วันอังคารที่ 11 ตุลาคม 2559
ฉันตื่นแต่เช้าช่วยแม่จัดกระเป๋าเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ เราออกจากบ้านช่วงบ่ายเพราะแม่กลัวรถติดระหว่างทางจะทำให้ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิไม่ทันตามเวลานัด ฉันได้แต่ทอดถอนใจตอนดูนาฬิกาเข็มสั้นระหว่างเลขหนึ่งและเลขสอง ได้แต่คิดว่าเขานัดกันหกโมงครึ่งนะแม่!
ระหว่างทางเราได้พูดคุยกันหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือข่าวพระอาการประชวรของในหลวง ทุกครั้งที่ในหลวงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช จะมีประกาศจากสำนักพระราชวังรายงานพระอาการของท่านเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะแจ้งว่าพระอาการของท่านดีขึ้นหรือทรงตัว ต่างจากเมื่อวานที่แจ้งว่าพระอาการของท่านไม่ดีเลย ทั้งฉันและแม่ได้แต่ภาวนาขอให้ในหลวงท่านมีพระอาการดีขึ้นเพราะฉันคิดไม่ออกเลยว่าประเทศไทยที่ไม่มีในหลวงจะเป็นอย่างไร แต่ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยด้วยความศรัทธาและจิตภาวนาของประชาชนชาวไทยต้องสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ เชื่อว่ากำลังใจจากประชาชนที่ไปเฝ้าท่านที่โรงพยาบาลจะส่งถึงท่าน ให้ท่านสามารถเอาชนะโรคภัยต่างๆ ได้ เชื่อว่าการสวดมนต์และการใส่เสื้อสีชมพูเช่นที่ฉันและคนอื่นๆ ใส่อยู่ในวันนี้จะมีส่วนช่วยได้ไม่มากก็น้อย
วันพุธที่ 12 ตุลาคม 2559
ไม่ได้ติดตามข่าวอะไรทั้งนั้น
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559
งานวันนี้ยังมีแต่เรื่องจุกจิกเช่นเคย ตั้งแต่เช้าฉันยังไมได้เข้าไปเล่น FB เลย เพราะมัวแต่จัดการเรื่องต่างๆ
ตอนบ่ายท้องฟ้าขมุกขมัว เหมือนฝนจะตกแต่ก็ไม่ตกสักที มันดูอึนๆ ยังไงก็ไม่รู้ มองไปต้นไม้ข้างทางก็นิ่งสนิท แสดงให้เห็นว่าไม่มีลมพัดมาเลย บรรยากาศอย่างนี้ทำให้จิตใจไม่สดชื่นเอาเสียเลย ใจมันก็ไพล่นึกไปถึงในหลวง แต่ก็ยังคงให้กำลังใจตัวเองว่าประชาชนช่วยกันสวดมนต์ส่งแรงใจให้ท่าน ท่านต้องมีพระอาการดีขึ้นและสามารถเสด็จพระราชดำเนินกลับวังไกลกังวลได้เหมือนที่แล้วๆ มา
บ่ายสามโมง ได้ยินข่าวที่ไม่ดีมากๆ ใจยังมีหวังว่าท่านยังสู้ไหว ท่านยังกลับมา ยังไม่จากเราไป
สี่โมงกว่า ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ภาวนาในใจว่าขอให้มีปาฏิหาริย์ ขอให้ท่านกลับมา ตราบใดที่ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา ฉันยังคงมีความหวัง ฉันยังคงคว้าสายป่านเส้นเล็กๆ ไว้อยู่ในใจ ทำตัวปกติทั้งๆ ที่อยากโทรไปคุยกับแม่มากๆ แต่แม่อยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถติดต่อได้
สำนักข่าวต่างประเทศเริ่มลงข่าวในหลวง ข่าวลือเริ่มมีให้ได้ยิน แต่ฉันยังคงรอปาฏิหาริย์ รอ...จนกว่าจะมีประกาศออกมา
ระหว่างนั้นฉันหยิบมือถือออกมากดเครื่องคิดเลข คิดไปเรื่อยเปื่อยว่า...
