สวัสดีทุกท่านครับ..
ก่อนอื่นเลย ผมต้องบอกก่อนว่า สิ่งที่ผมจะพูดและอธิบายทั้งหมดเป็นความคิดส่วนตัวของผมเองทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าจะไม่มีทฤษฎีใดๆรองรับเลย
ผมตั้งกระทู้นี้เพื่ออยากเสนอแนวคิดของผมเอง ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นต่างได้ ด่าและติผมได้ ถ้าผมไร้ซึ่งเหตุผล ผมพร้อมรับฟังความเห็นของทุกท่านครับ
__________________________________________________________
จากหัวข้อกระทู้ ผมเชื่อว่าคนส่วนมากคงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่าทำไมผมถึงคิดแบบนี้ คือ คิดว่าผมคิดแปลกประหลาด คิดว่าขาดความอบอุ่น คิดว่าไม่ปกติ หรืออาจคิดว่าผมมันบ้าด้วยซ้ำไป ต่างๆ นานา หลากหลายความคิดเห็น เพราะ ผมเขียนไว้ว่า "บุคคลที่คิดที่จะมีลูก" หรือ "มีลูก" คือคนที่บาปและเห็นแก่ตัว ..... ขอให้ลองฟังแนวคิดของผมก่อน อย่าเพิ่งตอบด้วยความอคติส่วนตัวล้วนๆโดยไม่มีเหตุผลใดๆเลย
ทำไมการ อยากมีลูก หรือ การมีลูก ถึงเป็นการเห็นแก่ตัวและบาป
.....แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคน ที่มีลูก ก็มีความคิดและเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
บางคนอยากมีลูกเพราะต้องการให้ลูกของตนเองมาเลี้ยงในยามแก่ชรา บางคนอยากมีลูกเพราะอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตัวเองเหมือนดั่งคนทั่วไป
บางคนอยากมีลูกเพราะต้องการอยู่กับลูก อยากเห็นลูกมีความสุข อยู่ในสังคมที่ดี พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่และไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมก็โอเคแล้ว แม้ว่าตนเองจะไม่ได้มีความพึงพอใจ หรือได้รับการเลี้ยงดูก็ตาม แต่เมื่อลูกมีความสุขพ่อแม่ก็รับได้หมด หรือในอีกกรณีหนึ่งที่บางคนกลายเป็นพ่อคน แม่คน ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะมีลูก แต่ด้วยความคึกคะนอง สุดท้ายจึงมีลูก ก็มีเหมือนกัน
ที่ผมอยากจะพูดก็คือ ไม่ว่าคุณจะไม่พร้อม หรือ จะพร้อมจะมีลูกมากแค่ไหน คุณคือคนเห็นแก่ตัวครับ และนับว่าบาปในทางศาสนาด้วย เมื่อมองอีกแง่หนึ่ง
แง่หนึ่งที่ว่าก็คือ คนทุกๆคนบนโลกใบนี้มีลูกก็เพื่อ สนอง ความต้องการของตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรก็ตาม คิดว่าจะให้ลูกสืบทอดมรดกและวงศ์ตระกูล คิดว่าจะให้ลูกทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ คิดว่าอยากให้ลูกเกิดมาแค่มีความสุข หรือแม้แต่ลึกๆแล้วคิดว่าอยากให้ลูกไปบวช
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครมีลูกโดยไม่มีความคิดคาดหวังอะไรเลยแม้แต่น้อย ทุกคนมีความคิดไม่มากก็น้อยโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ หรือบางคนคิดแค่ก็เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของตนเอง
ทุกๆคนมีลูกเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง แต่ คุณแน่ใจแล้วหรือ ว่าลูกของคุณที่เกิดมาจะมีความสุขในชีวิด?
