เร้นรัก กามเทพ บทที่ 3

กระทู้สนทนา
เรื่องโดย นิลวนา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที 3


เข็มนาฬิกาบอกเวลาใกล้แปดโมงเช้า ร่างโปร่งบางในชุดนักศึกษาก้าวลงจากรถยนต์ของตน แล้วเดินเข้าไปภายในตึกเรียนอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องชะงักเท้าลงอย่างกะทันหันเมื่อสายตาของเธอไปสะดุดเข้ากับปลายเท้าของใครบางคนที่ก้าวเข้ามาดักหน้าโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว กีรณาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย สีหน้าที่ดูจะจืดเจื่อนในตอนแรกพลันมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อยเมื่อคนที่เข้ามาขวางทางไม่ใช่คนที่เธอนึกกลัว กีรณาถอนใจอย่างโล่งอก

“นายตฤณ! พรวดพราดเข้ามาขวางทางแบบนี้ ตกใจหมด” กีรณาต่อว่า ตบอกปลอบใจตัวเองเบาๆ อย่างตั้งสติแล้วเดินต่อ

“ตกใจทำไม เมื่อวานก็บอกไว้แล้วนี่ว่าจะมา” ตฤณพูดพลางคว้าหนังสือในมือกีรณามาถือไว้แทน แล้วเดินตามหญิงสาวเพื่อไปส่งเธอยังห้องเรียน

“ก็นายเล่นโผล่พรวดมาแบบนี้ ใครบ้างจะไม่ตกใจ” หญิงสาวตอบขณะเสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนรอยพิรุธในใจ ทว่าตฤณคุ้นเคยกับกีรณามาตั้งแต่เกิดมีหรือที่เขาจะมองเธอไม่ออก

“ตกใจหรือว่ากลัว เราว่าหน้าตาเธอมันบอกว่ากำลังกลัวมากกว่านะ”

จู่ๆ กีรณาก็หยุดเดินกะทันหันแล้วหันกลับมาเผชิญหน้าจ้องตาอีกฝ่ายสายตาขุ่น ตฤณที่กำลังเดินตามเธอในระยะประชิด ตกใจจนหยุดเดินแทบไม่ทัน

“ตกลงว่านายเรียนสาขาวิศวะ หรือโหราศาสตร์กันแน่ ห๊ะ? ”

“อีแค่สังเกตสีหน้าคน มันต้องเรียนเป็นหมอดูเลยรึไง ถามจริง ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าสีหน้าเธอมันอ่านง่ายแบบสุดๆ” ตฤณหยิกแก้มใสของหญิงสาวเบาๆ เป็นเชิงหยอก กีรณาปัดมือเขาออก แล้วถลึงตาใส่

“ให้มันน้อยๆ หน่อย หน้าฉันมันไปบอกอะไรนายไม่ทราบ”

“ก็บอกว่า เธอกำลังกลัวไง เธอกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคน”

“พูดไปเรื่อย นายนี่นับวันก็ยิ่งพูดมาก ไร้สาระ น่ารำคาญชะมัด”  กีรณาหันกลับแล้วก้าวเท้าเดินเร็ว คล้ายว่าเธอกำลังหนีจากอะไรบางอย่าง โดยมีตฤณคอยเดินตามต้อยๆ ปากก็พร่ำพูดไปเรื่อยอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“ที่พูดก็เพราะว่าเราเป็นห่วง ถ้าไม่ห่วงเราจะพูดให้เธอรำคาญทำไม”

“อย่างเราจะมีอะไรให้ห่วง”

“เยอะแยะ ไม่เชื่อไปถามอาพีได้เลย”

“เชอะ! ทำเป็นอ้างพ่อ แล้วนี่นายมารอนานหรือยัง”

“ซักพัก แล้วเธอกินข้าวเช้ามารึยัง ถ้ายังเดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน”

“เรียบร้อยแล้ว ขอบใจ แล้วนี่นายไม่ไปเรียนเหรอ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องเข้าเรียนแล้ว ยังจะมายืนเตร่แถวนี้อีก ตึกนายก็อยู่ตั้งไกล”