ถ้าคนไทย 70 ล้านคน แบ่งเวลาของตัวเองให้ท่านคนละ 1 วินาที จะเป็นเวลาเท่าใด
คิดไปว่าท่านเคยตรัสว่าจะอยู่ถึง 120 ปี ถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่ก็หวังให้เป็นจริง
กดเข้าไปใน FB มีการต่อว่าคนที่เชื่อข่าวลือแล้วส่งต่อมากมาย มีคนต่อว่าคนที่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ มีคนต่อว่าสำนักข่าวต่างประเทศ
ฉันเลื่อนอ่านไปเรื่อยๆ ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ
เกือบหนึ่งทุ่ม ภาพสีขาวดำบนจอโทรทัศน์ทำให้ฉันต้องตัดใจ มีประกาศอย่างเป็นทางการว่าในหลวงทรงสวรรคตแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นข้อความที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต ตาทั้งสองข้างจ้องมองไปที่โทรทัศน์จนแทบปรุ หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ภาพวินาทีนั้นมันฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ
หมดแล้ว...กับการรอคอยซึ่งปาฏิหาริย์
ฉันรู้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่มันต้องไม่ใช่วันนี้ ฉันยังไม่พร้อม
ตอนนั้นในใจมันวูบโหวงไปหมด รู้สึกไม่เหมือนเดิม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ยิ้มทั้งๆ ที่แทบไม่ออก ทำเหมือนฉันยังไม่ได้ยินข่าวนี้ ทำเหมือนคนรอบตัวยังไม่ได้รับรู้
ฉันเคยคิดนะว่า คนที่จะมาประกาศข่าวเช่นนี้เขาจะทำใจได้หรือ เขาจะสามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้หรือ ใครจะอยากมาทำหน้าที่นี้กัน จนได้เห็นในวันนี้ ฉันขอแสดงความนับถือเขาจากใจ เขาทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ
ฉันเปลี่ยนรูปใน FB เป็นสีขาวดำ โพสข้อความถวายความอาลัย เพื่อนบางคนเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีดำล้วน ฉันคิดอยู่ในใจว่าแล้วฉันจะจำได้ไหมว่าใครเป็นใคร
ตอนขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางคิดไปเรื่อยเปื่อย ใจมันหน่วงๆ ลึกสุดในใจก็ยังคงรอคอยปาฏิหาริย์
ฉันรู้...ฉันกำลังหลอกตัวเอง
ห้าทุ่มเตรียมตัวเข้านอน ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคืนนี้คงยากที่จะนอนหลับฝันดี ฉันเปิดโทรทัศน์ในห้องนอนเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี ปกติฉันจะอยู่เงียบๆ อ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นอินเตอร์เน็ต แต่คืนนี้ถ้าไม่มีเสียงจากโทรทัศน์เป็นเพื่อน ฉันอยู่ไม่ได้แน่ๆ
บนจอโทรทัศน์ฉายสารคดีพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ทำให้ฉันนึกย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อนที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ตอนนั้นฉันยังอายุสิบกว่าปี ไม่ได้สนใจข่าวสารบ้านเมือง แต่จำได้ว่าที่โรงเรียนจะเปิดเพลงต้นไม้ของพ่อ เพื่อใช้ในการเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติตลอด ตอนนั้นยังคิดในใจเลยว่าเพลงอะไรก็ไม่รู้ ฟังแล้วแปลกๆ ตลกดี ไม่ได้ซาบซึ้งไปกับบทเพลงเลย
20 ปีผ่านไป ฉันร้องเพลงนี้อยู่ในใจ ตามองไปบนจอโทรทัศน์ น้ำตากลับไหลออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวัน
ฉันเปิด FB ขึ้นมาดู ทั้งๆ ที่หน้าจอยังเป็นสีขาว ฟ้า เช่นเดิม แต่โพสของเพื่อนๆ ฉันกลับมีแต่สีดำและข้อความถวายความอาลัย ไม่มีใครโพสถึงเรื่องอื่นเลย
บางคนเขียนถึงความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจของตัวเอง ฉันอ่าน...ฉันร้องไห้
บางคนโพสรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน ฉันเห็น...ฉันร้องไห้
บางคนโพสรูปการ์ตูนที่ส่งต่อกันมา รูปเด็กเงยหน้าถามพ่อว่า "นี่เป็นแค่ฝันร้ายใช่ไหม" พ่อลูบหัวและบอกว่า "พ่อไม่อยู่ ดูแลตัวเองนะ" ฉันเห็น ฉันอ่าน...ฉันร้องไห้โฮทันที
ในหัวฉันมีแต่คำว่า "พ่อไม่อยู่แล้ว พ่อไม่อยู่แล้ว" ดังวนเวียนซ้ำไปมาไม่รู้จบ ...ฉันทนไม่ได้
เที่ยงคืน ฉันอ่านเจอข้อความที่หยิบยกเอาส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน มันช่างเหมือนกับบรรยากาศในวันนี้ไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว มีคนโพสข้อความบอกว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของรัชกาลที่ 9 ฉันห้ามน้ำตาไม่ได้
ตีหนึ่ง ฉันเจอข้อความหนึ่งบน FB กล่าวถึงคำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอานนท์ พุทธะอยู่ทุกที่ ถ้าอย่างนั้น พระองค์ท่านก็ยังคงอยู่กับเรา ฉันพยายามคิดว่าฉันเข้าใจ ฉันรู้สึกดีขึ้น
ตีสองแล้วฉันยังคงนอนไม่หลับ แต่คืนนี้ฉันมีเพื่อนมากกว่าวันก่อนๆ เห็นได้จากเวลาฉันเข้าไปดูรูปที่แชร์กันมา ยังคงมีคนคอมเม้นกันอยู่เลย เพื่อนบางคนที่ปกติไม่เคยโพสตอนดึกก็ยังคงโพสอยู่ ฉันไม่ได้รู้สึกอย่างนี้คนเดียว
ตีสาม ฉันปิดโทรทัศน์ไปนานแล้วเพราะถ้ายังเปิดอยู่ฉันต้องฟุ้งซ่านแน่ๆ ฉันหันมาดูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ในมือถือ น้ำตายังคลออยู่ที่ขอบตา
ตีสี่ มีคนโพสว่าท่านได้กลับไปเจอพระบรมราชชนกหลังจากไม่ได้เจอมา 87 ปี ได้เจอพระเชษฐาหลังจากไม่ได้เจอมา 70 ปีแล้ว ฉันร้องไห้หนักอีกครั้งหนึ่ง
ตีห้า ฉันยังคงอ่านข้อความที่ส่งต่อกันมา บางเรื่องฉันยิ้มทั้งน้ำตา บางเรื่องฉันน้ำตาคลอ ชุดนอนกับหมอนฉันเปียกชุ่มไปหมด
ตีห้าครึ่ง ฉันยังไม่อยากหลับ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันอยากให้คืนนี้ยาวนานกว่านี้ แต่สุดท้ายฉันก็หลับไปพร้อมคราบน้ำตา
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2559
ฉันอยากให้วันนี้เป็นวันที่ 13 อยากให้เมื่อวานเป็นเพียงความฝัน แต่ฉันรู้ มันเกิดขึ้นจริง
ตาฉันบวม จากปกติตาก็โตดูบวมๆ มาวันนี้ยิ่งบวมดูน่าเกลียดเข้าไปใหญ่
บน FB หลายคนโพสและติดแทคว่า ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9 ใช่ ฉันภูมิใจที่เกิดในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 แต่ฉันก็อยากตายในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 ด้วย
มีประกาศออกมาว่าจะมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีเคลื่อนขบวนพระบรมศพตอนบ่ายโมงครึ่ง ฉันรีบจัดการงานต่างๆ เพราะหวังว่าจะกลับมาดูทัน
ตอนขับรถฉันมองไปรอบด้าน ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนทุกวัน แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง บรรยากาศมันเศร้าโศกเสียจนฉันแทบห้ามน้ำตาไม่อยู่
ฉันกลับมานั่งเฝ้าอยู่หน้าโทรทัศน์ตลอดจนสี่โมงกว่า ขบวนก็เคลื่อนย้ายออกจากโรงพยาบาลศิริราช
วินาทีแรกที่เห็นรถตู้สีเทาเคลื่อนออกมาจากชั้นใต้ดิน ฉันรู้ได้เลยว่านี่แหล่ะ พระองค์ท่าน ไม่ต้องประดับตกแต่งให้สวยงาม แต่นี่แหล่ะคือ พระองค์ท่าน
