ด้วยรักและผูกพัน
โดย
กุลธิดา
สิณีเหลียวมองเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ บนที่นั่งผู้โดยสารก็เห็นว่าหลับไปแล้ว ใบหน้าคมคายยังคงมีร่องรอยเคร่งเครียดและเหน็ดเหนื่อยให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น หรือรอยย่นบางๆ บนหน้าผาก เพิ่งเข้าวัยหนุ่มแท้ๆ แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมไปเสียได้
…ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอเอง และเธอก็สมควรชดใช้
แต่มาคิดอีกที ผิดหรือเปล่าที่กำลังพาเขาหนี จะหนีไปไหนยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีทางออกที่ดีกว่านี้บ้างไหม ถ้ามีก็ควรตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเพราะอีกเพียงไม่กี่ไมล์ก็พ้นเขตรัฐแล้ว เขาจะกลายเป็นคนร้ายหนีข้ามพรมแดน และเธอเองก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด การตามล่าตัวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ในรัฐข้างเคียงและเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางอาจเข้ามาร่วมด้วย เธอเองก็เป็นนักจิตวิทยาประจำหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ของรัฐ จึงควรเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้ดี
มืดแล้วเมื่อรถแล่นผ่านป้ายบอกทางแยกไปเมืองแลนดรัมซึ่งเป็นเมืองชายแดนเหนือสุดของรัฐ และจิตใจเธอก็เริ่มเลื่อนลอยกลับไปหาอดีตอีกครั้ง…เป็นอดีตที่ไม่ไกลเลย เมื่อสามเดือนก่อนหน้านี่เอง…เมื่อสิ่งที่เฝ้ารอคอยมานับสิบปีมาถึง ในรูปของเอกสารจากหน่วยงานของเขต
เอกสารนั้นเริ่มด้วยประวัติความเป็นมาของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี ระบุว่าเป็นเด็กกำพร้าที่แม่ตั้งท้องในวัยแรกรุ่น ตามด้วยรายงานความผิดสารพัดรูปแบบที่เขาก่อขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเพื่อนบ้าน ตามด้วยรายชื่อโรงเรียนต่างๆ ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแห่งที่เด็กหนุ่มต้องย้ายไปมาในรอบสิบปี ลงท้ายที่ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกรณีนี้ ก่อนส่งต่อมาให้เธอในฐานะนักจิตวิทยา
“แกเร็ตต์ วินสโลว์มีพฤติกรรมก้าวร้าว มีความโกรธแค้นที่ฝังรากลึก เมื่อพิจารณาพื้นฐานความเป็นมาก็พอสรุปได้ว่าต้นเหตุมาจากความรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร พ่อแม่ทิ้งตั้งแต่จำความไม่ได้ นายและนางวินสโลว์รับมาเลี้ยงจากฟอสเตอร์โฮมตั้งแต่อายุสามขวบ และแกเร็ตต์ก็รู้ตลอดเวลาว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของครอบครัวนั้น รูปลักษณ์แบบเด็กหนุ่มเลือดผสมของเขาในโรงเรียนที่นักเรียนเกือบทั้งหมดผิวขาวทำให้เขาไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว เขาเข้ากับใครไม่ได้ ไม่เคยมีเพื่อนสนิท ไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใด แกเร็ตต์ระบายความคับข้องใจเหล่านั้นด้วยพฤติกรรมที่เป็นไปในทางทำลาย จนพ่อแม่บุญธรรมเองก็ควบคุมไว้ไม่ได้”
“เธอเกลียดแม่หรือแกเร็ตต์” ครั้งหนึ่งเธอถามเขาว่าอย่างนั้น “หรือว่าเกลียดผู้หญิง”
คำตอบมีเพียงรอยยิ้มหยามเหยียดที่ริมฝีปากสวยได้รูป นั่นเป็นส่วนประกอบหนึ่งบนใบหน้าของเขาที่เธอชอบมอง…เพราะเหมือนใครคนหนึ่งที่เคยรู้จัก…เมื่อนานหนักหนามาแล้ว แกเร็ตต์ถอดแบบริมฝีปากนั้นมาได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งยิ้มละลายใจแบบนั้นก็ด้วย
