ในคืนวันที่ 13 ตุลาคม เราติดตามเซเซียล ก็เห็นว่ามีข่าวลือไม่ดีลง(ที่ตอนแรกเราไม่ทราบว่าข่าวลืออะไร รู้แต่ข่าวไม่ดีแน่ๆ)
พออ่านแล้วว่าเป็นข่าวในหลวง...แว่บแรกคือเราใจหาย
หลายคนอาจจะพยายามให้ความหวัง...แต่เรากลับถึงรู้สึกว่า อาจจะถึงเวลาของพระองค์ท่านแล้วจริงๆ
พอข่าวในโซเซียล ข่าวในทีวี ลงข่าวท่านได้เสด็จสวรรคตแน่นอน
...น่าแปลก ตอนนั้นเราไม่มีน้ำตา แต่เรามีความปลง อาจจะเพราะเข้าใจเรื่องอนิจจัง อาจจะเพราะคิดว่าท่านเหนื่อยมาพอแล้ว คงถึงเวลาที่ท่านจะได้พักผ่อน แม้จะรู้สึกเสียดาย อยากให้พระองค์ท่านได้ทรงอยู่ทันวันที่ 5 ธันวาคมในปีนั้น
...ตอนนั้นเราควรจะเข้านอนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม กลับเอาแต่เปิดหาดูภาพพระองค์ท่านทั้งคืน กว่าเราจะได้นอนก็ตี 3
พอตื่นเช้าในวันที่ 14...น่าแปลกว่าทำไมเราลงไปทำงานในสภาพหัวว่างเปล่า (เราทำงานที่บ้าน) หัวมันคิดอะไรไม่ออก เหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไปในชีวิต จนต้องเปิดกูเกิ้ลเพื่อดูภาพพระองค์ท่าน เปิดย้อนดูข่าวในยูทูบเกี่ยวกับพระองค์ท่านซ้ำไปซ้ำมา ไม่เข้าใจตัวเองในตอนนั้นว่าจะเปิดดูซ้ำๆทำไม
...มันเหมือนเป็นความรู้สึกสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักยิ่งอย่างไม่อาจกลับมาได้อีก
...เราทำราวกับว่าการได้ดูภาพพระองค์ท่านซ้ำๆกัน จะเรียกให้พระองค์กลับมาได้...ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
...แล้วจู่ๆเราก็น้ำตาไหลออกมา ยิ่งเห็นภาพในคลิปของคนที่ร้องไห้ เห็นข่าวที่มีนักข่าวต่างประเทศไปสัมภาษณ์พี่ผู้หญิงไทยที่พูดภาษาอังกฤษ บอกเล่าถึงความรู้สึกการสูญเสียของคนไทยทั้งประเทศ คำพูดของพี่กับเสียงพายก์ที่ดู ยิ่งทำให้เราสะอื้นมากกว่าเดิม
โชคดีว่าวันนั้นเราทำงานเสร็จในช่วงเช้า กินข้าวเที่ยงแทบจะนับช้อนได้ ไม่มีงานช่วงบ่าย และเหมือนพ่อของเราจะเห็นอาการของเราด้วย เลยบอกให้เราไปพักผ่อน
เราเข้านอนทันที ไม่เปิดคอม ไม่ดูภาพอะไรอีก...ไม่อยากตอกย้ำว่า เราไม่สามารถเรียกพระองค์ท่านกลับมาได้อีกแล้ว
แต่น้ำตาเราก็ยังไหลต่ออยู่ดี ภาพความสะเทือนใจของคนไทยทุกคนยังติดตาเรา...เวลาเราเห็นใครร้องไห้ แล้วเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เราจะรู้สึกเสียใจจนร้องไห้ตาม
แล้วเราก็ยังลงมาดูทีวีที่ถ่ายทอดขบวนเคลื่อนพระบรมศพ พ่อแม่เราก็ดูด้วย อาการท่านเศร้าเสียดาย ไม่ร้องไห้ เราก็ไม่กล้าร้องให้ท่านเห็น