“ไกลทีไหน ส่งเธอเข้าห้องเรียนแล้วค่อยวิ่งกลับไป ระยะทางแค่นี้ จิ๊บๆ” ตฤณจีบปลายนิ้วประกอบ ยิ้มร่าเริงจนน่าหมั่นไส้

กีรณาหยุดเดินเมื่อมาถึงที่หน้าลิฟต์ พร้อมกันนั้นก็ยื่นมือออกไปรับหนังสือคืนจากชายหนุ่ม

“นายนี่มันเพี้ยนจริงๆ รีบกลับคณะตัวเองไปได้แล้ว เดี๋ยวก็เข้าห้องสายเช็คชื่อไม่ทันพอดี”

“เรื่องเล็กน้อย เราส่งเธอถึงห้องแล้วค่อยกลับไปเรียน ยังไงก็ทัน”

“ไม่ต้องเลย ขึ้นลิฟต์ไปอีกนิดเดียวก็ถึงห้องเรียนเราแล้ว นายนั่นแหละที่ต้องรีบไป”

“แต่ว่าเรา....”

“ถ้านายไม่ไป งั้นต่อไปก็ไม่ต้องมาแล้ว” ไม้นี้ของกีรณาไม่เคยพลาด ยกมาใช้คราวใดจอมตื๊อตัวพ่ออย่างตฤณจำต้องยอมแพ้ และทำตามอย่างว่าง่ายเสียทุกครั้ง

“ไปก็ไป แต่ว่าเที่ยงนี้รอเราด้วยนะ เดี๋ยวเรามากินข้าวด้วย”

“ตามใจนาย แต่อย่าช้าละกัน ขี้เกียจหิ้วท้องรอ ไปล่ะ”

ตฤณพยักหน้ารับปาก แล้วส่งหนังสือคืนให้กีรณา ก่อนจะมองตามร่างหญิงสาวที่เดินลับหายเข้าไปในลิฟต์

กีรณาเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในลิฟต์แล้วยื่นมือไปกดเลขชั้น ทว่าดูเหมือนใครบางคนกดเลขนั้นเอาไว้แล้ว

ประตูลิฟต์เลื่อนปิดจนสนิท  พร้อมกันนั้นเสียงทุ้มอันคุ้นหูพลันดังขึ้นฟังดูคล้ายจะถากถาง “ที่เมื่อวานไม่ยอมคุยกับพี่ ที่แท้ก็เพราะก็มีหนุ่มๆ มาคอยตามเฝ้าเช้าถึงเย็นถึงแบบนี้นี่เอง” คนพูดเอ่ยพร้อมกับชำเลืองมองมายังเธอ ก่อนที่สายตาคู่คมจะตวัดสายตากลับจนเกือบจะกลายเป็นค้อน

ร่างบางหันขวับไปมองหน้าเจ้าของเสียงแบบชัดๆ ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง พร้อมกับสติสตังที่กระจัดกระจายแล่นหายไปจากการควบคุม

กีรณารีบดึงสติกลับคืน บอกกับตัวเองว่าเธอต้องพาตัวเองออกไปจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด มือเรียวจึงเอื้อมมือไปเพื่อกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ ทว่าภาณินกลับยื่นมือเข้ามาขวาง แล้วชิงกดปุ่มหยุด แล้วล็อคลิฟต์เอาเสียดื้อๆ

กีรณาจ้องมองมือที่ยังวางค้างอยู่บนบนแผงควบคุมจนตาค้าง ก่อนจะหันขวับมามองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกจนสุดระงับ

“นี่... คุณทำอะไร?” เสียงหวานตะกุกตะกักถามอย่างสั่นเครือ ค่อยๆ ก้าวเท้าถอยไปจนหลังพิงเข้ากับผนังลิฟต์ กีรณาสะดุ้งเฮือก เหลียวมองกำแพงด้วยแววตาระแวดระวังก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเขาแบบกลัวๆ มือบางกอดหนังสือไว้กับอกแน่นราวกับจะหาที่พึ่ง

“ก็... หยุดลิฟต์ไง”

