เรื่องโดย นิลวนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนก่อนหน้า
บทนำ : https://pantip.com/topic/36728941
บทที่ 1 : https://pantip.com/topic/36732857
บทที่ 2 : https://pantip.com/topic/36737670
บทที่ 3 : https://pantip.com/topic/36744859
บทที่ 4 : https://pantip.com/topic/36760739
บทที่ 5 : https://pantip.com/topic/36780385
บทที่ 6 : https://pantip.com/topic/36784759
บทที่ 7 : https://pantip.com/topic/36796975
บทที่ 8 : https://pantip.com/topic/36804123
บทที่ 9 : https://pantip.com/topic/36820228
บทที่ 11 : https://pantip.com/topic/36844417
บทที่ 11
ห้องทำงานในบ้านบรรยากาศเคร่งขรึมของซึ่งตามปกติเป็นพื้นที่ส่วนตัวของพีรพัฒน์เวลานี้มีแขกมานั่งหลังตรงสงบเสงี่ยม อยู่ตรงหน้าเจ้าของห้องโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหวันเกรงเลยสักนิด
เมื่อครู่ก่อนหลังจากพีรพัฒน์เดินออกจากห้องรับแขกโดยไม่รอส่งท่านรัฐมนตรีและบุตรสาวผู้มาเยือน ขณะเดินผ่านห้องนั่งเล่น เขาก็ได้เห็นบุตรชายของเพื่อนรักกำลังนั่งคุยไปพลาง รับประทานของว่างไปพลางกับอยู่กับบุตรสาวของเขาตามลำพัง ท่าทางของทั้งสองคนไม่เหมือนคนที่กำลังโกรธกัน หรือว่าจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว พีรพัฒน์มองภาพนั้นอย่างขัดใจ อาการหวงลูกสาวเริ่มจะกำเริบ
‘ทำไมไอ้หมอนี่มันมาไวนัก ไหนไอ้ภูมันบอกว่า ลูกชายมันจะกลับถึงบ้านพรุ่งนี้ไง แบบนี้มันหลอกกันชัดๆ’
ร่างสูงที่แม้จะสูงวัยขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ยังดูสมาร์ทรีบเดินเข้ามาในห้อง แล้วเอ่ยทักทายคนเป็นหลานชายเสียงออกจะแข็งๆ
“ไงมาล้วเรอะ?”
ภาณินรีบลุก แล้วยกมือไหว้ท่านเจ้าของบ้าน “สวัสดีครับอาพี”
“ไหนพ่อเราบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง” พีรพัฒน์เอ่ยขณะเดินมานั่งข้างลูกสาว
“เป็นห่วงทิวลิปครับอาพี เลยรีบกลับมาก่อน”
“อยู่กับอายังมีอะไรต้องห่วง” พีรพัฒน์บอกอย่างพาลๆ กีรณามองบิดาแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน วันก่อนตอนไปรับเธอเห็นท่านนิ่งๆ ที่แท้ก็เก็บอาการไว้นั่นเอง
“พ่อคะ ก็ทิวลิปบาดเจ็บ ใบหม่อนก็ต้องเป็นห่วงสิคะ”
“ลูกไม่ต้องมาพูดแทน รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วก็ทำไม่ได้” พีรพัฒน์ปรามบุตรสาว หันไปมองหน้าลูกชายเพื่อนตาขวาง
“ผมยอมรับผิด ขอโทษครับอาพี” ภาณินรู้ตัวว่าผิด เขาไม่มีอะไรจะโต้เถียง ได้แต่ขอโทษท่านไปตรงๆ กีรณาจึงช่วยพูดแก้ต่างให้เขาแทน
“เรื่องมันสุดวิสัยค่ะพ่อ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก”
“ลูกไม่ต้องพูด ดีกันแล้วหรือไง ถึงได้พูดแทนกันแบบนี้” บิดากีรณามองคนทั้งสองแบบขวางๆ
“แล้วไม่ดีหรือคะคุณพี ลูกหลานคืนดีกัน พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา สมควรจะดีใจ”
การะเกดเอ่ยขณะเดินมานั่งบนโซฟาใกล้ๆ กับสามีและบุตรสาว เด็กรับที่เดินตามเธอมาวางถาดชาลงบนโต๊ะแล้วรีบกลับออกไป
“คุณมาพอดี กำลังนึกอยู่ว่า ทำไมปล่อยให้ลูกนั่งอยู่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน ตาหม่อนก็อยู่ด้วย”
พีรพัฒน์มองหน้าภรรยาตาขุ่น แทบจะค้อน แอบคิดอยู่คนเดียวในใจว่า ที่ถามก็เพราะภาณินอยู่ตรงนี้ด้วยนี่แหละ ไม่งั้นคงไม่ต้องเป็นห่วง
“แขกกลับไปแล้วหรือคะพ่อ”
“ลูกรู้ด้วยเหรอ?”
