[ขออนุญาติเปลี่ยนชื่อหัวกระทู้นะครับเพื่อความสวยงาม]

พอมาถึงตอนนี้แล้วถ้าหากใครยังไม่ได้อ่านของตอนแรกๆ ผมขอแนะนำให้ไปเริ่มอ่านตั้งแต่ตอนแรก เพื่ออรรถรสในการอ่าน
DAY 1:
https://pantip.com/topic/36705169
DAY 2:
https://pantip.com/topic/36982039
DAY 3:
https://pantip.com/topic/36982721
ใช่แล้วนี่มันตี 4 แล้ว จริงๆเรากะจะตื่นซักตี 3 เพราะเมื่อคืนเราถามเส้นทางกับลุงคนเดิมที่ให้เราเช่ามอเตอร์ไซค์ ลุงแกบอกว่าใช้เวลา 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เป้าหมายของเราคือไปถึง White Sand Dunes ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เราตื่นมาช้าไปชั่วโมงนึง เลยไม่ได้อาบน้ำแปรงฟัน 555555 เรารีบแบกกล้องคนละตัวแล้วตรงไปที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ บิดคันเร่งสุดเพื่อไปไล่ล่าแสงแรงของวัน เราขับมอเตอร์ไซค์ไป White Sand Dune ตอนตี 4 ตอนนั้นมืดตึดตือ ยังไม่เห็นรอบข้างทาง แต่ที่รู้คือเราครองถนน

ต้น: สักพักระหว่างขับไปมีแสงมันแว๊บเข้าตาผมคือกล้องตรวจจับความเร็ว5555 แต่ผมก็ไม่โดนอะไรนะครับไม่มีจดหมาย 500 ถึงบ้านแน่นอน
ระหว่างทางเราแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยเพราะแต่ละคนสภาพนี่ง่วงนอนมาก ผมจึงหยิบมือถือมาเปิดเพลงดังๆ ให้เข้ากับบรรยากาศตอนขับมอเตอร์ไซค์ตอนนั้น เซมาดือ ช็อก ก่า ~
ขับมาได้ซักชั่วโมงหนึ่งภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เราเริ่มเห็นกองเนินทรายทางด้านซ้ายมือของเราส่วนด้านขวาเป็นทะเลซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยแสงจากเรือหาปลา เราเริ่มเห็นรถจีปที่กำลังมุ่งหน้าไปที่หมายเดียวกับเรา ทำให้เราอุ่นใจในเส้นทางมากขึ้น ตอนที่เราใกล้ถึง White Sand Dunes พระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นมาแล้ว ทำให้ต้องเร่งสปีดเพิ่มขึ้นมาอีก



ที่ White Sand Dunes จะมีที่ให้จอดมอเตอร์ไซค์ซึ่งเสียเงินราคามาตรฐานเลย 1,400 ดอง ที่นี่จะมีรถ ATV ให้เราเช่าด้วยแล้วแต่ความสมัครใจของนักท่องเที่ยวนะครับ แต่เผอิญเรามีกฎข้อสำคัญว่า “Save Budget” เลยเดินง่วงๆขึ้นไปตามเนินทรายหลายลูกซึ่งไกลและชันมาก อันนี้ผมขอแนะนำว่าให้เดินดีกว่าครับเพราะพวกนี้ราคาค่อนข้างสูงแล้วเราแทบไม่มีอำนาจต่อรองราคา แต่ถ้าอยากสบายก็ยอมจ่ายดีกว่าครับ



ระหว่างทางที่เราเดินบางคนที่เช่ารถมาก็จะมีติดหล่มกันบ้าง

ตอนเดินเนี่ยครับเหนื่อยมากๆ นอนมาก็น้อย ง่วงก็ง่วง เท้าก็เมื่อย ทางก็ชัน แต่พอเราเดินขึ้นมาถึงบนเนินทราย อยู่ดีๆอาการเหล่านี้ก็ได้หายไปทันทีครับ เรา 3 คนหยุดเดินแล้วรีบควักอาวุธของเราออกมารัวชัตเตอร์วิวที่อยู่ข้างหน้าเรา พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้สวยมากๆ มันเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนที่ยืนอยู่บนเนินทรายแห่งนี้ ระหว่างที่ผมพรรณนาอยู่นี่ ทัวร์จีนก็คุยกันโช้งเช้งๆ ข้างๆหูผมเลย