ชายหนุ่มหันมาสบตาเธอพร้อมกับตอบคำถามแบบกวนๆ กีรณามองหน้าเขา พยายามประเมิณสถานการณ์ ทว่าในสภาวะกดดันแบบนี้สมองเธอมีแต่จะสับสน หญิงสาวสูดลมหายใจลึกข่มความวิตกกังวล ตัดสินใจจ้องตาเขาตอบ แววตาวิบวับอย่างจะเอาเรื่อง

“รู้แล้ว แต่ว่าคุณหยุดลิฟต์ทำไม”

“เพราะเรามีเรื่องต้องคุยกัน” เขาตอบชัดถ้อยชัดคำขณะเคลื่อนกลายเข้าไปใกล้ ใช้สายตาคมพินิจพิเคราะห์สำรวจเธออย่างเต็มที่

“แต่ฉันไม่มี”

“งั้นก็แค่ฟังพี่อธิบาย”

กีรณาเบียดร่างเข้าหาผนังแล้วพบว่าเบื้องหลังไม่มีทางให้เธอถอยอีกต่อไป เธอจึงเริ่มเอาเสียงดังเข้าข่ม

“ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น คุณอย่าเข้ามานะ ไม่งั้นจะร้องให้คนช่วย”

ระยะห่างระหว่างสองร่างเหลือน้อยกว่าหนึ่งคืบ เมื่อภาณินยกมือขึ้นยันผนังกักกันร่างบางเอาไว้กับมุมลิฟต์ มิหนำซ้ำยังก้มหน้า  ลงมากระซิบที่ริมหูราวกับจะแกล้ง

“ก็เอาสิ ร้องเลย  ร้องดังๆ ยิ่งดี แต่พี่ว่ามันคงจะยากหน่อยนะ” ชายหนุ่มเหลือบตามองสำรวจตัวลิฟต์ แล้วกระซิบต่อไปว่า “เพราะถ้าจำไม่ผิด ลิฟต์รุ่นนี้มันเก็บเสียงได้ดีเชียวล่ะ”

กีรณาตกใจจนหน้าซีด ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ในสมองโลงว่างขาวโพลนไปหมด หญิงสาวพยายามเบี่ยงหน้าหนีพร้อมกับยกมือบางขึ้นยันที่อกหนา ทว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดบวกกับความตกใจ ไหนเลยจะผลักไสร่างสูงให้ออกห่างได้ดังใจ

ดวงหน้างามนวลใสกระจ่างตาเผือดสีลงยิ่งกว่าเดิมเมื่อใบหน้าคมคามลอยเด่นเข้าใกล้มาอยู่ตรงหน้า กีรณาใจสั่น ดวงตาประดุจดาวฉายแววหวาดหวั่นจนปิดไม่มิด ภาณินพิศดูใบหน้าสวยในระยะใกล้แล้วให้นึกเอ็นดูระคนสงสาร เพราะห้ามใจไม่อยู่ยิ้มละไมพลันฉาบฉายบนใบหน้าคมเข้ม หัวใจหนุ่มจู่ๆ ก็ฟูฟ่อง เต้นแรงจนแม้แต่ตัวเขาเองยังอดแปลกใจไม่ได้

กีรณาที่ก่อนหน้าแสดงท่าแกร่งกล้า ไม่แยแสต่อเขาสักนิด แถมยังมองเขาเหมือนอากาศธาตุ ยามนี้ถูกเขาไล่ต้อนจนมุมตกใจจนหน้าซีด ภาณินเผลอมองเธอนิ่งๆ อยู่ชั่วอึดใจ ครั้นเมื่อรู้ตัวเขากลับไม่อยากถอนสายตาจากเธอไปเสียกระนั้น

ท่าทางประหวั่นพรั่นพรึงของกีรณา ภาณินเห็นแล้วก็สงสาร แต่อารมณ์อยากแกล้งเธอกลับมีอิทธิพลเหนือกว่า ชายหนุ่มแสร้งทำตาวิบวับ ทั้งยังส่งยิ้มกวนอารมณ์ ยั่วยุจนกีรณาโมโหหนักแต่กลับไม่อาจทำอะไร ด้วยจำกัดซึ่งพื้นที่รอบๆ ตัว ที่หากเธอขยับกายเพียงนิดร่างหนาก็จะยิ่งแนบชิดกับร่างบางของเธอมากขึ้น

ภาณินแกล้งเบียดเข้าหาร่างบางที่จนมุมอย่างจงใจ กีรณาทำได้แค่เพียงกระถดหนี บดเบียดแผ่นหลังฝังร่างตัวเองเข้ากับผนังลิฟต์จนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน ดวงตางามช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าคมด้วยสีหน้าขุ่นเคืองผสมเคืองแค้น

“คุณจะทำอะไร! ถอยไปเลยนะ!”