...แต่เมื่อการถ่ายทอดสดจบเรา เรากลับเข้าไปนอนอีกครั้ง ไม่มีกะใจและแรงจะกินข้าวเย็น อยากหลับแล้วคิดว่าทุกอย่างเป็นความฝัน
ผู้ใหญ่ที่บ้านเราไม่มีใครร้องไห้ จะเป็นอารมณ์แบบใจหาย และทำใจได้ว่าวันนี้ต้องมาถึง
ยายเราอายุ 92 ปี ในตอนนั้นยายได้กลายเป็นคน 5 แผ่นดินแล้ว (ท่านเกิดในปลายรัชกาลที่ 6) ท่านเคยร้องไห้ในครั้งเมื่อสูญเสียรัชกาลที่ 8 แต่พอมาเป็นตอนนี้ ดูเหมือนท่านทำใจกับเรื่องนี้ได้ ท่านไม่ร้องไห้เลย แต่ในอกท่านจะสะเทือนใจอย่างไร เราไม่อาจทราบได้
แล้วเพื่อนๆล่ะค่ะ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 วันใหม่หลังทราบข่าวในหลวง สภาพจิตใจของคุณเป็นอย่างไรกันบ้าง ใครที่ต้องไปทำงานอยู่ดี ทำงานกันไหวไหม แล้วผ่านพ้นวันแห่งความเศร้านั้นมาได้อย่างไร
เราแท็กชีวิตในต่างแดน เพราะเชื่อว่ามีคนไทยหลายคน หลังวันที่ 14 ตุลาคมปีที่แล้วคงจะมีสภาพจิตใจความเศร้าไม่น้อย เคยอ่านคอมเม้นท์ในโซเซียลของคนไทยในต่างประเทศคนนึง เธอถึงกับออกมาร้องไห้ในเมืองที่หนาวเหน็บอย่างเดียวดาย ไม่สามารถบอกใครได้ว่าเธอร้องไห้เพราะอะไร รู้สึกเหมือนอ้างว้างเปล่าเปลียวแค่ไหน
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 วันใหม่หลังทราบข่าวในหลวง สภาพจิตใจของคุณเป็นอย่างไรกันบ้าง
พออ่านแล้วว่าเป็นข่าวในหลวง...แว่บแรกคือเราใจหาย
หลายคนอาจจะพยายามให้ความหวัง...แต่เรากลับถึงรู้สึกว่า อาจจะถึงเวลาของพระองค์ท่านแล้วจริงๆ
พอข่าวในโซเซียล ข่าวในทีวี ลงข่าวท่านได้เสด็จสวรรคตแน่นอน
...น่าแปลก ตอนนั้นเราไม่มีน้ำตา แต่เรามีความปลง อาจจะเพราะเข้าใจเรื่องอนิจจัง อาจจะเพราะคิดว่าท่านเหนื่อยมาพอแล้ว คงถึงเวลาที่ท่านจะได้พักผ่อน แม้จะรู้สึกเสียดาย อยากให้พระองค์ท่านได้ทรงอยู่ทันวันที่ 5 ธันวาคมในปีนั้น
...ตอนนั้นเราควรจะเข้านอนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม กลับเอาแต่เปิดหาดูภาพพระองค์ท่านทั้งคืน กว่าเราจะได้นอนก็ตี 3
พอตื่นเช้าในวันที่ 14...น่าแปลกว่าทำไมเราลงไปทำงานในสภาพหัวว่างเปล่า (เราทำงานที่บ้าน) หัวมันคิดอะไรไม่ออก เหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไปในชีวิต จนต้องเปิดกูเกิ้ลเพื่อดูภาพพระองค์ท่าน เปิดย้อนดูข่าวในยูทูบเกี่ยวกับพระองค์ท่านซ้ำไปซ้ำมา ไม่เข้าใจตัวเองในตอนนั้นว่าจะเปิดดูซ้ำๆทำไม