“โกรธคุณวินสโลว์ที่ตบตีแม่ของเธอหรือเปล่า” นั่นคือปัญหาของครอบครัวนั้น ครอบครัวที่รับเขาไปเลี้ยง
“ก็สมควรแล้วนี่” มีเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอตามมา “ควรควบคุมผู้หญิงไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง”
“ใครสอนเธออย่างนั้น”
เขาไหวไหล่
“ใครจะสอน คนเรารู้กันได้เอง”
แรกๆ เธอเองก็พยายามทำความเข้าใจว่าความคิดบิดเบี้ยวลักษณะนั้นของเขามาจากไหนและเกิดจากอะไร แต่เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างนายและนางวินสโลว์ก็พอมองออกว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้เหมือนกัน นายวินสโลว์มีประวัติทำร้ายร่างกายภรรยาของตัวเอง แม้ไม่ถึงขั้นรุนแรง และตามบันทึกของตำรวจ ยังเป็นการป้องกันตัวอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละ เด็กชายที่เห็นอะไรลักษณะนั้นมาเกือบตลอดชีวิต ย่อมเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะซึมซับพฤติกรรมแบบนั้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
…หากในเวลาเดียวกันก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมด มีสาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่า
“แต่เธอก็คอยปกป้องแม่ของเธอ…หมายถึงคุณนายวินสโลว์”
คำตอบในวันนั้นของเขายิ่งชวนให้งุนงง
“ผู้หญิงเป็นผู้สร้าง…เป็นผู้เลี้ยงดู แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องควบคุมไว้ด้วย”
“ควบคุมหรือแกเร็ตต์ ทำไมต้องควบคุม”
และเป็นอีกครั้งที่คำตอบคือความเงียบ เธอจึงฉวยโอกาสกลับไปหาเรื่องที่สงสัยอยู่นาน
“เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณวินสโลว์กับภรรยาของเขา”
คำถามนั้นทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาได้อีก
“ดูหน้าผม แล้วดูพ่อแม่ผม คุณคิดว่าผมควรรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สิณีผงกศีรษะยอมรับแต่โดยดี ชัดเจนออกอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาของเขาแตกต่างจากพ่อแม่ซึ่งเลี้ยงเขามาแต่เล็กอย่างสิ้นเชิง เขาคงพอเดาได้ตั้งแต่เพิ่งรู้ความโน่นแล้ว
“เคยอยากรู้บ้างไหมว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริง”
“รู้ไปเพื่ออะไร รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา เขาไม่ต้องการผม ผมก็ไม่ต้องการเขาเหมือนกัน ผมเป็นความผิดพลาดของเขา รู้แค่นั้นก็พอแล้วนี่” กังวานเสียงในประโยคหลังๆ ขมขื่น
“ไม่คิดบ้างหรือว่าแม่ที่ไหนก็รักลูกของตัวเอง แต่บางครั้งอาจมีความจำเป็น…”
เขาส่ายหน้า แล้วมองเมินออกไปนอกหน้าต่าง ห้องทำงานของเธออยู่ด้านหลังของตัวอาคารเล็กๆ ซึ่งเธอเช่าไว้เพื่อเปิดคลินิกส่วนตัว ด้านหนึ่งของห้องเป็นกระจกขนาดใหญ่ มองออกไปเห็นสวนซึ่งจัดวางไม้พุ่มและไม้ยืนต้นในลักษณะที่ทดสอบกันแล้วว่าช่วยสร้างความสงบทางจิตใจให้ ‘คนไข้’
“เธอเกลียดแม่หรือแกเร็ตต์ หมายถึงแม่จริงๆ ของเธอ”
สิณีแน่ใจว่าในวันนั้น…ด้วยคำถามนั้น เธอเห็นร่องรอยของความเคียดแค้นฉายวาบในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน…ดวงตาคู่ซึ่งเก็บเอาความทรงจำในชีวิตที่เริ่มต้นและดำเนินไปอย่างเจ็บปวดไว้มากมาย
มีเสียงขยับตัว และเธอก็หันไปดู
ด้วยรักและผูกพัน : เรื่องสั้นที่เขียนร่วมกับคุณซอง