“ก็บอกแล้วว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”

“ฉันก็บอกคุณไปแล้วเหมือนกัน ว่าไม่มีอะไรจะคุย”

“คำหนึ่งก็ฉัน สองคำก็คุณ ฟังแล้วไม่รื่นหูเลย พี่ชอบให้ทิวลิปเรียกพี่ว่าใบหม่อนเหมือนเดิมมากกว่า แล้วก็เลิกทำท่าทางห่างเหินไม่สนใจพี่เสียที แบบนั้นมันไม่น่ารักเลยรู้ไหม?” ภาณินเหมือนจะหลุดการควบคุมนิ้วเรียวยกขึ้นไล้แก้มนวลเบาๆ ราวกับจะหยอกล้อ กีรณาเบือนหน้าหนี แต่ระยะห่างเพียงน้อยนิดไหนเลยจะเลี่ยงพ้นสัมผัสแผ่วเบาชวนให้ขนลุกเกรียวของคนขี้แกล้ง

“นี่! มันจะมากไปแล้วนะ! คุณถือสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้”

“เผลอแป๊บเดียว ทิวลิปก็โตขึ้น แถมยังสวยขนาดนี้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรื่อยๆ คล้ายละเมอ นัยน์ตาคมเชี่อมฉ่ำไล่ละมองไปเรื่อย ร่างบางที่ติดค้างอยู่ในวงแขนกักกันพลันขนรุกเกรียวกราว

“หยุดพูดจาไร้สาระ แล้วปล่อยฉันออกไปได้แล้ว”

“พี่บอกแล้วไงว่า เราต้องคุยกัน แล้วก็เลิกแทนตัวเองว่าคุณว่าฉันเสียที พี่ไม่ชอบ”

“ชอบไม่ชอบก็เรื่องของคุณ ฉันจะเรียกยังไงมันก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่ง” เธอทุ่มเถียงต่อปากกับเขาเสียงขุ่นระคนสั่นเครือ ฟังดูก็รู้ว่าหญิงสาวกำลังพยายามสะกดอารมณ์เต็มที่

ภาณินอมยิ้ม พอใจกับท่าทางแสนงอนของหญิงสาว เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนเวลาที่เธองอนก็มักจะทำอาการเชิดหน้าท้าทายแบบนี้อยู่บ่อยๆ นั่นก็หมายความว่า กีรณาคนเดิมยังไม่ได้หายไปเสียทีเดียว

“ตกลงว่าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย”

“พี่จะปล่อย ถ้าทิวลิปสัญญาว่าจากนี้ไป เราคุยกันแบบดีๆ ไม่ใช้อารมณ์” เสียงทุ้มทอดอ่อน กีรณาสัมผัสได้ถึงลมเบาๆ ที่สัมผัสริมหู หญิงสาวพยายามจะพลิกหน้าหนี เป็นเหตุให้จมูกโด่งไล้เบาๆ ที่แก้มนวลอย่างไม่ตั้งใจ

“คุณ!”

“พี่เปล่านะ ทิวลิปหันแก้มมาชนจมูกพี่เองต่างหาก”

ภาณินพูดโบ้ยได้อย่างหน้าตาเฉย นัยน์ตาวิบวับราวกับเพิ่งเจอเรื่องถูกใจ หญิงสาวได้แต่ทำตาโตจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

“คนฉวยโอกาส”

ใบหน้าคมอมยิ้มบ่งบอกถึงความพึงใจ สมใจบางอย่าง เพียงแวบเดียวก็เปลี่ยนเป็นพูด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พี่ไม่เคยคิดว่าเราสองคนจะกลายเป็นแบบนี้ แล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาจะทำให้ทิวลิปเปลี่ยนไป” ภาณินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ก่อนจะถามเธออีกครั้งแบบจริงจัง “พี่ไม่ใช่ใบหม่อนของทิวลิปอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?”