ไม่มีเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ปกติจะได้ยินทุกครั้ง
ฉันดูไปน้ำตาไหลไป ถึงแม้จะไม่ฟูมฟายเท่าคนที่เห็นในโทรทัศน์ แต่น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุด พยายามเพ่งมองไปในรถตู้ แล้วมโนภาพว่าท่านประทับอยู่ในนั้น กำลังแย้มสรวลโบกพระหัตถ์ให้เช่นเคยเหมือนที่แล้วมา ฉันคิดนะ ว่าฉันเห็นจริงๆ
หลังจากนั้นมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีบำเพ็ญสวดพระอภิธรรมคืนแรก พอได้เห็นพระราชอาสน์ที่ถูกคลุมผ้าอยู่ก็ได้แต่หน่วงอยู่ในใจ นั่นแน่ะ ท่านยังอยู่นะ
ภาพฉายไปที่พระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่าน ฉันคิดว่าท่านสง่างามเหลือเกิน
ภาพฉายไปที่พระบรมโกศ ฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
เสียงสวดพระอภิธรรมครั้งนี้มันบีบรัดหัวใจเหลือเกิน เสียงปี่แตรมโหรียิ่งทำให้เจ็บร้าวกว่าเดิม ฉันทนดูจนจบไม่ได้
เล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ฉันกดเซฟภาพพระบรมฉายาลักษณ์จนเมื่อยมือ กดไปน้ำตาไหลไป แต่มันหยุดไม่ได้ ฉันอยากเก็บภาพพ่อ อยากบันทึกเรื่องราวเพื่อส่งต่อให้ลูกของฉัน เล่าให้เขาฟังว่าครั้งหนึ่งประเทศของเราเคยมีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด พระองค์ทรงงานหนักเพียงใด และพระองค์ทรงเป็นที่รักของประชาชนชาวไทยเพียงใด
ฉันคิดนะ เรายังมีพ่อถึงสองคน คือพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย และพ่อผู้ให้กำเนิด แต่พระโอรสพระธิดาของท่านหล่ะ มีพ่อแค่คนเดียว แถมยังต้องมาแบ่งพ่อให้คนอื่นอีกกว่า 70 ล้านคน ท่านจะโทมนัสกว่าพวกเราขนาดไหน
ฉันอยากให้กำลังใจทุกพระองค์เหลือเกิน
มีคนถ่ายภาพฟ้าเปิดที่โรงพยาบาลศิริราชได้ เขาบอกว่า สวรรค์ส่งคนมารับพ่อ
มีคนถ่ายภาพหมอกธุมเกตุได้ เขาบอกว่า สวรรค์กำลังเชิญพ่ออยู่
มีคนถ่ายภาพพระจันทร์ทรงกลดได้ เขาบอกว่า พ่อถึงสวรรค์แล้วนะ
เจ็ดโมงเช้า ฉันหลับไปพร้อมคราบน้ำตาอีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2559
วันนี้ฉันอยู่บ้านทั้งวัน โทรทัศน์ฉายสารคดีพระองค์ท่านตลอด ฉันเปิดบ้างปิดบ้าง
ปิดเพราะมันทำให้น้ำตาฉันไหลอีกแล้ว
เพลงพระราชาผู้ทรงธรรมกับเพลงต้นไม้ของพ่อดังอยู่ในใจของฉันตลอดทั้งวัน
ฉันกลับมาเซฟพระบรมฉายาลักษณ์และเรื่องราวของพระองค์ท่านอีกครั้ง อ่านไปคิดไป อ่านไปร้องไห้ไป แต่ฉันก็รู้สึกดีขึ้น แม้จะเพียงนิดเดียวก็เถอะ
พ่อสอนเราทุกอย่างจริงๆ แม้กระทั่งจนวันสุดท้าย ท่านก็ยังทำให้เราได้เห็นว่า เราสามารถเลือกได้ว่า เมื่อเราจากโลกนี้ไป สิ่งที่เหลืออยู่คือ ความดีที่เราทำ
ตีห้า ฉันยังคงต้องนอนบนหมอนเปียกๆ อีกครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559
วันนี้หวยสองตัวล่างออก 98 คนถูกกันค่อนประเทศ
ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา
ไดอารี่ของฉัน เมื่อ 1 ปีที่แล้ว
ฉันตื่นแต่เช้าช่วยแม่จัดกระเป๋าเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ เราออกจากบ้านช่วงบ่ายเพราะแม่กลัวรถติดระหว่างทางจะทำให้ไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิไม่ทันตามเวลานัด ฉันได้แต่ทอดถอนใจตอนดูนาฬิกาเข็มสั้นระหว่างเลขหนึ่งและเลขสอง ได้แต่คิดว่าเขานัดกันหกโมงครึ่งนะแม่!