“เห็นตอนเดินเข้าไปในห้องน่ะค่ะ”
“เขาพาลูกสาวมาขอโทษ แต่ตอนนี้พ่อยังไม่อยากให้ใครมากวนลูก เลยให้พวกเขากลับไป” บิดาผู้แสนจะหวงลูกสาวปรายตามองไปทางภาณิน บอกเป็นนัยว่า ที่พูดน่ะ ‘รวมถึงเขาด้วย’ ชายหนุ่มรู้ทั้งรู้ แต่ยังยิ้มไขสือ
“มาก็ดีแล้ว อามีเรื่องจะคุยด้วย ขึ้นไปคุยกันบนห้องทำงานอาดีกว่า”
กีรณาขยับปากจะพูดอะไรบ้างอย่าง คงอยากถามบิดาว่าจะคุยเรื่องอะไรกับภาณิน แต่ถูกมารดาขยิบตาห้ามไว้เสียก่อน
ภาณินจึงลุกขึ้นเดินตามพีรพัฒน์ จนกระทั่งมานั่งหลังตรงไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงหน้าท่านในเวลานี้
“ก่อนอาจะพูด เรามีอะไรอยากอธิบาย ก็ว่ามา?”
ท่าทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของพีรพัฒน์ ยามอยู่ต่อหน้าภรรยาและบุตรสาว กับตอนที่อยู่กันตามลำพังกับเขาในตอนนี้ ทำเอาภาณินมองเพื่อนของบิดาอย่างนึกทึ่งๆ ในความน่าเกรงขาม
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าอาพีคงได้ยินจากฟ้าใสไปหมดแล้ว”
“เรื่องนั้นอาต้องขอบใจหม่อนที่ไม่ทิ้งน้อง รีบตามเข้าไป จนติดอยู่ในป่าด้วยกัน” ที่แท้ สาเหตุที่พีรพัฒน์ไม่ได้ต่อว่าภาณินตั้งแต่แรก เพราะท่านกำลังนึกขอบใจบุตรชายของเพื่อนรักนั่นเอง
“หม่อนไม่มีวันทิ้งทิวลิปอยู่แล้วครับอาพี เรื่องที่อยากเรียนอาก็คือ หม่อนกับทิวลิป เราปรับความเข้าใจกันแล้ว และตกลงกันว่าเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“เหมือนเดิมแบบไหน พี่น้อง หรือว่า เพื่อน” รู้ทั้งรู้ว่าที่ภาณินพูดเขาหมายถึงอะไร แต่พีรพัฒน์ก็ยังแกล้งถาม
“ทั้งสองอย่าง หรืออาจจะ.....มากกว่านั้น”
ภาณินคิดในใจว่า ในเมื่ออาพีของเขาเปิดโอกาสให้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม จะออกหัวออกก้อย ก็ให้รู้กันไปเลยในคราวนี้
“มากกว่านั้นน่ะมันแค่ไหน” ผู้อาวุโสกว่าถามหยั่งเชิง แอบคิดอย่างชื่นชมว่า ลูกชายของเจ้าภูเพื่อนรัก ช่างใจกล้ากว่าที่คิด กล้าพูดตรงๆ ไม่กลัวตายแบบนี้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“ถ้าอาพีอนุญาต จากนี้ไปหม่อนขอจะกลับมาดูแลทิวลิปครับอา”
“แน่ใจแล้วรึ?”