เรียกได้ว่าคุ้มค่าการตื่นนอนเช้าและการบิดมาตลอด 2 ชั่วโมง

ขากลับเราค่อนข้างรีบเป็นพิเศษครับเพราะวันนี้เราต้องเดินทางข้ามเมืองจากมุยเน่ไปดาลัด ซึ่งรถบัสจะออกประมาณ บ่ายโมง เราขับมาเรื่อยๆ บรรยากาศริมทะเลของเมือง Mui Ne แปลกใหม่สำหรับพวกเราที่ไม่เคยเห็นทะเลทรายมาก่อนแล้วยิ่งมันอยู่ติดทะเลด้วยยิ่ง amazing มากๆ ระหว่างทางจึงต้องแวะจอดถ่ายรูปกันซะหน่อยเพราะเมื่อเช้าก็รีบมาดูพระอาทิตย์ตกทำให้ไม่ได้จอดพักกันเลยต้องบิดกันตลอดทาง


ขับจนมาถึง หมู่บ้านชาวประมง ว่าจะหาข้าวเช้ากินที่นี่ แต่มันดันมีแต่ปลาสดๆ ทำให้ต้องวนรถกลับไปในตัวเมืองและแล้วก็เจอร้านที่มีความ local ของเวียดนาม เป็นร้านข้าวราดแกงเล็กที่ตั้งอยู่ริมทาง พวกเราจอดรถแล้วลงไปสั่งข้าวโดยวิธีใช้นิ้ว เวลาสั่งก็จะใช้นิ้ววนๆ จิ้มๆ หน้าป้าแกก็เคลิ้มเลยครับ เอ้ย! ไม่ใช่ เป็นมื้อแรกของวันนี้เลยครับ ตื่นตี 4 ได้กินข้าว 7 โมงเช้า กินไปก็ซึมกับบรรยากาศของเวียดนาม ข้าวมื้อนี้ถือว่าอร่อยเกินคาด ในจานก็มี หมูแดง ไข่นกกระทาทอด และมีน้ำซุปให้ 1 ถ้วย มื้อนี้ผมถือว่าเป็นมือพิเศษนะ ได้กินข้าวแบบชาวเวียดนามท้องถิ่นเลย และที่สำคัญ “Save Budget”


หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ขับรถกลับ Hills (ที่พักของเรา)เพื่อที่จะอาบน้ำ เก็บข้าวของและไปขึ้นรถบัส รถบัสเรานั่งของ The Sinh Tourist เหมือนเดิมเวลาออกจาก มุยเน่ ไป ดาลัด ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ เดินทางครั้งนี้เราหลับตลอดทางเพราะแทบไม่ได้นอนบวกกับการใช้พลังงานกับการล่าดวงอาทิตย์ไปหมดแล้ว พอรถออกปุ๊บเราก็หลับทันที ระหว่างขับคนขับรถก็มีแวะฉี่กลางทางบ้าง ซึ่งเราก็ได้แต่นอนอย่างเดียวไม่อยากไปไหน
ตื่นมาอีกทีรถก็ถึงเมือง ดาลัด แล้วครับ ลงจากรถได้แป๊บเดียวเท่านั้น ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือ เดินจากจุดลงรถไปที่โรงแรม เดินอย่างเมามันส์เลยครับ ฝนก็ตกอากาศก็หนาว ช่วงที่เราไปอากาศประมาณ 10 องศาปลายๆ 20 องศาต้นๆครับ ซึ่งเราไม่ได้ทำการบ้านมา เราลืม check ว่าเมือง Dalat ภูมิประเทศล้อมรอบด้วยภูเขาสูงค่อนข้างชื้นและหนาว อากาศนี่เย็นเหมือนอยู่บนดอย ระหว่างเดินก็ผ่านร้านอาหาร ก็ได้ทำการเล็งๆไว้ วันนี้อยากกินปิ้งย่างเวียดนาม แก้หนาวกันซักหน่อย เดินจนถึงที่พักของเรา ซึ่งโรงแรมที่นี่บรรยากาศโคตรชิวดูจากในภาพเอาแล้วคูณไปอีก 10 เราก็เช็คอินอาบน้ำ แล้วก็ขดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆกันซักพักรอฝนหยุด



พอฝนเริ่มซาเราก็ลงมานั่งรอข้างล่าง นั่งจิบโกโก้ร้อนอย่างสบายใจ ชิว
และแล้วก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน ภูเริ่มไม่ค่อยสบาย ภูบอกว่าร่างกายของเขาต้องการพักผ่อนเพราะดูท่าทางจะเป็นไข้ ไม่ใช่แค่ภูคนเดียว แต่เป็นเราทั้ง 3 แต่ทำไงได้อะครับเรามาเที่ยวทั้งทีมัวแต่มาพักผ่อนก็ใช่เรื่อง ลุยกันต่อสิ ฝนยังซาอยู่พวกเราเลยไปซื้อเสื้อกันฝน พร้อมกับเช่ามอเตอร์ไซค์ของที่พัก รีบออกจากที่พักมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกให้เราไปเที่ยวสถานที่สำคัญในเมือง เนื่องจากว่า ดาลัด เราอยู่แค่คืนเดียวด้วย เราจึงต้องรีบเก็บสถานที่ท่องเที่ยวตั้งแต่วันนี้เลย แต่ยิ่งขับออกไปก็ยิ่งแย่ ฝนแทนที่จะหยุดก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่พระอาทิตย์และฝนจะหยุดตกเราก็ได้ภาพสวยๆมารูปหนึ่งเป็นหอไอเฟลที่ดาลัด (มันคือเสาสัญญาณที่ออกแบบให้เป็น landmark ของที่นี่)

หลังจากนั้นก็กลับมากินข้าวร้านที่เราเล็งไว้ตอนเดินไปที่โรงแรม เราเล็งปิ้งย่างไว้ครับ แต่ร้านที่เล็งไว้มันกลายเป็น ชาบูเวียดนาม เฉย ข้างในร้านมีแต่ภาษาเวียดนามล้วนๆเลยครับ เราเข้าไปนั่งอย่างตื่นเต้น ที่นี่ไม่มีแม้แต่เมนูอาหาร ผมก็เลยสั่งอาหารโดยการชี้โต๊ะข้างๆ(เอาเหมือนโต๊ะนี้เลยครับลุง) โต๊ะข้างๆก็มองหน้ามาเลย คงคิดในใจว่าไอพวกเชี่ยนี่เป็นอะไร 55555 ตอนชี้มือผมก็สั่นๆด้วยนะ(อากาศมันหนาวเกินไป5555) หวังว่าครอบครัวแม่ลูกจะไม่เข้าใจผิดว่าผมติดยานะ และนี่คือมื้อสุดฮาของพวกเราครับ กินไปขำไป ลูกค้ามองกันทั้งร้าน รสชาติสู้ MK บ้านเราไม่ได้อย่างแน่นอน น้ำจิ้มก็เป็นเต้าเจี้ยวธรรมดาๆ ผมให้ 8/10 คะแนนมาจากความประทับใจมากกว่ารสชาติครับ ราคารวมก็หมดไป 200,000 ดอง ตกคนละ 100 บาท