ว่าลูกของคุณจะไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน? ว่าลูกของคุณจะอยากมีชีวิตอยู่บนโลก? และที่หนักที่สุดคือ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกของคุณจะเป็นคนปกติเหมือนที่มนุษย์เขาเป็นกัน? อาจจะเกิดมาแล้วพิการทางสมอง ไม่ครบ32 ขาดอวัยวะบางอย่างไปจนเกิดเป็นปมด้อยในชีวิต
หลายคนอาจจะบอกว่า เทคโนโลยีทางการเพศปัจจุบันสามารถตรวจสอบดีเอ็นเอ โครโมโซม หรืออื่นๆของคุณแม่ได้ว่าลูกที่เกิดมาจะปกติหรือไม่
บางที่คิดจะเป็นแม่คนเลี้ยงดูลูก แต่หมอบอกว่ามีลูกไม่ได้หรือมีแล้วไม่ปกติทางสภาพร่างกาย จึงเลิกล้มความคิดมีลูกไป... นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในส่วนของความคิดและจิตใจของคนๆนั้นที่อาจจะได้เกิดมา มันไม่สามารถตรวจสอบได้ ถึงคุณพ่อคุณแม่จะบอกว่าจะเลี้ยงดูอย่างสุดความสามารถ
เพื่ออนาคตของลูกๆ แต่คุณจะ มั่นใจ ได้อย่างไรว่าลูกจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ลึกๆแล้วลูกๆทุกคนมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ความคิดมันเปลี่ยนกันไม่ได้ ลูกบางคนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ พ่อแม่ก็พาไปหาหมอหลายต่อหลายคน หมอบางคนให้ยามากิน ลองให้ยาตัวนู้นตัวนี้ หมอบางคนเป็นจิตแพทย์ให้คำปรึกษาตลอด แต่ไม่เป็นผล จนสุดท้ายแล้วจึงได้คำตอบว่า ลูกไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ทำยังไงลูกก็ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติของคนทั่วไปไม่ได้ เพราะความคิดเขาเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เปิดใจยอมรับมันแต่เพราะลักษณะเขาเป็นแบบนั้นโดยกำเนิด เขาอยู่ไม่ได้จริงๆ คนประเภทนี้มีอยู่จริง แต่ละคนแสดงอาการไม่เหมือนกัน บางคนวิตกกังวลตลอดเวลา บางคนไม่บางเอ่ยปากพูดเลยแม้แต่คำเดียวกับคนแปลกหน้านอกเหนือจากพ่อแม่ บางคนไม่แสดงออกให้เห็นแต่ความจริงคือเขาเครียดตลอดเวลา และเครียดมากถึงมากที่สุดด้วย
คุณไม่มีทางแน่ใจได้เลย อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ถ้าลูกของคุณเป็นแบบนั้น คือ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ เท่ากับคุณ ฆ่ า เขาทั้งเป็นเพราะคุณให้กำเนิดเขามาโดยตอบสนองความต้องการของตัวเองไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วการจะมีลูกเราไม่สามารถถามลูกได้ว่า "ลูกอยากเกิดมาไหม" ถ้าอยากแม่ก็จะให้เกิด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
ผมจึงสรุปว่า คนทุกคนบนโลกที่จะมีลูก ก็เปรียบเหมือนการพนันอย่างหนึ่ง ถ้าชนะ ลูกก็เป็นคนปกติตามเกณฑ์ของมนุษย์ทั่วไปบนโลก แต่ถ้าแพ้ ลูกจะอยู่ร่วมในสังคมไม่ได้เลย คุณอาจไม่ได้คิดอะไรเพราะถ้าแพ้ คุณก็จะทำหน้าที่ดูแลลูกให้ดีที่สุดซึ่งลูกก็อาจจะดีหรือแย่สุดๆก็ได้ แต่ความเสี่ยงตกอยู่ที่ลูกเต็มๆ
เท่ากับว่า คนที่คิดอยากจะมีลูก คุณเห็นแก่ตัวมากๆเลยครับ เหมือนเอาชีวิตคนมาเสี่ยง ก็เหมือนการ ฆ่ า คนไปในตัว ซึ่งถ้าว่ากันตามศาสนาก็บาปมากๆเช่นกัน ถ้าว่ากันตามแนวคิดแบบนี้
ท้ายที่สุดหลายคนคงอยากถามผมว่าถ้าเช่นนั้น ควรทำอย่างไรล่ะ จะบอกว่าคนทั้งโลกเห็นแก่ตัวและบาปหมดเลยหรือ แล้วจะให้คนทั้งโลกไม่ต้องมีลูกกันหมดหรือ มนุษย์ก็สูญพันธุ์กันพอดี แล้วคนที่เกิดมาแล้วควรจะทำอย่างไร ผมขออนุญาตตอบเป็นข้อๆดังนี้ ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง
1.จะบอกว่าคนทั้งโลกเห็นแก่ตัวและบาปหมดเลยหรือ?