“แน่ใจมานานแล้วครับ หม่อนทำตามที่อาพีเคยบอก ว่าแน่ใจตัวเองเมื่อไหร่แล้วค่อยกลับมา ตอนนี้หม่อนแน่ใจแล้วว่ารัก และอยากดูแลทิวลิปตลอดไป หม่อนจึงมาเรียนอาพีด้วยตัวเอง”
“แล้วคุยกับพ่อแม่เราหรือยัง” พีรพัฒน์ถามทั้งรู้คำตอบ ครอบครัวของภูวิชเลี้ยงลูกมาแบบอิสระ มีอะไรก็เปิดใจคุยกันทุกเรื่อง เขาจึงรู้ว่าภูวิชรู้ทุกเรื่องของบุตรชายมาโดยตลอด
“คุยแล้วครับ พ่อบอกว่า พ่อจะไม่ช่วยพูด หม่อนต้องมาคุยกับอาพีเอง ถ้าอาพีตกลง ก็จะมาสู่ขอ ด้วยตัวเอง”
“กลัวหน้าแตกละสิ ถึงได้ไม่ยอมออกหน้า เฮอะ! ไอ้เพื่อนเวร” พีรพัฒน์เอ่ยแล้วหัวเราะออกมา ภาณินจึงใจชื้นขึ้นเป็นกอง หนทางระหว่างเขากับกีรณาเริ่มเปิด
“ตกลงว่า อาพี....” ชายหนุ่มพยายามจะหยั่งเชิง
“แน่ใจนะ ว่าเราจะไม่ทำให้อาผิดหวัง” คำตอบถามของพีรพัฒน์ คือคำตอบที่ทำให้ภาณินยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“รับรองด้วยชีวิต และเกียรติของพ่อเลยครับ ขอบคุณครับอาพี”
“เอ้อ ดี! เรื่องของตัวเอง แต่เอาเกียรติพ่อมารับรอง ท่าจะกะล่อนไม่เบานะเรา แบบนี้อาจะเชื่อใจเราดีไหมนี่”
“เกียรติของพ่อน่าเชื่อถือกว่าหม่อนนะครับอา” คำยกยอบิดาของภาณิน ทำให้พีรพัฒน์ขำจนหัวเราะ ปากคอมันร้ายสมเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักเขาจริงๆ
“แต่ยังไงก็ตาม อายังอยากให้เรารอไปก่อน น้องยังเด็ก แล้วก็ยังเรียนไม่จบ” พีรพัฒน์หยุดหัวเราะ แล้วกลับมาพูดเข้าเรื่องอย่างจริงจัง
“หม่อนยินดีรอ แต่อยากขอความกรุณาอาพี ให้เราหมั้นกันไว้ก่อน”
“ทำไม? หรือว่ากลัวอาเปลี่ยนใจไม่ยกน้องให้เรา” บุรุษมากอาวุโสมองคนอ่อนกว่าอย่างสงสัย ทำไมต้องรีบขนาดนั้น
“เปล่าครับ แต่พอดีมีอีกเรื่องที่หม่อนจะเรียนให้อาทราบ”
“เรื่องอะไร?”
“ทีมงานวิจัยเสนอชื่อทิวลิปให้ได้รับทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา อีกไม่นานผลคงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ หม่อนเลยเรียนอาพีไว้ก่อน ”
“แน่ใจนะ ว่าเราไม่ได้ใช้เส้นพาน้องไปเรียนที่โน่น”
“ไม่ใช่เลยครับ ทิวลิปเก่งอยู่แล้ว ผลการเรียนโดดเด่น ทำงานก็คล่องแคล่ว เราพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่างครับอา”
“อาแซวเล่น เป็นอันที่จริงต้องถือเป็นเรื่องดี อาดีใจที่ได้ยินว่าน้องเก่ง แต่ว่าจะไปไกลถึงอเมริกา อาอดยังเป็นห่วงไม่ได้”
“ที่โน่นมีหม่อนกับไหม แกรนปา แกรนมา ก็อยู่ด้วย อาพีไม่ต้องเป็นห่วง เวลาสองปีแป๊บเดียวก็กลับมาแล้วครับอา”
“อาก็ยังอดคิดถึงไม่ได้อยู่ดี แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเขานั่นล่ะ ถ้าเขาจะไป อาก็ไม่ห้าม”
