แนวทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอุบาลี

แนวทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอุบาลี

ภิกษุผู้มีสติควรรู้ตัวในทุกการเคลื่อนไหวและการกระทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับ การมอง การเหลียว การคู้แขนขา การเหยียดออก การถือจีวร บาตร และสังฆาฏิ การกิน การดื่ม การเคี้ยว การชิมรส แม้กระทั่งการขับถ่าย การยืน เดิน นั่ง นอน ตื่น การพูด หรือการนิ่งเงียบ ก็ล้วนต้องมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ

เมื่อภิกษุประกอบด้วยศีลอันประเสริฐ มีการสำรวมอินทรีย์อันประเสริฐ และมีสติสัมปชัญญะอันประเสริฐแล้ว ย่อมชอบอยู่ในที่สงัด เช่น ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่ารกชัฏ ที่แจ้ง หรือลอมฟาง หรือแม้แต่เรือนว่างเปล่า เพื่อเป็นที่หลีกเร้นสงบสงัด เมื่ออยู่เช่นนั้นภิกษุจะนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง รักษาสติเฉพาะหน้า

เมื่อปฏิบัติอยู่เช่นนี้ ภิกษุย่อมละความโลภในโลก มีจิตปลอดโปร่ง ไม่ถูกความอยากครอบงำ ชำระจิตให้สะอาดจากความโลภได้ ย่อมละความพยาบาท ไม่คิดประทุษร้ายต่อใคร มีความกรุณา หวังประโยชน์และความเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง ทำให้จิตสะอาดจากพยาบาท ย่อมละความง่วงเหงาเซื่องซึม มีใจผ่องใส ไม่ตกอยู่ในถีนมิทธะ ตั้งใจในความสว่าง มีสติสัมปชัญญะ ชำระจิตให้สะอาดจากความง่วงเหงา ย่อมละความฟุ้งซ่านและความรำคาญใจ มีจิตสงบเป็นหนึ่งภายใน ไม่ว้าวุ่น ชำระจิตจากความฟุ้งซ่านได้ ย่อมละความลังเลสงสัย มีศรัทธามั่นคงในกุศลธรรม ไม่คลางแคลง ทำให้จิตสะอาดจากวิจิกิจฉาได้

ภิกษุผู้ละนิวรณ์ทั้งห้า ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้ปัญญาทุรพลนั้นได้แล้ว ย่อมสงัดจากกามและอกุศลธรรม เข้าสู่ปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดจากความสงัด พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามพระอุบาลีว่า “การอยู่เช่นนี้ดีกว่าการอยู่แบบเดิมมิใช่หรือ” พระอุบาลีทูลตอบว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

จากนั้นพระองค์ตรัสถึงขั้นต่อไป คือ ภิกษุเข้าสู่ทุติยฌาน มีจิตผ่องใส ไม่ต้องอาศัยวิตกวิจารอีกต่อไป เพราะทั้งสองอย่างนั้นสงบลงแล้ว จิตตั้งมั่นเป็นเอกภาพ มีปีติและสุขเกิดจากสมาธิ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามอีกว่า “การอยู่เช่นนี้ดีกว่าขั้นก่อนมิใช่หรือ” พระอุบาลีทูลตอบว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

ต่อมา ภิกษุเข้าสู่ตติยฌาน ปีติสงบไป เหลือแต่สุขอันสงบประณีต มีอุเบกขาและสติเป็นใหญ่ พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญฌานนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถาม พระอุบาลีตอบเช่นเดิมว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

ภิกษุเข้าสู่จตุตถฌาน ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ เพราะละสุขและทุกข์ได้สิ้น ดับทั้งความยินดีและความยินร้าย มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติผ่องใส พระพุทธเจ้าตรัสถามอีก พระอุบาลีตอบว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

จากนั้นพระองค์ตรัสถึงอรูปฌาน คือ การก้าวล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจในความหลากหลายแห่งสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน เห็นว่า “อากาศไม่มีที่สุด” พระองค์ตรัสถาม พระอุบาลีตอบว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

เมื่อก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌาน ภิกษุบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน เห็นว่า “วิญญาณไม่มีที่สุด” ต่อจากนั้นก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌาน บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน เห็นว่า “ไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย” แล้วก้าวล่วงอีกขั้น บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นภาวะละเอียดที่ไม่ใช่มีสัญญาและไม่ใช่ว่าไม่มีสัญญา กำหนดว่า “ธรรมชาตินี้สงัด ธรรมชาตินี้ประณีต” พระองค์ตรัสถามเช่นเดิม พระอุบาลีตอบว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