ตอบ : ถ้าพูดกันตามแนวคิดนี้แล้ว ก็ใช่ครับ คนทุกคนเป็นแบบนั้นหมด ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าใครก็ตาม หรือแม้แต่ผมก็ตามที่ทำให้ใครหลายๆคน
ที่อ่านกระทู้นี้รู้สึกไม่สบายใจ ก็นับว่าบาปเช่นกัน ผมเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดมากด้วยครับที่คิดแบบนี้
2.แล้วจะให้คนทั้งโลกไม่ต้องมีลูกกันกันหมดหรือ มนุษย์ก็สูญพันธุ์กันพอดี?
ตอบ : ต้องขอเรียนตามตรงว่า ผมให้คำตอบแก่ทุกท่านไม่ได้ เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความคิดใครความคิดมัน ไม่สามารถบอกบังคับกันได้
เพราะเหมือนเป็นการละเมิดสิทธิทางความคิดของผู้อื่น ผมแค่อยากเสนอแนวคิดอีกแง่หนึ่ง ทุกท่านมีสิทธิที่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้
แต่ถ้าถามผมว่าจะมีลูกไหม ในตอนนี้ผมก็คงตอบว่า ไม่มีอย่างแน่นอนครับ ตอนนี้ผมอายุยังน้อย แต่เมื่อโตขึ้นมีอายุวัยที่เหมาะสมผมก็ยืนยัน
ว่าจะไม่มีอยู่ดีครับทั้งคู่ครอง แฟน ลูก ไม่คิดจะมีเลยครับ แต่อนาคตไม่แน่นอน ถ้ามีปัจจัยบางอย่างที่หักล้างหรือทำลายแนวคิดนี้อย่างสิ้นเชิง
ในตัวผมก็ไม่แน่ครับ
3.แล้วคนที่เกิดมาแล้วควรจะทำอย่างไร?
ตอบ : ถ้าถามผม ผมจะให้คำตอบว่า ก็ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด พยายามหาความสุขแก่ชีวิตก่อนตาย โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เป็นที่ยอมรับแก่สังคมมนุษย์โดยทั่วไป ก็โอเคแล้วครับ ส่วนเรื่องจะแต่งงานมีลูกหรือไม่นั้น ก็สุดแต่ความคิดของท่านแล้วครับ
เรื่องแบบนี้มันไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับวิธีการคิดของแต่ละคน ถ้ามองว่าในเมื่อสังคมหมู่มากยอมรับ ก็ถือว่าไม่ผิดครับ
ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดและทำตามความคิดตนเองตามต้องการ ถ้าไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ครับ
ผมไม่ใช่นักวิชาการ ผมไม่ใช่ครูอาจารย์ ผมไม่ใช่พระ ผมไม่ใช่กุรูนักปราชญ์ หรือใดๆทั้งสิ้น
ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น...
แต่ผมก็แค่อยากลองเสนอแนวคิดแปลกใหม่ ซึ่งผมคิดว่าเด็กอายุประมาณนี้คงไม่ค่อยคิดกันอย่างนี้เท่าไรนัก แค่นี้เองครับ
อาจใช้คำพูดไม่เหมาะสม หรือ เสียดสีเกินไป ก็ต้องขออภัยด้วยครับ
ผมอยากจะกล่าวย้ำอีกครั้งว่า ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ มันเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่การบีบบังคับหรือสั่งให้คล้อยตามครับ
ขอขอบคุณทุกท่านมากๆครับ ที่รับฟังและอ่านจนจบจนถึงบรรทัดสุดท้ายครับ
ปล.แท็กผิดขออภัยครับ ผมไม่แน่ใจว่าต้องแท็กห้องอะไร
...ขอบคุณครับ...