“ขอบคุณครับ ถ้างั้น ผลออกมาแล้ว หม่อนจะมาเรียนให้ทราบอีกครั้ง”
“อื้ม เราออกไปข้างนอกกันได้แล้วล่ะ ป่านนี้สองแม่ลูกคงอยากรู้กันแย่แล้วว่าเราคุยอะไรกัน”
สองอาหลานพากันออกจากห้อง แล้วเดินกลับไปห้องนั่งเล่น ท่าทีพูดคุยสนิทสนมเมื่อครู่ ถูกกลบทับด้วยท่าทางปึ่งของพีรพัฒน์ สองแม่ลูกจึงกันมองชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาด้วยสายตาเป็นห่วง
“ขอตัวกลับก่อนนะครับอาพี อาเกด” ภาณินบอกลาขึ้นมาดื้อๆ
การะเกดมองหน้าสามี แล้วหันมาถามภาณิน “อ้าว? แล้วไม่อยู่ทานข้าวกันก่อนหรือตาหม่อน”
“คุณแม่กับคุณพ่อรออยู่ที่บ้านครับอาเกด ขอเป็นโอกาสหน้านะครับ” ภาณินหันไปทางกีรณา บอกลาเธอสั้นๆ แล้วเดินจากไป
กีรณามองชายหนุ่มที่เดินกลับออกไปสลับกับหน้าของบิดา ในดวงตาเหมือนมีคำถาม
“ไม่ต้องมามองพ่อ พ่อไม่ได้ไล่มันกลับไปเสียหน่อย”
“แล้วทำไมหลานถึงรีบกลับ ล่ะคุณพี” การะเกดเหมือนไม่เชื่อคำปฏิเสธของสามี
“คงมีอะไรต้องไปสะสางละมั้ง คุณก็เป็นห่วงไปได้”
“คุณพีทำท่าน่ากลัวขนาดนี้ จะไม่ให้ห่วงตาหม่อนได้ยังไง”
“ดูเอาเถอะ ไม่ทันไรก็เป็นห่วงว่าที่ลูกเขยจนออกนอกหน้าเสียแล้ว! ผมหลบไปอ่านหนังสือดีกว่า” พูดจบพีรพัฒน์ก็เดินออกจากห้องไปอีกคน ปล่อยให้ภรรยาและบุตรสาวมองหน้ากันตาตื่น ตกใจกับคำที่พีรพัฒน์ใช้เรียกภาณิน ว่าที่ลูกเขย
-------------------------------------
(ยังมีต่อ)
เร้นรัก กามเทพ บทที่ 11
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ห้องทำงานในบ้านบรรยากาศเคร่งขรึมของซึ่งตามปกติเป็นพื้นที่ส่วนตัวของพีรพัฒน์เวลานี้มีแขกมานั่งหลังตรงสงบเสงี่ยม อยู่ตรงหน้าเจ้าของห้องโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหวันเกรงเลยสักนิด
เมื่อครู่ก่อนหลังจากพีรพัฒน์เดินออกจากห้องรับแขกโดยไม่รอส่งท่านรัฐมนตรีและบุตรสาวผู้มาเยือน ขณะเดินผ่านห้องนั่งเล่น เขาก็ได้เห็นบุตรชายของเพื่อนรักกำลังนั่งคุยไปพลาง รับประทานของว่างไปพลางกับอยู่กับบุตรสาวของเขาตามลำพัง ท่าทางของทั้งสองคนไม่เหมือนคนที่กำลังโกรธกัน หรือว่าจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว พีรพัฒน์มองภาพนั้นอย่างขัดใจ อาการหวงลูกสาวเริ่มจะกำเริบ
‘ทำไมไอ้หมอนี่มันมาไวนัก ไหนไอ้ภูมันบอกว่า ลูกชายมันจะกลับถึงบ้านพรุ่งนี้ไง แบบนี้มันหลอกกันชัดๆ’
ร่างสูงที่แม้จะสูงวัยขึ้นกว่าแต่ก่อนแต่ยังดูสมาร์ทรีบเดินเข้ามาในห้อง แล้วเอ่ยทักทายคนเป็นหลานชายเสียงออกจะแข็งๆ
“ไงมาล้วเรอะ?”