พอกินเสร็จเรากลับโรงแรมกะว่าคืนนี้จะพอแค่นี้แล้ว เรากลับไปวางแผนที่เที่ยววันพรุ่งนี้อยู่ที่ lobby ด้านล่างของที่พัก อยู่ดีๆก็ไปคุยถูกคอกับคนอเมริกาและเด็กเยอรมัน พวกเขาชวนไปตลาดถนนคนเดิน พวกผมตอบตกลงทันที ไปไหนไปกัน ได้รู้จักคนใหม่ๆด้วย ขับรถไปได้สักพักครับไอ

ดด หลงงง ต้องวนรถกลับมา เราก็ถึงตลาดได้อย่างสบายๆครับ เดินตลาดกันเล่นซื้อของกินเล่นตามทางไปเรื่อยๆ ที่เห็นเตะตามากที่สุดตั้งแต่มาที่เวียดนามนี้ก็เป็นน้ำเต้าหู้เนี่ยแหละครับ กลิ่นน้ำเต้าหู้ร้านนี้จะหอมมากๆ แล้วก็ตามด้วยขนมกินเล่นอย่างแพนเค้กเวียดนาม


ระหว่างที่เราเดินตลาดอยู่ เหมือนว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากครับ ร้านอาหารข้างทางเก็บกันอย่างรวดเร็ว พลึบพลับๆ สรุปว่ามันหนีตำรวจกันครับ ผมรู้สึกว่าคนไทยต้องการความสามารถแบบนี้มากๆครับตำรวจจับไม่ได้แน่นอน 55555 ที่ตลาดวันนี้มีดนตรีสดด้วยครับเหมือนว่านักร้องจะเป็นคนดังเพราะมีคนยืนดูอยู่เต็มและแกก็เล่นแค่ไม่กี่เพลง พอดนตรีจบ ผมกับเพื่อนชาวต่างชาติก็แยกย้ายกัน พวกเค้าไปกินข้าว ส่วนพวกผมไปช้อปปิ้งได้เสื้อมาคนละตัวซึ่งเป็นเสื้อกันหนาวที่พวกเราชอบมากๆ จะได้เห็นวันพรุ่งนี้