ด้วยความคิดของผม ... "บุคคลที่คิดที่จะมีลูก" หรือ "มีลูก" คือคนที่บาปและเห็นแก่ตัว ... จากความคิดของเด็กคนหนึ่ง
ก่อนอื่นเลย ผมต้องบอกก่อนว่า สิ่งที่ผมจะพูดและอธิบายทั้งหมดเป็นความคิดส่วนตัวของผมเองทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าจะไม่มีทฤษฎีใดๆรองรับเลย
ผมตั้งกระทู้นี้เพื่ออยากเสนอแนวคิดของผมเอง ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นต่างได้ ด่าและติผมได้ ถ้าผมไร้ซึ่งเหตุผล ผมพร้อมรับฟังความเห็นของทุกท่านครับ
__________________________________________________________
จากหัวข้อกระทู้ ผมเชื่อว่าคนส่วนมากคงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่าทำไมผมถึงคิดแบบนี้ คือ คิดว่าผมคิดแปลกประหลาด คิดว่าขาดความอบอุ่น คิดว่าไม่ปกติ หรืออาจคิดว่าผมมันบ้าด้วยซ้ำไป ต่างๆ นานา หลากหลายความคิดเห็น เพราะ ผมเขียนไว้ว่า "บุคคลที่คิดที่จะมีลูก" หรือ "มีลูก" คือคนที่บาปและเห็นแก่ตัว ..... ขอให้ลองฟังแนวคิดของผมก่อน อย่าเพิ่งตอบด้วยความอคติส่วนตัวล้วนๆโดยไม่มีเหตุผลใดๆเลย
ทำไมการ อยากมีลูก หรือ การมีลูก ถึงเป็นการเห็นแก่ตัวและบาป
.....แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคน ที่มีลูก ก็มีความคิดและเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
บางคนอยากมีลูกเพราะต้องการให้ลูกของตนเองมาเลี้ยงในยามแก่ชรา บางคนอยากมีลูกเพราะอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตัวเองเหมือนดั่งคนทั่วไป
บางคนอยากมีลูกเพราะต้องการอยู่กับลูก อยากเห็นลูกมีความสุข อยู่ในสังคมที่ดี พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่และไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมก็โอเคแล้ว แม้ว่าตนเองจะไม่ได้มีความพึงพอใจ หรือได้รับการเลี้ยงดูก็ตาม แต่เมื่อลูกมีความสุขพ่อแม่ก็รับได้หมด หรือในอีกกรณีหนึ่งที่บางคนกลายเป็นพ่อคน แม่คน ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะมีลูก แต่ด้วยความคึกคะนอง สุดท้ายจึงมีลูก ก็มีเหมือนกัน
ที่ผมอยากจะพูดก็คือ ไม่ว่าคุณจะไม่พร้อม หรือ จะพร้อมจะมีลูกมากแค่ไหน คุณคือคนเห็นแก่ตัวครับ และนับว่าบาปในทางศาสนาด้วย เมื่อมองอีกแง่หนึ่ง
แง่หนึ่งที่ว่าก็คือ คนทุกๆคนบนโลกใบนี้มีลูกก็เพื่อ สนอง ความต้องการของตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไรก็ตาม คิดว่าจะให้ลูกสืบทอดมรดกและวงศ์ตระกูล คิดว่าจะให้ลูกทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ คิดว่าอยากให้ลูกเกิดมาแค่มีความสุข หรือแม้แต่ลึกๆแล้วคิดว่าอยากให้ลูกไปบวช
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครมีลูกโดยไม่มีความคิดคาดหวังอะไรเลยแม้แต่น้อย ทุกคนมีความคิดไม่มากก็น้อยโดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ หรือบางคนคิดแค่ก็เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของตนเอง
ทุกๆคนมีลูกเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง แต่ คุณแน่ใจแล้วหรือ ว่าลูกของคุณที่เกิดมาจะมีความสุขในชีวิด?