กุลธิดา
สิณีเหลียวมองเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ บนที่นั่งผู้โดยสารก็เห็นว่าหลับไปแล้ว ใบหน้าคมคายยังคงมีร่องรอยเคร่งเครียดและเหน็ดเหนื่อยให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น หรือรอยย่นบางๆ บนหน้าผาก เพิ่งเข้าวัยหนุ่มแท้ๆ แต่กลับถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรโหดเหี้ยมไปเสียได้
…ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอเอง และเธอก็สมควรชดใช้
แต่มาคิดอีกที ผิดหรือเปล่าที่กำลังพาเขาหนี จะหนีไปไหนยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีทางออกที่ดีกว่านี้บ้างไหม ถ้ามีก็ควรตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเพราะอีกเพียงไม่กี่ไมล์ก็พ้นเขตรัฐแล้ว เขาจะกลายเป็นคนร้ายหนีข้ามพรมแดน และเธอเองก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด การตามล่าตัวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ในรัฐข้างเคียงและเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลางอาจเข้ามาร่วมด้วย เธอเองก็เป็นนักจิตวิทยาประจำหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ของรัฐ จึงควรเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้ดี
มืดแล้วเมื่อรถแล่นผ่านป้ายบอกทางแยกไปเมืองแลนดรัมซึ่งเป็นเมืองชายแดนเหนือสุดของรัฐ และจิตใจเธอก็เริ่มเลื่อนลอยกลับไปหาอดีตอีกครั้ง…เป็นอดีตที่ไม่ไกลเลย เมื่อสามเดือนก่อนหน้านี่เอง…เมื่อสิ่งที่เฝ้ารอคอยมานับสิบปีมาถึง ในรูปของเอกสารจากหน่วยงานของเขต
เอกสารนั้นเริ่มด้วยประวัติความเป็นมาของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี ระบุว่าเป็นเด็กกำพร้าที่แม่ตั้งท้องในวัยแรกรุ่น ตามด้วยรายงานความผิดสารพัดรูปแบบที่เขาก่อขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมชั้นเรียนและเพื่อนบ้าน ตามด้วยรายชื่อโรงเรียนต่างๆ ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแห่งที่เด็กหนุ่มต้องย้ายไปมาในรอบสิบปี ลงท้ายที่ความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบกรณีนี้ ก่อนส่งต่อมาให้เธอในฐานะนักจิตวิทยา
“แกเร็ตต์ วินสโลว์มีพฤติกรรมก้าวร้าว มีความโกรธแค้นที่ฝังรากลึก เมื่อพิจารณาพื้นฐานความเป็นมาก็พอสรุปได้ว่าต้นเหตุมาจากความรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร พ่อแม่ทิ้งตั้งแต่จำความไม่ได้ นายและนางวินสโลว์รับมาเลี้ยงจากฟอสเตอร์โฮมตั้งแต่อายุสามขวบ และแกเร็ตต์ก็รู้ตลอดเวลาว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของครอบครัวนั้น รูปลักษณ์แบบเด็กหนุ่มเลือดผสมของเขาในโรงเรียนที่นักเรียนเกือบทั้งหมดผิวขาวทำให้เขาไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว เขาเข้ากับใครไม่ได้ ไม่เคยมีเพื่อนสนิท ไม่เคยมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใด แกเร็ตต์ระบายความคับข้องใจเหล่านั้นด้วยพฤติกรรมที่เป็นไปในทางทำลาย จนพ่อแม่บุญธรรมเองก็ควบคุมไว้ไม่ได้”
“เธอเกลียดแม่หรือแกเร็ตต์” ครั้งหนึ่งเธอถามเขาว่าอย่างนั้น “หรือว่าเกลียดผู้หญิง”
คำตอบมีเพียงรอยยิ้มหยามเหยียดที่ริมฝีปากสวยได้รูป นั่นเป็นส่วนประกอบหนึ่งบนใบหน้าของเขาที่เธอชอบมอง…เพราะเหมือนใครคนหนึ่งที่เคยรู้จัก…เมื่อนานหนักหนามาแล้ว แกเร็ตต์ถอดแบบริมฝีปากนั้นมาได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งยิ้มละลายใจแบบนั้นก็ด้วย