ภาณินรีบลุก แล้วยกมือไหว้ท่านเจ้าของบ้าน “สวัสดีครับอาพี”
“ไหนพ่อเราบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง” พีรพัฒน์เอ่ยขณะเดินมานั่งข้างลูกสาว
“เป็นห่วงทิวลิปครับอาพี เลยรีบกลับมาก่อน”
“อยู่กับอายังมีอะไรต้องห่วง” พีรพัฒน์บอกอย่างพาลๆ กีรณามองบิดาแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน วันก่อนตอนไปรับเธอเห็นท่านนิ่งๆ ที่แท้ก็เก็บอาการไว้นั่นเอง
“พ่อคะ ก็ทิวลิปบาดเจ็บ ใบหม่อนก็ต้องเป็นห่วงสิคะ”
“ลูกไม่ต้องมาพูดแทน รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วก็ทำไม่ได้” พีรพัฒน์ปรามบุตรสาว หันไปมองหน้าลูกชายเพื่อนตาขวาง
“ผมยอมรับผิด ขอโทษครับอาพี” ภาณินรู้ตัวว่าผิด เขาไม่มีอะไรจะโต้เถียง ได้แต่ขอโทษท่านไปตรงๆ กีรณาจึงช่วยพูดแก้ต่างให้เขาแทน
“เรื่องมันสุดวิสัยค่ะพ่อ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก”
“ลูกไม่ต้องพูด ดีกันแล้วหรือไง ถึงได้พูดแทนกันแบบนี้” บิดากีรณามองคนทั้งสองแบบขวางๆ
“แล้วไม่ดีหรือคะคุณพี ลูกหลานคืนดีกัน พ่อแม่ ลุงป้าน้าอา สมควรจะดีใจ”
การะเกดเอ่ยขณะเดินมานั่งบนโซฟาใกล้ๆ กับสามีและบุตรสาว เด็กรับที่เดินตามเธอมาวางถาดชาลงบนโต๊ะแล้วรีบกลับออกไป
“คุณมาพอดี กำลังนึกอยู่ว่า ทำไมปล่อยให้ลูกนั่งอยู่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน ตาหม่อนก็อยู่ด้วย”
พีรพัฒน์มองหน้าภรรยาตาขุ่น แทบจะค้อน แอบคิดอยู่คนเดียวในใจว่า ที่ถามก็เพราะภาณินอยู่ตรงนี้ด้วยนี่แหละ ไม่งั้นคงไม่ต้องเป็นห่วง
“แขกกลับไปแล้วหรือคะพ่อ”
“ลูกรู้ด้วยเหรอ?”
“เห็นตอนเดินเข้าไปในห้องน่ะค่ะ”
“เขาพาลูกสาวมาขอโทษ แต่ตอนนี้พ่อยังไม่อยากให้ใครมากวนลูก เลยให้พวกเขากลับไป” บิดาผู้แสนจะหวงลูกสาวปรายตามองไปทางภาณิน บอกเป็นนัยว่า ที่พูดน่ะ ‘รวมถึงเขาด้วย’ ชายหนุ่มรู้ทั้งรู้ แต่ยังยิ้มไขสือ
“มาก็ดีแล้ว อามีเรื่องจะคุยด้วย ขึ้นไปคุยกันบนห้องทำงานอาดีกว่า”
กีรณาขยับปากจะพูดอะไรบ้างอย่าง คงอยากถามบิดาว่าจะคุยเรื่องอะไรกับภาณิน แต่ถูกมารดาขยิบตาห้ามไว้เสียก่อน
ภาณินจึงลุกขึ้นเดินตามพีรพัฒน์ จนกระทั่งมานั่งหลังตรงไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงหน้าท่านในเวลานี้
“ก่อนอาจะพูด เรามีอะไรอยากอธิบาย ก็ว่ามา?”