ว่าลูกของคุณจะไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน? ว่าลูกของคุณจะอยากมีชีวิตอยู่บนโลก? และที่หนักที่สุดคือ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกของคุณจะเป็นคนปกติเหมือนที่มนุษย์เขาเป็นกัน? อาจจะเกิดมาแล้วพิการทางสมอง ไม่ครบ32 ขาดอวัยวะบางอย่างไปจนเกิดเป็นปมด้อยในชีวิต
หลายคนอาจจะบอกว่า เทคโนโลยีทางการเพศปัจจุบันสามารถตรวจสอบดีเอ็นเอ โครโมโซม หรืออื่นๆของคุณแม่ได้ว่าลูกที่เกิดมาจะปกติหรือไม่
บางที่คิดจะเป็นแม่คนเลี้ยงดูลูก แต่หมอบอกว่ามีลูกไม่ได้หรือมีแล้วไม่ปกติทางสภาพร่างกาย จึงเลิกล้มความคิดมีลูกไป... นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในส่วนของความคิดและจิตใจของคนๆนั้นที่อาจจะได้เกิดมา มันไม่สามารถตรวจสอบได้ ถึงคุณพ่อคุณแม่จะบอกว่าจะเลี้ยงดูอย่างสุดความสามารถ
เพื่ออนาคตของลูกๆ แต่คุณจะ มั่นใจ ได้อย่างไรว่าลูกจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ลึกๆแล้วลูกๆทุกคนมีความคิดเป็นตัวของตัวเอง ความคิดมันเปลี่ยนกันไม่ได้ ลูกบางคนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ พ่อแม่ก็พาไปหาหมอหลายต่อหลายคน หมอบางคนให้ยามากิน ลองให้ยาตัวนู้นตัวนี้ หมอบางคนเป็นจิตแพทย์ให้คำปรึกษาตลอด แต่ไม่เป็นผล จนสุดท้ายแล้วจึงได้คำตอบว่า ลูกไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ทำยังไงลูกก็ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติของคนทั่วไปไม่ได้ เพราะความคิดเขาเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เปิดใจยอมรับมันแต่เพราะลักษณะเขาเป็นแบบนั้นโดยกำเนิด เขาอยู่ไม่ได้จริงๆ คนประเภทนี้มีอยู่จริง แต่ละคนแสดงอาการไม่เหมือนกัน บางคนวิตกกังวลตลอดเวลา บางคนไม่บางเอ่ยปากพูดเลยแม้แต่คำเดียวกับคนแปลกหน้านอกเหนือจากพ่อแม่ บางคนไม่แสดงออกให้เห็นแต่ความจริงคือเขาเครียดตลอดเวลา และเครียดมากถึงมากที่สุดด้วย
คุณไม่มีทางแน่ใจได้เลย อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ถ้าลูกของคุณเป็นแบบนั้น คือ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ เท่ากับคุณ ฆ่ า เขาทั้งเป็นเพราะคุณให้กำเนิดเขามาโดยตอบสนองความต้องการของตัวเองไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วการจะมีลูกเราไม่สามารถถามลูกได้ว่า "ลูกอยากเกิดมาไหม" ถ้าอยากแม่ก็จะให้เกิด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
ผมจึงสรุปว่า คนทุกคนบนโลกที่จะมีลูก ก็เปรียบเหมือนการพนันอย่างหนึ่ง ถ้าชนะ ลูกก็เป็นคนปกติตามเกณฑ์ของมนุษย์ทั่วไปบนโลก แต่ถ้าแพ้ ลูกจะอยู่ร่วมในสังคมไม่ได้เลย คุณอาจไม่ได้คิดอะไรเพราะถ้าแพ้ คุณก็จะทำหน้าที่ดูแลลูกให้ดีที่สุดซึ่งลูกก็อาจจะดีหรือแย่สุดๆก็ได้ แต่ความเสี่ยงตกอยู่ที่ลูกเต็มๆ
เท่ากับว่า คนที่คิดอยากจะมีลูก คุณเห็นแก่ตัวมากๆเลยครับ เหมือนเอาชีวิตคนมาเสี่ยง ก็เหมือนการ ฆ่ า คนไปในตัว ซึ่งถ้าว่ากันตามศาสนาก็บาปมากๆเช่นกัน ถ้าว่ากันตามแนวคิดแบบนี้
ท้ายที่สุดหลายคนคงอยากถามผมว่าถ้าเช่นนั้น ควรทำอย่างไรล่ะ จะบอกว่าคนทั้งโลกเห็นแก่ตัวและบาปหมดเลยหรือ แล้วจะให้คนทั้งโลกไม่ต้องมีลูกกันหมดหรือ มนุษย์ก็สูญพันธุ์กันพอดี แล้วคนที่เกิดมาแล้วควรจะทำอย่างไร ผมขออนุญาตตอบเป็นข้อๆดังนี้ ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง
1.จะบอกว่าคนทั้งโลกเห็นแก่ตัวและบาปหมดเลยหรือ?