...มันเหมือนเป็นความรู้สึกสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักยิ่งอย่างไม่อาจกลับมาได้อีก
...เราทำราวกับว่าการได้ดูภาพพระองค์ท่านซ้ำๆกัน จะเรียกให้พระองค์กลับมาได้...ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
...แล้วจู่ๆเราก็น้ำตาไหลออกมา ยิ่งเห็นภาพในคลิปของคนที่ร้องไห้ เห็นข่าวที่มีนักข่าวต่างประเทศไปสัมภาษณ์พี่ผู้หญิงไทยที่พูดภาษาอังกฤษ บอกเล่าถึงความรู้สึกการสูญเสียของคนไทยทั้งประเทศ คำพูดของพี่กับเสียงพายก์ที่ดู ยิ่งทำให้เราสะอื้นมากกว่าเดิม
โชคดีว่าวันนั้นเราทำงานเสร็จในช่วงเช้า กินข้าวเที่ยงแทบจะนับช้อนได้ ไม่มีงานช่วงบ่าย และเหมือนพ่อของเราจะเห็นอาการของเราด้วย เลยบอกให้เราไปพักผ่อน
เราเข้านอนทันที ไม่เปิดคอม ไม่ดูภาพอะไรอีก...ไม่อยากตอกย้ำว่า เราไม่สามารถเรียกพระองค์ท่านกลับมาได้อีกแล้ว
แต่น้ำตาเราก็ยังไหลต่ออยู่ดี ภาพความสะเทือนใจของคนไทยทุกคนยังติดตาเรา...เวลาเราเห็นใครร้องไห้ แล้วเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เราจะรู้สึกเสียใจจนร้องไห้ตาม
แล้วเราก็ยังลงมาดูทีวีที่ถ่ายทอดขบวนเคลื่อนพระบรมศพ พ่อแม่เราก็ดูด้วย อาการท่านเศร้าเสียดาย ไม่ร้องไห้ เราก็ไม่กล้าร้องให้ท่านเห็น
...แต่เมื่อการถ่ายทอดสดจบเรา เรากลับเข้าไปนอนอีกครั้ง ไม่มีกะใจและแรงจะกินข้าวเย็น อยากหลับแล้วคิดว่าทุกอย่างเป็นความฝัน
ผู้ใหญ่ที่บ้านเราไม่มีใครร้องไห้ จะเป็นอารมณ์แบบใจหาย และทำใจได้ว่าวันนี้ต้องมาถึง
ยายเราอายุ 92 ปี ในตอนนั้นยายได้กลายเป็นคน 5 แผ่นดินแล้ว (ท่านเกิดในปลายรัชกาลที่ 6) ท่านเคยร้องไห้ในครั้งเมื่อสูญเสียรัชกาลที่ 8 แต่พอมาเป็นตอนนี้ ดูเหมือนท่านทำใจกับเรื่องนี้ได้ ท่านไม่ร้องไห้เลย แต่ในอกท่านจะสะเทือนใจอย่างไร เราไม่อาจทราบได้
แล้วเพื่อนๆล่ะค่ะ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 วันใหม่หลังทราบข่าวในหลวง สภาพจิตใจของคุณเป็นอย่างไรกันบ้าง ใครที่ต้องไปทำงานอยู่ดี ทำงานกันไหวไหม แล้วผ่านพ้นวันแห่งความเศร้านั้นมาได้อย่างไร
เราแท็กชีวิตในต่างแดน เพราะเชื่อว่ามีคนไทยหลายคน หลังวันที่ 14 ตุลาคมปีที่แล้วคงจะมีสภาพจิตใจความเศร้าไม่น้อย เคยอ่านคอมเม้นท์ในโซเซียลของคนไทยในต่างประเทศคนนึง เธอถึงกับออกมาร้องไห้ในเมืองที่หนาวเหน็บอย่างเดียวดาย ไม่สามารถบอกใครได้ว่าเธอร้องไห้เพราะอะไร รู้สึกเหมือนอ้างว้างเปล่าเปลียวแค่ไหน