กีรณาไม่ตอบ บรรยากาศรอบตัวช่างเงียบขรึม อึมครึมและกดดัน ผ่านไปเป็นครู่กว่าที่กีรณาจะเอื้อนเอ่ยทำลายความเงียบ

“เกือบได้เวลาเรียนแล้ว จะปล่อยได้หรือยัง?”

ร่างสูงส่งเสียงหึขึ้นคราหนึ่ง ติดตามมาด้วยเสียงถอนหายใจยาว

“ถ้าพี่ไม่ยอมปล่อย?” เขาถามคล้ายจะหยั่งเชิง ดวงตาคมหรี่มองเธออย่างคาดหวังอะไรบางอย่าง

“จะบ้าเหรอ นี่มันลิฟต์สาธารณะนะ จะมากดหยุดตามอำเภอใจได้ยังไง” หญิงสาวเริ่มโวยวาย

“พี่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถ้าทิวลิปไม่รับปาก พี่ก็ไม่ปล่อย อยู่มันไปทั้งวันแบบนี้แหละ”

“แน่ใจนะ?” เสียงใสย้ำถาม ดวงหน้าอ่อนใสคล้ายจะมีแผน

ภาณินยักคิ้วแพล่บ จ้องดวงหน้าสวยไม่วางตา ทว่าเพียงเสี้ยววินาที เท้าเรียวเล็กพลันกระทืบลงที่ตำแหน่งเดิม จุดเดียวกับเมื่อวานไม่คลาดเคลื่อนสักนิด แต่ดูเหมือนเป้าหมายจะระวังตัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มยกเท้าหลบได้อย่างทันท่วงที ใบหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มพราย บอกเป็นนัยว่าครั้งนี้เขารู้ทันเธอ

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้ เป้าหมายที่แท้จริงของกีรณาหาใช่หลังเท้าของเขา เข่าเล็กๆ ของหญิงสาวยกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งตรงไปที่กลางลำตัวของร่างสูงชนิดไม่ยอมให้พลาดเป้า

“อุ๊ก!”

เป็นปฏิบัติการณ์ที่เฉียบพลันในระยะหวังผล ร่างสูงถึงกับจุกจนตัวงอ คู้ร่างกุมท้องตัวเองแน่น พูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ  กีรณาฉวยโอกาสนั้นเบี่ยงตัวหนีแล้วเอื้อมปลดล็อคพร้อมกับเปิดประตูลิฟต์ ร่างบางก้าวพ้นออกจากลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนเธอรู้สึกเหนื่อยหอบ แต่ยังไม่วายหันมาส่งสายตาเยาะเย้ย ทั้งส่งเสียงใสลอยหน้าลอยตากล่าวทิ้งท้าย วาจาถากถางชวนให้หมั่นไส้

“ลูกเล่นแค่นี้… คิดเหรอว่าฉันจะกลัว คงจะลืมไปแล้วกระมังว่าฉันลูกใคร ไปก่อนนะคะ คุณอาจารย์”

“ดะ... เดี๋ยวก่อน ทิวลิป... โธ่โว้ย! เด็กบ้านี่ แสบจริงๆ เลย”

ภาณินสบถถ้อยคำ มือหนายังคลำท้องตัวเองป้อยๆ พร้อมกับส่ายศีรษะแรงๆ นึกไม่ถึงว่ากีรณาจะกล้าทำรุนแรงกับเขาถึงเพียงนี้ เมื่อวานกระทืบเท้า วันนี้หลอกล่อใช้เข่ากระทุ้งท้อง แล้วถ้าเขายังใช้วิธีดึงดันตามพูดตามคุยตามอธิบายกับเธอแบบนี้ต่อไป อนาคตจะต้องเจอกับอะไรชายหนุ่มยังไม่อยากจะคาดเดา

(ยังมีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่