หลังจากเสร็จที่ตลาดนี้ พวกเรา 5 คนก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับไปที่พักเพื่อพักผ่อน นั่งเกากีตาร์ คุยเล่น จิบเบียร์ ชิวๆ กันสักพักหนึ่งก่อนที่เราจะขึ้นไปนอนหลับพักผ่อนครับ
อ่านตอนอื่นๆ
DAY 5:
https://pantip.com/topic/37014562
DAY 6:
https://pantip.com/topic/37039062
DAY 7:
https://pantip.com/topic/37065746
[Hornamese] Backpack in Vietnam DAY 4
DAY 1: https://pantip.com/topic/36705169
DAY 2: https://pantip.com/topic/36982039
DAY 3: https://pantip.com/topic/36982721
ใช่แล้วนี่มันตี 4 แล้ว จริงๆเรากะจะตื่นซักตี 3 เพราะเมื่อคืนเราถามเส้นทางกับลุงคนเดิมที่ให้เราเช่ามอเตอร์ไซค์ ลุงแกบอกว่าใช้เวลา 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เป้าหมายของเราคือไปถึง White Sand Dunes ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เราตื่นมาช้าไปชั่วโมงนึง เลยไม่ได้อาบน้ำแปรงฟัน 555555 เรารีบแบกกล้องคนละตัวแล้วตรงไปที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ บิดคันเร่งสุดเพื่อไปไล่ล่าแสงแรงของวัน เราขับมอเตอร์ไซค์ไป White Sand Dune ตอนตี 4 ตอนนั้นมืดตึดตือ ยังไม่เห็นรอบข้างทาง แต่ที่รู้คือเราครองถนน
ต้น: สักพักระหว่างขับไปมีแสงมันแว๊บเข้าตาผมคือกล้องตรวจจับความเร็ว5555 แต่ผมก็ไม่โดนอะไรนะครับไม่มีจดหมาย 500 ถึงบ้านแน่นอน
ระหว่างทางเราแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยเพราะแต่ละคนสภาพนี่ง่วงนอนมาก ผมจึงหยิบมือถือมาเปิดเพลงดังๆ ให้เข้ากับบรรยากาศตอนขับมอเตอร์ไซค์ตอนนั้น เซมาดือ ช็อก ก่า ~
ขับมาได้ซักชั่วโมงหนึ่งภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เราเริ่มเห็นกองเนินทรายทางด้านซ้ายมือของเราส่วนด้านขวาเป็นทะเลซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยแสงจากเรือหาปลา เราเริ่มเห็นรถจีปที่กำลังมุ่งหน้าไปที่หมายเดียวกับเรา ทำให้เราอุ่นใจในเส้นทางมากขึ้น ตอนที่เราใกล้ถึง White Sand Dunes พระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นมาแล้ว ทำให้ต้องเร่งสปีดเพิ่มขึ้นมาอีก
ที่ White Sand Dunes จะมีที่ให้จอดมอเตอร์ไซค์ซึ่งเสียเงินราคามาตรฐานเลย 1,400 ดอง ที่นี่จะมีรถ ATV ให้เราเช่าด้วยแล้วแต่ความสมัครใจของนักท่องเที่ยวนะครับ แต่เผอิญเรามีกฎข้อสำคัญว่า “Save Budget” เลยเดินง่วงๆขึ้นไปตามเนินทรายหลายลูกซึ่งไกลและชันมาก อันนี้ผมขอแนะนำว่าให้เดินดีกว่าครับเพราะพวกนี้ราคาค่อนข้างสูงแล้วเราแทบไม่มีอำนาจต่อรองราคา แต่ถ้าอยากสบายก็ยอมจ่ายดีกว่าครับ
ระหว่างทางที่เราเดินบางคนที่เช่ารถมาก็จะมีติดหล่มกันบ้าง