ท่าทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของพีรพัฒน์ ยามอยู่ต่อหน้าภรรยาและบุตรสาว กับตอนที่อยู่กันตามลำพังกับเขาในตอนนี้ ทำเอาภาณินมองเพื่อนของบิดาอย่างนึกทึ่งๆ ในความน่าเกรงขาม
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าอาพีคงได้ยินจากฟ้าใสไปหมดแล้ว”
“เรื่องนั้นอาต้องขอบใจหม่อนที่ไม่ทิ้งน้อง รีบตามเข้าไป จนติดอยู่ในป่าด้วยกัน” ที่แท้ สาเหตุที่พีรพัฒน์ไม่ได้ต่อว่าภาณินตั้งแต่แรก เพราะท่านกำลังนึกขอบใจบุตรชายของเพื่อนรักนั่นเอง
“หม่อนไม่มีวันทิ้งทิวลิปอยู่แล้วครับอาพี เรื่องที่อยากเรียนอาก็คือ หม่อนกับทิวลิป เราปรับความเข้าใจกันแล้ว และตกลงกันว่าเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“เหมือนเดิมแบบไหน พี่น้อง หรือว่า เพื่อน” รู้ทั้งรู้ว่าที่ภาณินพูดเขาหมายถึงอะไร แต่พีรพัฒน์ก็ยังแกล้งถาม
“ทั้งสองอย่าง หรืออาจจะ.....มากกว่านั้น”
ภาณินคิดในใจว่า ในเมื่ออาพีของเขาเปิดโอกาสให้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม จะออกหัวออกก้อย ก็ให้รู้กันไปเลยในคราวนี้
“มากกว่านั้นน่ะมันแค่ไหน” ผู้อาวุโสกว่าถามหยั่งเชิง แอบคิดอย่างชื่นชมว่า ลูกชายของเจ้าภูเพื่อนรัก ช่างใจกล้ากว่าที่คิด กล้าพูดตรงๆ ไม่กลัวตายแบบนี้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“ถ้าอาพีอนุญาต จากนี้ไปหม่อนขอจะกลับมาดูแลทิวลิปครับอา”
“แน่ใจแล้วรึ?”
“แน่ใจมานานแล้วครับ หม่อนทำตามที่อาพีเคยบอก ว่าแน่ใจตัวเองเมื่อไหร่แล้วค่อยกลับมา ตอนนี้หม่อนแน่ใจแล้วว่ารัก และอยากดูแลทิวลิปตลอดไป หม่อนจึงมาเรียนอาพีด้วยตัวเอง”
“แล้วคุยกับพ่อแม่เราหรือยัง” พีรพัฒน์ถามทั้งรู้คำตอบ ครอบครัวของภูวิชเลี้ยงลูกมาแบบอิสระ มีอะไรก็เปิดใจคุยกันทุกเรื่อง เขาจึงรู้ว่าภูวิชรู้ทุกเรื่องของบุตรชายมาโดยตลอด
“คุยแล้วครับ พ่อบอกว่า พ่อจะไม่ช่วยพูด หม่อนต้องมาคุยกับอาพีเอง ถ้าอาพีตกลง ก็จะมาสู่ขอ ด้วยตัวเอง”
“กลัวหน้าแตกละสิ ถึงได้ไม่ยอมออกหน้า เฮอะ! ไอ้เพื่อนเวร” พีรพัฒน์เอ่ยแล้วหัวเราะออกมา ภาณินจึงใจชื้นขึ้นเป็นกอง หนทางระหว่างเขากับกีรณาเริ่มเปิด
“ตกลงว่า อาพี....” ชายหนุ่มพยายามจะหยั่งเชิง
“แน่ใจนะ ว่าเราจะไม่ทำให้อาผิดหวัง” คำตอบถามของพีรพัฒน์ คือคำตอบที่ทำให้ภาณินยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“รับรองด้วยชีวิต และเกียรติของพ่อเลยครับ ขอบคุณครับอาพี”
“เอ้อ ดี! เรื่องของตัวเอง แต่เอาเกียรติพ่อมารับรอง ท่าจะกะล่อนไม่เบานะเรา แบบนี้อาจะเชื่อใจเราดีไหมนี่”
“เกียรติของพ่อน่าเชื่อถือกว่าหม่อนนะครับอา” คำยกยอบิดาของภาณิน ทำให้พีรพัฒน์ขำจนหัวเราะ ปากคอมันร้ายสมเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักเขาจริงๆ
“แต่ยังไงก็ตาม อายังอยากให้เรารอไปก่อน น้องยังเด็ก แล้วก็ยังเรียนไม่จบ” พีรพัฒน์หยุดหัวเราะ แล้วกลับมาพูดเข้าเรื่องอย่างจริงจัง
“หม่อนยินดีรอ แต่อยากขอความกรุณาอาพี ให้เราหมั้นกันไว้ก่อน”
“ทำไม? หรือว่ากลัวอาเปลี่ยนใจไม่ยกน้องให้เรา” บุรุษมากอาวุโสมองคนอ่อนกว่าอย่างสงสัย ทำไมต้องรีบขนาดนั้น
“เปล่าครับ แต่พอดีมีอีกเรื่องที่หม่อนจะเรียนให้อาทราบ”
“เรื่องอะไร?”