ตอบ : ถ้าพูดกันตามแนวคิดนี้แล้ว ก็ใช่ครับ คนทุกคนเป็นแบบนั้นหมด ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าใครก็ตาม หรือแม้แต่ผมก็ตามที่ทำให้ใครหลายๆคน
ที่อ่านกระทู้นี้รู้สึกไม่สบายใจ ก็นับว่าบาปเช่นกัน ผมเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดมากด้วยครับที่คิดแบบนี้
2.แล้วจะให้คนทั้งโลกไม่ต้องมีลูกกันกันหมดหรือ มนุษย์ก็สูญพันธุ์กันพอดี?
ตอบ : ต้องขอเรียนตามตรงว่า ผมให้คำตอบแก่ทุกท่านไม่ได้ เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความคิดใครความคิดมัน ไม่สามารถบอกบังคับกันได้
เพราะเหมือนเป็นการละเมิดสิทธิทางความคิดของผู้อื่น ผมแค่อยากเสนอแนวคิดอีกแง่หนึ่ง ทุกท่านมีสิทธิที่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้
แต่ถ้าถามผมว่าจะมีลูกไหม ในตอนนี้ผมก็คงตอบว่า ไม่มีอย่างแน่นอนครับ ตอนนี้ผมอายุยังน้อย แต่เมื่อโตขึ้นมีอายุวัยที่เหมาะสมผมก็ยืนยัน
ว่าจะไม่มีอยู่ดีครับทั้งคู่ครอง แฟน ลูก ไม่คิดจะมีเลยครับ แต่อนาคตไม่แน่นอน ถ้ามีปัจจัยบางอย่างที่หักล้างหรือทำลายแนวคิดนี้อย่างสิ้นเชิง
ในตัวผมก็ไม่แน่ครับ
3.แล้วคนที่เกิดมาแล้วควรจะทำอย่างไร?
ตอบ : ถ้าถามผม ผมจะให้คำตอบว่า ก็ทำตรงนี้ให้ดีที่สุด พยายามหาความสุขแก่ชีวิตก่อนตาย โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
เป็นที่ยอมรับแก่สังคมมนุษย์โดยทั่วไป ก็โอเคแล้วครับ ส่วนเรื่องจะแต่งงานมีลูกหรือไม่นั้น ก็สุดแต่ความคิดของท่านแล้วครับ
เรื่องแบบนี้มันไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับวิธีการคิดของแต่ละคน ถ้ามองว่าในเมื่อสังคมหมู่มากยอมรับ ก็ถือว่าไม่ผิดครับ
ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดและทำตามความคิดตนเองตามต้องการ ถ้าไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ครับ
ผมไม่ใช่นักวิชาการ ผมไม่ใช่ครูอาจารย์ ผมไม่ใช่พระ ผมไม่ใช่กุรูนักปราชญ์ หรือใดๆทั้งสิ้น
ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเรียนอยู่ในระดับเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น...
แต่ผมก็แค่อยากลองเสนอแนวคิดแปลกใหม่ ซึ่งผมคิดว่าเด็กอายุประมาณนี้คงไม่ค่อยคิดกันอย่างนี้เท่าไรนัก แค่นี้เองครับ
อาจใช้คำพูดไม่เหมาะสม หรือ เสียดสีเกินไป ก็ต้องขออภัยด้วยครับ
ผมอยากจะกล่าวย้ำอีกครั้งว่า ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ มันเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่การบีบบังคับหรือสั่งให้คล้อยตามครับ
ขอขอบคุณทุกท่านมากๆครับ ที่รับฟังและอ่านจนจบจนถึงบรรทัดสุดท้ายครับ
ปล.แท็กผิดขออภัยครับ ผมไม่แน่ใจว่าต้องแท็กห้องอะไร
...ขอบคุณครับ...