ตอนเดินเนี่ยครับเหนื่อยมากๆ นอนมาก็น้อย ง่วงก็ง่วง เท้าก็เมื่อย ทางก็ชัน แต่พอเราเดินขึ้นมาถึงบนเนินทราย อยู่ดีๆอาการเหล่านี้ก็ได้หายไปทันทีครับ เรา 3 คนหยุดเดินแล้วรีบควักอาวุธของเราออกมารัวชัตเตอร์วิวที่อยู่ข้างหน้าเรา พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้สวยมากๆ มันเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนที่ยืนอยู่บนเนินทรายแห่งนี้ ระหว่างที่ผมพรรณนาอยู่นี่ ทัวร์จีนก็คุยกันโช้งเช้งๆ ข้างๆหูผมเลย
เรียกได้ว่าคุ้มค่าการตื่นนอนเช้าและการบิดมาตลอด 2 ชั่วโมง
ขากลับเราค่อนข้างรีบเป็นพิเศษครับเพราะวันนี้เราต้องเดินทางข้ามเมืองจากมุยเน่ไปดาลัด ซึ่งรถบัสจะออกประมาณ บ่ายโมง เราขับมาเรื่อยๆ บรรยากาศริมทะเลของเมือง Mui Ne แปลกใหม่สำหรับพวกเราที่ไม่เคยเห็นทะเลทรายมาก่อนแล้วยิ่งมันอยู่ติดทะเลด้วยยิ่ง amazing มากๆ ระหว่างทางจึงต้องแวะจอดถ่ายรูปกันซะหน่อยเพราะเมื่อเช้าก็รีบมาดูพระอาทิตย์ตกทำให้ไม่ได้จอดพักกันเลยต้องบิดกันตลอดทาง
ขับจนมาถึง หมู่บ้านชาวประมง ว่าจะหาข้าวเช้ากินที่นี่ แต่มันดันมีแต่ปลาสดๆ ทำให้ต้องวนรถกลับไปในตัวเมืองและแล้วก็เจอร้านที่มีความ local ของเวียดนาม เป็นร้านข้าวราดแกงเล็กที่ตั้งอยู่ริมทาง พวกเราจอดรถแล้วลงไปสั่งข้าวโดยวิธีใช้นิ้ว เวลาสั่งก็จะใช้นิ้ววนๆ จิ้มๆ หน้าป้าแกก็เคลิ้มเลยครับ เอ้ย! ไม่ใช่ เป็นมื้อแรกของวันนี้เลยครับ ตื่นตี 4 ได้กินข้าว 7 โมงเช้า กินไปก็ซึมกับบรรยากาศของเวียดนาม ข้าวมื้อนี้ถือว่าอร่อยเกินคาด ในจานก็มี หมูแดง ไข่นกกระทาทอด และมีน้ำซุปให้ 1 ถ้วย มื้อนี้ผมถือว่าเป็นมือพิเศษนะ ได้กินข้าวแบบชาวเวียดนามท้องถิ่นเลย และที่สำคัญ “Save Budget”
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ขับรถกลับ Hills (ที่พักของเรา)เพื่อที่จะอาบน้ำ เก็บข้าวของและไปขึ้นรถบัส รถบัสเรานั่งของ The Sinh Tourist เหมือนเดิมเวลาออกจาก มุยเน่ ไป ดาลัด ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ เดินทางครั้งนี้เราหลับตลอดทางเพราะแทบไม่ได้นอนบวกกับการใช้พลังงานกับการล่าดวงอาทิตย์ไปหมดแล้ว พอรถออกปุ๊บเราก็หลับทันที ระหว่างขับคนขับรถก็มีแวะฉี่กลางทางบ้าง ซึ่งเราก็ได้แต่นอนอย่างเดียวไม่อยากไปไหน
ตื่นมาอีกทีรถก็ถึงเมือง ดาลัด แล้วครับ ลงจากรถได้แป๊บเดียวเท่านั้น ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือ เดินจากจุดลงรถไปที่โรงแรม เดินอย่างเมามันส์เลยครับ ฝนก็ตกอากาศก็หนาว ช่วงที่เราไปอากาศประมาณ 10 องศาปลายๆ 20 องศาต้นๆครับ ซึ่งเราไม่ได้ทำการบ้านมา เราลืม check ว่าเมือง Dalat ภูมิประเทศล้อมรอบด้วยภูเขาสูงค่อนข้างชื้นและหนาว อากาศนี่เย็นเหมือนอยู่บนดอย ระหว่างเดินก็ผ่านร้านอาหาร ก็ได้ทำการเล็งๆไว้ วันนี้อยากกินปิ้งย่างเวียดนาม แก้หนาวกันซักหน่อย เดินจนถึงที่พักของเรา ซึ่งโรงแรมที่นี่บรรยากาศโคตรชิวดูจากในภาพเอาแล้วคูณไปอีก 10 เราก็เช็คอินอาบน้ำ แล้วก็ขดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆกันซักพักรอฝนหยุด
และแล้วก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน ภูเริ่มไม่ค่อยสบาย ภูบอกว่าร่างกายของเขาต้องการพักผ่อนเพราะดูท่าทางจะเป็นไข้ ไม่ใช่แค่ภูคนเดียว แต่เป็นเราทั้ง 3 แต่ทำไงได้อะครับเรามาเที่ยวทั้งทีมัวแต่มาพักผ่อนก็ใช่เรื่อง ลุยกันต่อสิ ฝนยังซาอยู่พวกเราเลยไปซื้อเสื้อกันฝน พร้อมกับเช่ามอเตอร์ไซค์ของที่พัก รีบออกจากที่พักมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกให้เราไปเที่ยวสถานที่สำคัญในเมือง เนื่องจากว่า ดาลัด เราอยู่แค่คืนเดียวด้วย เราจึงต้องรีบเก็บสถานที่ท่องเที่ยวตั้งแต่วันนี้เลย แต่ยิ่งขับออกไปก็ยิ่งแย่ ฝนแทนที่จะหยุดก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่พระอาทิตย์และฝนจะหยุดตกเราก็ได้ภาพสวยๆมารูปหนึ่งเป็นหอไอเฟลที่ดาลัด (มันคือเสาสัญญาณที่ออกแบบให้เป็น landmark ของที่นี่)
หลังจากนั้นก็กลับมากินข้าวร้านที่เราเล็งไว้ตอนเดินไปที่โรงแรม เราเล็งปิ้งย่างไว้ครับ แต่ร้านที่เล็งไว้มันกลายเป็น ชาบูเวียดนาม เฉย ข้างในร้านมีแต่ภาษาเวียดนามล้วนๆเลยครับ เราเข้าไปนั่งอย่างตื่นเต้น ที่นี่ไม่มีแม้แต่เมนูอาหาร ผมก็เลยสั่งอาหารโดยการชี้โต๊ะข้างๆ(เอาเหมือนโต๊ะนี้เลยครับลุง) โต๊ะข้างๆก็มองหน้ามาเลย คงคิดในใจว่าไอพวกเชี่ยนี่เป็นอะไร 55555 ตอนชี้มือผมก็สั่นๆด้วยนะ(อากาศมันหนาวเกินไป5555) หวังว่าครอบครัวแม่ลูกจะไม่เข้าใจผิดว่าผมติดยานะ และนี่คือมื้อสุดฮาของพวกเราครับ กินไปขำไป ลูกค้ามองกันทั้งร้าน รสชาติสู้ MK บ้านเราไม่ได้อย่างแน่นอน น้ำจิ้มก็เป็นเต้าเจี้ยวธรรมดาๆ ผมให้ 8/10 คะแนนมาจากความประทับใจมากกว่ารสชาติครับ ราคารวมก็หมดไป 200,000 ดอง ตกคนละ 100 บาท
พอกินเสร็จเรากลับโรงแรมกะว่าคืนนี้จะพอแค่นี้แล้ว เรากลับไปวางแผนที่เที่ยววันพรุ่งนี้อยู่ที่ lobby ด้านล่างของที่พัก อยู่ดีๆก็ไปคุยถูกคอกับคนอเมริกาและเด็กเยอรมัน พวกเขาชวนไปตลาดถนนคนเดิน พวกผมตอบตกลงทันที ไปไหนไปกัน ได้รู้จักคนใหม่ๆด้วย ขับรถไปได้สักพักครับไอ
ระหว่างที่เราเดินตลาดอยู่ เหมือนว่าจะมีน้ำป่าไหลหลากครับ ร้านอาหารข้างทางเก็บกันอย่างรวดเร็ว พลึบพลับๆ สรุปว่ามันหนีตำรวจกันครับ ผมรู้สึกว่าคนไทยต้องการความสามารถแบบนี้มากๆครับตำรวจจับไม่ได้แน่นอน 55555 ที่ตลาดวันนี้มีดนตรีสดด้วยครับเหมือนว่านักร้องจะเป็นคนดังเพราะมีคนยืนดูอยู่เต็มและแกก็เล่นแค่ไม่กี่เพลง พอดนตรีจบ ผมกับเพื่อนชาวต่างชาติก็แยกย้ายกัน พวกเค้าไปกินข้าว ส่วนพวกผมไปช้อปปิ้งได้เสื้อมาคนละตัวซึ่งเป็นเสื้อกันหนาวที่พวกเราชอบมากๆ จะได้เห็นวันพรุ่งนี้
หลังจากเสร็จที่ตลาดนี้ พวกเรา 5 คนก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับไปที่พักเพื่อพักผ่อน นั่งเกากีตาร์ คุยเล่น จิบเบียร์ ชิวๆ กันสักพักหนึ่งก่อนที่เราจะขึ้นไปนอนหลับพักผ่อนครับ
อ่านตอนอื่นๆ
DAY 5: https://pantip.com/topic/37014562
DAY 6: https://pantip.com/topic/37039062
DAY 7: https://pantip.com/topic/37065746