“ทีมงานวิจัยเสนอชื่อทิวลิปให้ได้รับทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา อีกไม่นานผลคงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ หม่อนเลยเรียนอาพีไว้ก่อน ”
“แน่ใจนะ ว่าเราไม่ได้ใช้เส้นพาน้องไปเรียนที่โน่น”
“ไม่ใช่เลยครับ ทิวลิปเก่งอยู่แล้ว ผลการเรียนโดดเด่น ทำงานก็คล่องแคล่ว เราพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่างครับอา”
“อาแซวเล่น เป็นอันที่จริงต้องถือเป็นเรื่องดี อาดีใจที่ได้ยินว่าน้องเก่ง แต่ว่าจะไปไกลถึงอเมริกา อาอดยังเป็นห่วงไม่ได้”
“ที่โน่นมีหม่อนกับไหม แกรนปา แกรนมา ก็อยู่ด้วย อาพีไม่ต้องเป็นห่วง เวลาสองปีแป๊บเดียวก็กลับมาแล้วครับอา”
“อาก็ยังอดคิดถึงไม่ได้อยู่ดี แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเขานั่นล่ะ ถ้าเขาจะไป อาก็ไม่ห้าม”
“ขอบคุณครับ ถ้างั้น ผลออกมาแล้ว หม่อนจะมาเรียนให้ทราบอีกครั้ง”
“อื้ม เราออกไปข้างนอกกันได้แล้วล่ะ ป่านนี้สองแม่ลูกคงอยากรู้กันแย่แล้วว่าเราคุยอะไรกัน”
สองอาหลานพากันออกจากห้อง แล้วเดินกลับไปห้องนั่งเล่น ท่าทีพูดคุยสนิทสนมเมื่อครู่ ถูกกลบทับด้วยท่าทางปึ่งของพีรพัฒน์ สองแม่ลูกจึงกันมองชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาด้วยสายตาเป็นห่วง
“ขอตัวกลับก่อนนะครับอาพี อาเกด” ภาณินบอกลาขึ้นมาดื้อๆ
การะเกดมองหน้าสามี แล้วหันมาถามภาณิน “อ้าว? แล้วไม่อยู่ทานข้าวกันก่อนหรือตาหม่อน”
“คุณแม่กับคุณพ่อรออยู่ที่บ้านครับอาเกด ขอเป็นโอกาสหน้านะครับ” ภาณินหันไปทางกีรณา บอกลาเธอสั้นๆ แล้วเดินจากไป
กีรณามองชายหนุ่มที่เดินกลับออกไปสลับกับหน้าของบิดา ในดวงตาเหมือนมีคำถาม
“ไม่ต้องมามองพ่อ พ่อไม่ได้ไล่มันกลับไปเสียหน่อย”
“แล้วทำไมหลานถึงรีบกลับ ล่ะคุณพี” การะเกดเหมือนไม่เชื่อคำปฏิเสธของสามี
“คงมีอะไรต้องไปสะสางละมั้ง คุณก็เป็นห่วงไปได้”
“คุณพีทำท่าน่ากลัวขนาดนี้ จะไม่ให้ห่วงตาหม่อนได้ยังไง”
“ดูเอาเถอะ ไม่ทันไรก็เป็นห่วงว่าที่ลูกเขยจนออกนอกหน้าเสียแล้ว! ผมหลบไปอ่านหนังสือดีกว่า” พูดจบพีรพัฒน์ก็เดินออกจากห้องไปอีกคน ปล่อยให้ภรรยาและบุตรสาวมองหน้ากันตาตื่น ตกใจกับคำที่พีรพัฒน์ใช้เรียกภาณิน ว่าที่ลูกเขย
-------------------------------------
(ยังมีต่อ)