ระหว่างทางเราได้พูดคุยกันหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือข่าวพระอาการประชวรของในหลวง ทุกครั้งที่ในหลวงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช จะมีประกาศจากสำนักพระราชวังรายงานพระอาการของท่านเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะแจ้งว่าพระอาการของท่านดีขึ้นหรือทรงตัว ต่างจากเมื่อวานที่แจ้งว่าพระอาการของท่านไม่ดีเลย ทั้งฉันและแม่ได้แต่ภาวนาขอให้ในหลวงท่านมีพระอาการดีขึ้นเพราะฉันคิดไม่ออกเลยว่าประเทศไทยที่ไม่มีในหลวงจะเป็นอย่างไร แต่ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยด้วยความศรัทธาและจิตภาวนาของประชาชนชาวไทยต้องสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ เชื่อว่ากำลังใจจากประชาชนที่ไปเฝ้าท่านที่โรงพยาบาลจะส่งถึงท่าน ให้ท่านสามารถเอาชนะโรคภัยต่างๆ ได้ เชื่อว่าการสวดมนต์และการใส่เสื้อสีชมพูเช่นที่ฉันและคนอื่นๆ ใส่อยู่ในวันนี้จะมีส่วนช่วยได้ไม่มากก็น้อย
วันพุธที่ 12 ตุลาคม 2559
ไม่ได้ติดตามข่าวอะไรทั้งนั้น
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559
งานวันนี้ยังมีแต่เรื่องจุกจิกเช่นเคย ตั้งแต่เช้าฉันยังไมได้เข้าไปเล่น FB เลย เพราะมัวแต่จัดการเรื่องต่างๆ
ตอนบ่ายท้องฟ้าขมุกขมัว เหมือนฝนจะตกแต่ก็ไม่ตกสักที มันดูอึนๆ ยังไงก็ไม่รู้ มองไปต้นไม้ข้างทางก็นิ่งสนิท แสดงให้เห็นว่าไม่มีลมพัดมาเลย บรรยากาศอย่างนี้ทำให้จิตใจไม่สดชื่นเอาเสียเลย ใจมันก็ไพล่นึกไปถึงในหลวง แต่ก็ยังคงให้กำลังใจตัวเองว่าประชาชนช่วยกันสวดมนต์ส่งแรงใจให้ท่าน ท่านต้องมีพระอาการดีขึ้นและสามารถเสด็จพระราชดำเนินกลับวังไกลกังวลได้เหมือนที่แล้วๆ มา
บ่ายสามโมง ได้ยินข่าวที่ไม่ดีมากๆ ใจยังมีหวังว่าท่านยังสู้ไหว ท่านยังกลับมา ยังไม่จากเราไป
สี่โมงกว่า ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ภาวนาในใจว่าขอให้มีปาฏิหาริย์ ขอให้ท่านกลับมา ตราบใดที่ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการออกมา ฉันยังคงมีความหวัง ฉันยังคงคว้าสายป่านเส้นเล็กๆ ไว้อยู่ในใจ ทำตัวปกติทั้งๆ ที่อยากโทรไปคุยกับแม่มากๆ แต่แม่อยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถติดต่อได้
สำนักข่าวต่างประเทศเริ่มลงข่าวในหลวง ข่าวลือเริ่มมีให้ได้ยิน แต่ฉันยังคงรอปาฏิหาริย์ รอ...จนกว่าจะมีประกาศออกมา
ระหว่างนั้นฉันหยิบมือถือออกมากดเครื่องคิดเลข คิดไปเรื่อยเปื่อยว่า...