“โกรธคุณวินสโลว์ที่ตบตีแม่ของเธอหรือเปล่า” นั่นคือปัญหาของครอบครัวนั้น ครอบครัวที่รับเขาไปเลี้ยง
“ก็สมควรแล้วนี่” มีเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอตามมา “ควรควบคุมผู้หญิงไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง”
“ใครสอนเธออย่างนั้น”
เขาไหวไหล่
“ใครจะสอน คนเรารู้กันได้เอง”
แรกๆ เธอเองก็พยายามทำความเข้าใจว่าความคิดบิดเบี้ยวลักษณะนั้นของเขามาจากไหนและเกิดจากอะไร แต่เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างนายและนางวินสโลว์ก็พอมองออกว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้เหมือนกัน นายวินสโลว์มีประวัติทำร้ายร่างกายภรรยาของตัวเอง แม้ไม่ถึงขั้นรุนแรง และตามบันทึกของตำรวจ ยังเป็นการป้องกันตัวอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละ เด็กชายที่เห็นอะไรลักษณะนั้นมาเกือบตลอดชีวิต ย่อมเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะซึมซับพฤติกรรมแบบนั้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
…หากในเวลาเดียวกันก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมด มีสาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่า
“แต่เธอก็คอยปกป้องแม่ของเธอ…หมายถึงคุณนายวินสโลว์”
คำตอบในวันนั้นของเขายิ่งชวนให้งุนงง
“ผู้หญิงเป็นผู้สร้าง…เป็นผู้เลี้ยงดู แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องควบคุมไว้ด้วย”
“ควบคุมหรือแกเร็ตต์ ทำไมต้องควบคุม”
และเป็นอีกครั้งที่คำตอบคือความเงียบ เธอจึงฉวยโอกาสกลับไปหาเรื่องที่สงสัยอยู่นาน
“เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณวินสโลว์กับภรรยาของเขา”
คำถามนั้นทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาได้อีก
“ดูหน้าผม แล้วดูพ่อแม่ผม คุณคิดว่าผมควรรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สิณีผงกศีรษะยอมรับแต่โดยดี ชัดเจนออกอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาของเขาแตกต่างจากพ่อแม่ซึ่งเลี้ยงเขามาแต่เล็กอย่างสิ้นเชิง เขาคงพอเดาได้ตั้งแต่เพิ่งรู้ความโน่นแล้ว
“เคยอยากรู้บ้างไหมว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริง”
“รู้ไปเพื่ออะไร รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา เขาไม่ต้องการผม ผมก็ไม่ต้องการเขาเหมือนกัน ผมเป็นความผิดพลาดของเขา รู้แค่นั้นก็พอแล้วนี่” กังวานเสียงในประโยคหลังๆ ขมขื่น
“ไม่คิดบ้างหรือว่าแม่ที่ไหนก็รักลูกของตัวเอง แต่บางครั้งอาจมีความจำเป็น…”
เขาส่ายหน้า แล้วมองเมินออกไปนอกหน้าต่าง ห้องทำงานของเธออยู่ด้านหลังของตัวอาคารเล็กๆ ซึ่งเธอเช่าไว้เพื่อเปิดคลินิกส่วนตัว ด้านหนึ่งของห้องเป็นกระจกขนาดใหญ่ มองออกไปเห็นสวนซึ่งจัดวางไม้พุ่มและไม้ยืนต้นในลักษณะที่ทดสอบกันแล้วว่าช่วยสร้างความสงบทางจิตใจให้ ‘คนไข้’
“เธอเกลียดแม่หรือแกเร็ตต์ หมายถึงแม่จริงๆ ของเธอ”
สิณีแน่ใจว่าในวันนั้น…ด้วยคำถามนั้น เธอเห็นร่องรอยของความเคียดแค้นฉายวาบในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน…ดวงตาคู่ซึ่งเก็บเอาความทรงจำในชีวิตที่เริ่มต้นและดำเนินไปอย่างเจ็บปวดไว้มากมาย
มีเสียงขยับตัว และเธอก็หันไปดู