ในที่สุด ภิกษุก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ คือ ภาวะดับทั้งความรู้สึกและความคิด เป็นความสงบอย่างยิ่ง และเมื่อประกอบด้วยปัญญา อาสวกิเลสทั้งปวงก็สิ้นไป พระองค์ตรัสถาม พระอุบาลีก็ตอบว่า “ใช่ พระเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าจึงสรุปว่า แม้สาวกทั้งหลายจะพิจารณาเห็นธรรมและอยู่ในที่สงัด เช่น ป่าและราวป่า แต่หากยังไม่บรรลุตามลำดับขั้นแห่งสมาธิและปัญญา ก็ยังไม่บรรลุประโยชน์สูงสุด และตรัสกับพระอุบาลีว่า “เธอจงอยู่ในสงฆ์เถิด เพราะเมื่อเธออยู่ในสงฆ์ เธอจะได้รับความสุขสงบและความสำราญ”

โดยสรุป

1. การมีสติในชีวิตประจำวัน

พระพุทธเจ้าสอนว่า ภิกษุควรมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใด เช่น
• เดินไป ถอยกลับ มอง เหลียว
• ขยับแขนขา ยก หยิบ ถือจีวร บาตร
• การกิน ดื่ม เคี้ยว ชิม
• แม้กระทั่งการขับถ่าย
• ยืน เดิน นั่ง นอน ตื่น พูด หรือแม้แต่นิ่งเงียบ

ทุกอิริยาบถต้องประกอบด้วยสติและความรู้ตัว

2. การอยู่ในที่สงบ

เมื่อภิกษุมีศีลที่บริสุทธิ์ สำรวมอินทรีย์ และรักษาสติสัมปชัญญะแล้ว ย่อมชอบอยู่ในสถานที่เงียบสงัด เช่น
• ป่า โคนไม้ ภูเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่ารกชัฏ
• ที่แจ้ง หรือลอมฟาง
• หรือแม้แต่เรือนว่างเปล่า

เพื่อใช้เป็นที่ฝึกใจให้สงบ

3. การชำระจิตจากกิเลส

ภิกษุผู้ปฏิบัติในที่สงัด ย่อมค่อย ๆ ละกิเลสเบื้องต้นได้ เช่น
• ละโลภะ → จิตไม่ถูกความอยากครอบงำ
• ละพยาบาท → มีเมตตากรุณา หวังประโยชน์แก่ผู้อื่น
• ละถีนมิทธะ → ไม่ง่วงเหงา จิตผ่องใส
• ละอุทธัจจกุกกุจจะ → ไม่ฟุ้งซ่าน จิตสงบ
• ละวิจิกิจฉา → ไม่สงสัยในกุศลธรรม

นี่คือการชำระจิตให้สะอาดจาก นิวรณ์ 5

4. ลำดับการเข้าฌาน

เมื่อจิตสะอาดจากนิวรณ์แล้ว ภิกษุย่อมบรรลุสมาธิสูงขึ้นเป็นลำดับ
• ปฐมฌาน → มีวิตกวิจาร ปีติและสุขเกิดจากความสงัด
• ทุติยฌาน → วิตกวิจารสงบ จิตตั้งมั่น มีปีติและสุขจากสมาธิ
• ตติยฌาน → ปีติสงบ เหลือสุขอันประณีต มีอุเบกขาและสติเป็นใหญ่
• จตุตถฌาน → ละสุขและทุกข์สิ้น เหลือแต่จิตเป็นกลาง ผ่องใส

5. อรูปฌาน

ก้าวพ้นรูปฌานแล้ว ภิกษุยังสามารถบรรลุ อรูปฌาน ได้ คือ
1. อากาสานัญจายตนะ → “อากาศไม่มีที่สุด”
2. วิญญาณัญจายตนะ → “วิญญาณไม่มีที่สุด”
3. อากิญจัญญายตนะ → “ไม่มีอะไรเลย”
4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ → “ไม่ใช่มีสัญญา ไม่ใช่ไม่มีสัญญา”

6. นิโรธสมาบัติ

ที่สุดแล้ว ภิกษุสามารถบรรลุ นิโรธสมาบัติ คือ ความดับทั้งความรู้สึกและความคิด เป็นความสงบสูงสุด และด้วยปัญญาที่ประกอบอยู่ กิเลสทั้งหลายก็ดับสิ้นไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่