลืมไปเลยว่ามีคุณพ่อบ้านทะมึนอยู่ในห้องด้วยอีกคน
“มีอีกสองคำถาม” ชายหนุ่มที่กลางห้องพูดเสียงอารมณ์ดี “คุณมีทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวบ้างหรือเปล่า”
พนารู้สึกใจแฟบลงทันที ส่ายหน้าน้อยๆ ตอบเสียงเบา
“ไม่มีเลยครับ ไม่เคยหัดอะไรซักอย่างครับ”
“แล้วอาวุธล่ะ ใช้อะไรเป็นบ้าง”
ฝืนยิ้มทั้งที่ไม่คิดว่าคำตอบของตัวเองจะตลกเลยสักนิด
“มีดทำครัวครับ หั่น ซอย สับ นับมั้ยครับ”
เหมือนมีเสียงครืนต่ำๆ ดังมาจากข้างหลัง พนาอยากจะคิดว่ามันคือเสียงรถบรรทุกวิ่งผ่านหน้ารั้ว แต่ซอยนี้เล็กเกินไป และเสียงนั้นก็ใกล้เกินไป
‘นายจ้าง’ ที่กำลังกลายเป็น ‘คนที่เกือบจะเป็นนายจ้าง’ หัวเราะเบาๆ อยู่ในเงาสลัว
“พ่อบ้านของผมคงพอใจคำตอบของคุณแล้ว ตกลงผมยินดีรับคุณเข้าทำงาน หมายถึงว่าถ้าคุณยังยินดีเอาตัวมาเสี่ยงกับหน้าที่นี้อยู่นะ”
พนานิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาได้
“ยินดีสิครับ” ถึงเจ้านายคนใหม่จะดูแปลกคนไปสักหน่อยก็เถอะ
“พร้อมจะเริ่มงานทันทีไหม”
“ครับ” พนาพยักหน้าหนักแน่น “ผมเอาของใช้ส่วนตัวมาแล้วตามที่สั่งไว้ในอีเมลครับ”
“ดี” เจ้านายคนใหม่ลุกยืนขึ้น “กระเป๋าเดินทางของเราสองคนเตรียมไว้พร้อมแล้ว พ่อบ้านผมจะพาคุณไปดูรายละเอียดของงาน เสร็จแล้วคุณก็กินมื้อเที่ยงเสียที่นี่เลย ตอนบ่ายเราจะออกเดินทาง”
พนาตัวแข็งไปตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘พ่อบ้าน’ แล้ว แต่ถ้าเขาเป็นผู้ติดตามของโยธิศ ยังไงก็เลี่ยงการทำงานร่วมกับชายวัยกลางคนร่างทะมึนที่มีหนวดเคราเป็นแผงไม่ได้แน่ พนาแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหลียวหลังไปเจอกระเป๋าสะพายใบย่อมของเขาถูกยื่นพรวดเข้ามาเกือบจะกระแทกลิ้นปี่ พนารีบตะปบไว้ก่อนที่คุณพ่อบ้านทะมึนจะปล่อยร่วง
“ฝากด้วยนะคิโมน” เสียงเจ้านายคนใหม่กลั้วหัวเราะมาจากข้างหลัง “นายเคืองที่ไม่ได้ไปกับฉันก็ไม่ว่า แต่อย่าเผลอระบายใส่พนาเข้าแล้วกัน เดี๋ยวฉันต้องเดินทางคนเดียวล่ะแย่เลย”
พนากลืนน้ำลายอีกอึก เหลือบมองแผงหนวดทะมึนแหยงๆ ฝ่ายนั้นย่ำเท้าหนักๆ ผ่านเขาตรงเข้าไปด้านในห้อง พนาสูดลมหายใจลึกปลอบขวัญตัวเองแล้วหมุนตัวออกเดินตาม
โยธิศก้าวเข้ามาดักหน้า พนาหยุดเท้าเหลือบขึ้นมอง เห็นใบหน้าอีกฝ่ายขาวสว่างอย่างชาวตะวันตก ประดับด้วยหนวดเคราสีดำสนิทเหมือนพ่อบ้านแต่เล็มไว้คมกริบเรียบร้อย ดวงตาเข้มลึกสะท้อนแสงเป็นแววกล้า พนาเผลอสะดุ้งโดยไม่อาจยั้ง
...เทพกรีก...
โยธิศทำให้เขานึกถึงเทพเจ้ากรีกโบราณ
ยังไม่ทันรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ ฝ่ายนั้นก็จับไหล่เขาบีบกระชับ พูดเสียงต่ำเบาเกือบกระซิบ
“ไม่ต้องกลัวนะ คิโมนเป็นคนดี พวกเราที่นี่เป็นคนดีทุกคน”
ใบหน้าคมคลี่รอยยิ้มเห็นฟันขาวสว่างในความมืดแล้วพูดต่อ
“ยกเว้นผม”
อ้าว!!!