ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนถ้วยดื่มสำริดมีเครื่องดื่มใส่อยู่แล้วชนิดหนึ่ง๒
สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่. ครั้งนั้น มีบุรุษ
ผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังร้อนจัด มีความร้อนระอุไปทั้งตัว เหน็ดเหนื่อย คอแห้ง
ระหายน้ำ มาถึงเข้า. คนทั้งหลาย บอกแก่บุรุษนั้นว่า “นี่แน่ท่านผู้เจริญ, ถ้วยดื่ม
สำริดใบนี้ มีเครื่องดื่มสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส เปิดโอกาสสำหรับท่าน ;
แต่ว่ามันมียาพิษปนติดอยู่. ถ้าหากท่านต้องการดื่มก็ดื่มได้, เมื่อท่านกำลังดื่ม
จักติดใจมัน ด้วยสีของมันบ้าง ด้วยกลิ่นของมันบ้าง ด้วยรสของมันบ้าง ;
แต่ว่า ครั้นดื่มแล้ว ท่านจักถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะเหตุ
นั้น” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ทีนั้น ความคิดก็จะพึงเกิดขึ้นแก่บุรุษนั้นว่าอย่างนี้ว่า
“ความกระหายในเครื่องดื่มเลิศรสปนพิษของเรานี้อาจจะดับเสียได้ ด้วยน้ำเย็น
หรือด้วยหางนมเปรี้ยว หรือด้วยเครื่องดื่มชื่อมัฏฐโลณิกะ๓ หรือด้วยเครื่องดื่ม
ชื่อโลณโสจิรกะ๔; เราไม่บังควรที่จะดื่มน้ำนั้น อันเป็นไปเพื่อทุกข์ไม่เป็นประโยชน์
เกื้อกูลแก่เรา ตลอดกาลนาน” ดังนี้. บุรุษนั้น ได้พิจารณาถ้วยดื่มสำริดนั้นแล้ว
ก็ไม่ดื่ม และวางเสีย, บุรุษนั้น จึงไม่ถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียน
ตาย เพราะเหตุนั้น ฉันใด ;
ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์พวกใด ในกาลอดีตก็ตาม, ในกาล
อนาคตก็ตาม, ในกาลบัดนี้ก็ตาม, ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ได้เห็นสิ่งอันเป็นที่รัก
ที่สนิทใจในโลก โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น
อนัตตา โดยความเป็นของเสียบแทง โดยความเป็นของน่ากลัว ; สมณะหรือ
พราหมณ์พวกนั้น ได้ละตัณหาเสียแล้ว. พวกใดได้ละตัณหาเสียแล้ว พวกนั้น
ได้ละอุปธิแล้ว. พวกใดได้ละอุปธิแล้ว พวกนั้น ได้ละทุกข์แล้ว. พวกใดได้
ละทุกข์แล้ว พวกนั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากความเกิด ความแก่ ความตาย
ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;
เราตถาคต ย่อมกล่าวว่า “พวกเหล่านั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากทุกข์” ดังนี้แล.
๑. บาลี พระพุทธภาษิต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๕/๒๖๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.
๒. เป็นภาชนะพิเศษเรียกว่า อาปานิยกังสะ ซึ่งเรายังเข้าใจไม่ได้ว่าในบัดนี้ได้แก่ภาชนะเช่นไร.
๓. มัฏฐโลณิกะ เป็นน้ำของขนมเหลว ๆ ชนิดหนึ่ง ใส่เกลือ.
๔. โลณโสจิรกะ เป็นซุปที่ต้มขึ้นด้วยธัญญชาติ ด้วยผลไม้ ด้วยเหง้าใต้ดิน แล้วใส่เกลือ.
ผู้เว้นยาพิษในโลก(พระสูตร)
สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่. ครั้งนั้น มีบุรุษ
ผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังร้อนจัด มีความร้อนระอุไปทั้งตัว เหน็ดเหนื่อย คอแห้ง
ระหายน้ำ มาถึงเข้า. คนทั้งหลาย บอกแก่บุรุษนั้นว่า “นี่แน่ท่านผู้เจริญ, ถ้วยดื่ม
สำริดใบนี้ มีเครื่องดื่มสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส เปิดโอกาสสำหรับท่าน ;
แต่ว่ามันมียาพิษปนติดอยู่. ถ้าหากท่านต้องการดื่มก็ดื่มได้, เมื่อท่านกำลังดื่ม
จักติดใจมัน ด้วยสีของมันบ้าง ด้วยกลิ่นของมันบ้าง ด้วยรสของมันบ้าง ;
แต่ว่า ครั้นดื่มแล้ว ท่านจักถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะเหตุ
นั้น” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ทีนั้น ความคิดก็จะพึงเกิดขึ้นแก่บุรุษนั้นว่าอย่างนี้ว่า
“ความกระหายในเครื่องดื่มเลิศรสปนพิษของเรานี้อาจจะดับเสียได้ ด้วยน้ำเย็น
หรือด้วยหางนมเปรี้ยว หรือด้วยเครื่องดื่มชื่อมัฏฐโลณิกะ๓ หรือด้วยเครื่องดื่ม
ชื่อโลณโสจิรกะ๔; เราไม่บังควรที่จะดื่มน้ำนั้น อันเป็นไปเพื่อทุกข์ไม่เป็นประโยชน์
เกื้อกูลแก่เรา ตลอดกาลนาน” ดังนี้. บุรุษนั้น ได้พิจารณาถ้วยดื่มสำริดนั้นแล้ว
ก็ไม่ดื่ม และวางเสีย, บุรุษนั้น จึงไม่ถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียน
ตาย เพราะเหตุนั้น ฉันใด ;
ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์พวกใด ในกาลอดีตก็ตาม, ในกาล
อนาคตก็ตาม, ในกาลบัดนี้ก็ตาม, ก็ฉันนั้นเหมือนกัน : ได้เห็นสิ่งอันเป็นที่รัก
ที่สนิทใจในโลก โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น
อนัตตา โดยความเป็นของเสียบแทง โดยความเป็นของน่ากลัว ; สมณะหรือ
พราหมณ์พวกนั้น ได้ละตัณหาเสียแล้ว. พวกใดได้ละตัณหาเสียแล้ว พวกนั้น
ได้ละอุปธิแล้ว. พวกใดได้ละอุปธิแล้ว พวกนั้น ได้ละทุกข์แล้ว. พวกใดได้
ละทุกข์แล้ว พวกนั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากความเกิด ความแก่ ความตาย
ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;
เราตถาคต ย่อมกล่าวว่า “พวกเหล่านั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากทุกข์” ดังนี้แล.
๑. บาลี พระพุทธภาษิต นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๕/๒๖๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.
๒. เป็นภาชนะพิเศษเรียกว่า อาปานิยกังสะ ซึ่งเรายังเข้าใจไม่ได้ว่าในบัดนี้ได้แก่ภาชนะเช่นไร.
๓. มัฏฐโลณิกะ เป็นน้ำของขนมเหลว ๆ ชนิดหนึ่ง ใส่เกลือ.
๔. โลณโสจิรกะ เป็นซุปที่ต้มขึ้นด้วยธัญญชาติ ด้วยผลไม้ ด้วยเหง้าใต้ดิน แล้วใส่เกลือ.