ถ้าคนไทย 70 ล้านคน แบ่งเวลาของตัวเองให้ท่านคนละ 1 วินาที จะเป็นเวลาเท่าใด
คิดไปว่าท่านเคยตรัสว่าจะอยู่ถึง 120 ปี ถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่ก็หวังให้เป็นจริง
กดเข้าไปใน FB มีการต่อว่าคนที่เชื่อข่าวลือแล้วส่งต่อมากมาย มีคนต่อว่าคนที่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ มีคนต่อว่าสำนักข่าวต่างประเทศ
ฉันเลื่อนอ่านไปเรื่อยๆ ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ
เกือบหนึ่งทุ่ม ภาพสีขาวดำบนจอโทรทัศน์ทำให้ฉันต้องตัดใจ มีประกาศอย่างเป็นทางการว่าในหลวงทรงสวรรคตแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นข้อความที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต ตาทั้งสองข้างจ้องมองไปที่โทรทัศน์จนแทบปรุ หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน ภาพวินาทีนั้นมันฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ
หมดแล้ว...กับการรอคอยซึ่งปาฏิหาริย์
ฉันรู้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่มันต้องไม่ใช่วันนี้ ฉันยังไม่พร้อม
ตอนนั้นในใจมันวูบโหวงไปหมด รู้สึกไม่เหมือนเดิม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ยิ้มทั้งๆ ที่แทบไม่ออก ทำเหมือนฉันยังไม่ได้ยินข่าวนี้ ทำเหมือนคนรอบตัวยังไม่ได้รับรู้
ฉันเคยคิดนะว่า คนที่จะมาประกาศข่าวเช่นนี้เขาจะทำใจได้หรือ เขาจะสามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้หรือ ใครจะอยากมาทำหน้าที่นี้กัน จนได้เห็นในวันนี้ ฉันขอแสดงความนับถือเขาจากใจ เขาทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ
ฉันเปลี่ยนรูปใน FB เป็นสีขาวดำ โพสข้อความถวายความอาลัย เพื่อนบางคนเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นสีดำล้วน ฉันคิดอยู่ในใจว่าแล้วฉันจะจำได้ไหมว่าใครเป็นใคร
ตอนขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางคิดไปเรื่อยเปื่อย ใจมันหน่วงๆ ลึกสุดในใจก็ยังคงรอคอยปาฏิหาริย์
ฉันรู้...ฉันกำลังหลอกตัวเอง
ห้าทุ่มเตรียมตัวเข้านอน ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคืนนี้คงยากที่จะนอนหลับฝันดี ฉันเปิดโทรทัศน์ในห้องนอนเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี ปกติฉันจะอยู่เงียบๆ อ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นอินเตอร์เน็ต แต่คืนนี้ถ้าไม่มีเสียงจากโทรทัศน์เป็นเพื่อน ฉันอยู่ไม่ได้แน่ๆ
บนจอโทรทัศน์ฉายสารคดีพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ทำให้ฉันนึกย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อนที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ตอนนั้นฉันยังอายุสิบกว่าปี ไม่ได้สนใจข่าวสารบ้านเมือง แต่จำได้ว่าที่โรงเรียนจะเปิดเพลงต้นไม้ของพ่อ เพื่อใช้ในการเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติตลอด ตอนนั้นยังคิดในใจเลยว่าเพลงอะไรก็ไม่รู้ ฟังแล้วแปลกๆ ตลกดี ไม่ได้ซาบซึ้งไปกับบทเพลงเลย
20 ปีผ่านไป ฉันร้องเพลงนี้อยู่ในใจ ตามองไปบนจอโทรทัศน์ น้ำตากลับไหลออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวัน
ฉันเปิด FB ขึ้นมาดู ทั้งๆ ที่หน้าจอยังเป็นสีขาว ฟ้า เช่นเดิม แต่โพสของเพื่อนๆ ฉันกลับมีแต่สีดำและข้อความถวายความอาลัย ไม่มีใครโพสถึงเรื่องอื่นเลย
บางคนเขียนถึงความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจของตัวเอง ฉันอ่าน...ฉันร้องไห้
บางคนโพสรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน ฉันเห็น...ฉันร้องไห้
บางคนโพสรูปการ์ตูนที่ส่งต่อกันมา รูปเด็กเงยหน้าถามพ่อว่า "นี่เป็นแค่ฝันร้ายใช่ไหม" พ่อลูบหัวและบอกว่า "พ่อไม่อยู่ ดูแลตัวเองนะ" ฉันเห็น ฉันอ่าน...ฉันร้องไห้โฮทันที
ในหัวฉันมีแต่คำว่า "พ่อไม่อยู่แล้ว พ่อไม่อยู่แล้ว" ดังวนเวียนซ้ำไปมาไม่รู้จบ ...ฉันทนไม่ได้
เที่ยงคืน ฉันอ่านเจอข้อความที่หยิบยกเอาส่วนหนึ่งของนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน มันช่างเหมือนกับบรรยากาศในวันนี้ไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว มีคนโพสข้อความบอกว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของรัชกาลที่ 9 ฉันห้ามน้ำตาไม่ได้
ตีหนึ่ง ฉันเจอข้อความหนึ่งบน FB กล่าวถึงคำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอานนท์ พุทธะอยู่ทุกที่ ถ้าอย่างนั้น พระองค์ท่านก็ยังคงอยู่กับเรา ฉันพยายามคิดว่าฉันเข้าใจ ฉันรู้สึกดีขึ้น
ตีสองแล้วฉันยังคงนอนไม่หลับ แต่คืนนี้ฉันมีเพื่อนมากกว่าวันก่อนๆ เห็นได้จากเวลาฉันเข้าไปดูรูปที่แชร์กันมา ยังคงมีคนคอมเม้นกันอยู่เลย เพื่อนบางคนที่ปกติไม่เคยโพสตอนดึกก็ยังคงโพสอยู่ ฉันไม่ได้รู้สึกอย่างนี้คนเดียว
ตีสาม ฉันปิดโทรทัศน์ไปนานแล้วเพราะถ้ายังเปิดอยู่ฉันต้องฟุ้งซ่านแน่ๆ ฉันหันมาดูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ในมือถือ น้ำตายังคลออยู่ที่ขอบตา
ตีสี่ มีคนโพสว่าท่านได้กลับไปเจอพระบรมราชชนกหลังจากไม่ได้เจอมา 87 ปี ได้เจอพระเชษฐาหลังจากไม่ได้เจอมา 70 ปีแล้ว ฉันร้องไห้หนักอีกครั้งหนึ่ง
ตีห้า ฉันยังคงอ่านข้อความที่ส่งต่อกันมา บางเรื่องฉันยิ้มทั้งน้ำตา บางเรื่องฉันน้ำตาคลอ ชุดนอนกับหมอนฉันเปียกชุ่มไปหมด
ตีห้าครึ่ง ฉันยังไม่อยากหลับ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันอยากให้คืนนี้ยาวนานกว่านี้ แต่สุดท้ายฉันก็หลับไปพร้อมคราบน้ำตา
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2559
ฉันอยากให้วันนี้เป็นวันที่ 13 อยากให้เมื่อวานเป็นเพียงความฝัน แต่ฉันรู้ มันเกิดขึ้นจริง
ตาฉันบวม จากปกติตาก็โตดูบวมๆ มาวันนี้ยิ่งบวมดูน่าเกลียดเข้าไปใหญ่
บน FB หลายคนโพสและติดแทคว่า ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9 ใช่ ฉันภูมิใจที่เกิดในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 แต่ฉันก็อยากตายในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 ด้วย
มีประกาศออกมาว่าจะมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีเคลื่อนขบวนพระบรมศพตอนบ่ายโมงครึ่ง ฉันรีบจัดการงานต่างๆ เพราะหวังว่าจะกลับมาดูทัน
ตอนขับรถฉันมองไปรอบด้าน ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนทุกวัน แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง บรรยากาศมันเศร้าโศกเสียจนฉันแทบห้ามน้ำตาไม่อยู่
ฉันกลับมานั่งเฝ้าอยู่หน้าโทรทัศน์ตลอดจนสี่โมงกว่า ขบวนก็เคลื่อนย้ายออกจากโรงพยาบาลศิริราช
วินาทีแรกที่เห็นรถตู้สีเทาเคลื่อนออกมาจากชั้นใต้ดิน ฉันรู้ได้เลยว่านี่แหล่ะ พระองค์ท่าน ไม่ต้องประดับตกแต่งให้สวยงาม แต่นี่แหล่ะคือ พระองค์ท่าน
ไม่มีเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ปกติจะได้ยินทุกครั้ง
ฉันดูไปน้ำตาไหลไป ถึงแม้จะไม่ฟูมฟายเท่าคนที่เห็นในโทรทัศน์ แต่น้ำตาฉันก็ไหลไม่หยุด พยายามเพ่งมองไปในรถตู้ แล้วมโนภาพว่าท่านประทับอยู่ในนั้น กำลังแย้มสรวลโบกพระหัตถ์ให้เช่นเคยเหมือนที่แล้วมา ฉันคิดนะ ว่าฉันเห็นจริงๆ
หลังจากนั้นมีการถ่ายทอดสดพระราชพิธีบำเพ็ญสวดพระอภิธรรมคืนแรก พอได้เห็นพระราชอาสน์ที่ถูกคลุมผ้าอยู่ก็ได้แต่หน่วงอยู่ในใจ นั่นแน่ะ ท่านยังอยู่นะ
ภาพฉายไปที่พระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ท่าน ฉันคิดว่าท่านสง่างามเหลือเกิน
ภาพฉายไปที่พระบรมโกศ ฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
เสียงสวดพระอภิธรรมครั้งนี้มันบีบรัดหัวใจเหลือเกิน เสียงปี่แตรมโหรียิ่งทำให้เจ็บร้าวกว่าเดิม ฉันทนดูจนจบไม่ได้
เล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ฉันกดเซฟภาพพระบรมฉายาลักษณ์จนเมื่อยมือ กดไปน้ำตาไหลไป แต่มันหยุดไม่ได้ ฉันอยากเก็บภาพพ่อ อยากบันทึกเรื่องราวเพื่อส่งต่อให้ลูกของฉัน เล่าให้เขาฟังว่าครั้งหนึ่งประเทศของเราเคยมีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด พระองค์ทรงงานหนักเพียงใด และพระองค์ทรงเป็นที่รักของประชาชนชาวไทยเพียงใด
ฉันคิดนะ เรายังมีพ่อถึงสองคน คือพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย และพ่อผู้ให้กำเนิด แต่พระโอรสพระธิดาของท่านหล่ะ มีพ่อแค่คนเดียว แถมยังต้องมาแบ่งพ่อให้คนอื่นอีกกว่า 70 ล้านคน ท่านจะโทมนัสกว่าพวกเราขนาดไหน
ฉันอยากให้กำลังใจทุกพระองค์เหลือเกิน
มีคนถ่ายภาพฟ้าเปิดที่โรงพยาบาลศิริราชได้ เขาบอกว่า สวรรค์ส่งคนมารับพ่อ
มีคนถ่ายภาพหมอกธุมเกตุได้ เขาบอกว่า สวรรค์กำลังเชิญพ่ออยู่
มีคนถ่ายภาพพระจันทร์ทรงกลดได้ เขาบอกว่า พ่อถึงสวรรค์แล้วนะ
เจ็ดโมงเช้า ฉันหลับไปพร้อมคราบน้ำตาอีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2559
วันนี้ฉันอยู่บ้านทั้งวัน โทรทัศน์ฉายสารคดีพระองค์ท่านตลอด ฉันเปิดบ้างปิดบ้าง
ปิดเพราะมันทำให้น้ำตาฉันไหลอีกแล้ว
เพลงพระราชาผู้ทรงธรรมกับเพลงต้นไม้ของพ่อดังอยู่ในใจของฉันตลอดทั้งวัน
ฉันกลับมาเซฟพระบรมฉายาลักษณ์และเรื่องราวของพระองค์ท่านอีกครั้ง อ่านไปคิดไป อ่านไปร้องไห้ไป แต่ฉันก็รู้สึกดีขึ้น แม้จะเพียงนิดเดียวก็เถอะ
พ่อสอนเราทุกอย่างจริงๆ แม้กระทั่งจนวันสุดท้าย ท่านก็ยังทำให้เราได้เห็นว่า เราสามารถเลือกได้ว่า เมื่อเราจากโลกนี้ไป สิ่งที่เหลืออยู่คือ ความดีที่เราทำ
ตีห้า ฉันยังคงต้องนอนบนหมอนเปียกๆ อีกครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559
วันนี้หวยสองตัวล่างออก 98 คนถูกกันค่อนประเทศ
ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา