สวัสดีค่า กลับมาอัพเรื่องแล้วนะคะ ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อยเนื่องจากหนุ่มญี่ปุ่นมาไทยแล้วพาเค้าเที่ยวค่ะ แล้วตอนนี้เค้าก็กลับญี่ปุ่นไปแล้ว เลยรีบมาอัพให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ^^ พร้อมแล้วไปต่อกันเลยจ้า
ต่างคนต่างมุมมอง
วันสุดท้ายของพวกเราที่ภูเก็ต พวกเราพากันเดินเล่นแถวๆหาดป่าตอง ก่อนจะขึ้นรถไปลงตัวเมือง และต่อรถไปยังสนามบิน ตอนที่กำลังนั่งอยู่บนเครื่อง เราก็คิดนะว่า...การไปเที่ยวทะเลครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้นิสัยหลายๆอย่างจากพี่เค้าเพิ่มมากขึ้น อันที่จริง... มีหลายๆครั้งที่เรารู้สึกขัดใจและไม่ชอบอยู่บ้าง แต่เราก็พยายามที่จะมองข้ามมันไป เนื่องจากเราเป็นคนใจร้อน ส่วนพี่เค้าจะเป็นคนใจเย็น ถึงแม้จะหงุดหงิดอยู่บ้างในบางครั้งก็ตาม ฮึ่มมมม....
พอพวกเรากลับมาถึงกรุงเทพ และพากันนอนเกือกกลิ้งอยู่ที่อาพาร์ตเม้นท์เก็บของ เดือนเมษายนของประเทศไทยนี่อากาศร้อนนรกจริงๆ ขนาดหนุ่มญี่ปุ่นผู้ที่ชอบฤดูร้อนยังบอกทนไม่ไหว เปิดแอร์เถอะครับ 5555
เราถามเค้าเกี่ยวกับเรื่องฤดูร้อนที่ญี่ปุ่น พี่เค้าบอกว่าฤดูร้อนจะเริ่มช่วงประมาณมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม จะมีการจัดงานเทศกาลต่างๆในฤดูร้อน และมีเทศกาลดอกไม้ไฟที่สวยงาม แค่เราฟังแค่นั้นเราก็รู้สึกอยากไปมากเลยค่ะ คิดหลายๆอย่าง บ้านเมืองที่โน่นจะเหมือนที่เกาหลีมั้ยนะ? เราก็เห็นราคาในทัวร์ซึ่งก็ค่อนข้างสูงอยู่
แล้วถ้าเราไปเองจะต้องเตรียมงบไปเท่าไหร่ดี?
ได้แต่คิดค่ะ แต่ยังไม่กล้าถามเค้า จริงๆพี่เค้าก็ชวนเราไปญี่ปุ่นนะ แต่ตอนนั้นเป้าหมายของเราคือเก็บตังค์ทำหน้า เราอยากสวยกว่านี้ อยากทำตามความฝันแล้วค่อยไปเที่ยว พอพี่เค้าได้ยินสิ่งที่เราอยากทำ เค้าไม่เห็นด้วยอย่างแรงเลยค่ะ ออกแนวแอนตี้ศัลยกรรม (*´ー`*) พี่เขาบอกว่าธรรมชาติดีแล้ว แบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรสักหน่อย อย่าไปทำเลยนะครับ
(น่านไง! อย่ามาดับความฝันกันนะ ฮือออ~ TT)
แต่เราก็แค่รับฟังพี่เค้าไปนะคะ เราให้เหตุผลไปว่าเราไม่ชอบใบหน้าของตัวเอง พี่เค้าก็บอกไม่เป็นไร พี่เค้าชอบนะ ( ^ω^ ) เราก็ได้แต่คิดในใจว่า ฉันทำแน่ๆแหละ 5555
เราก็ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ส่วนใหญ่ก็จะโพสขายของ และวันไหนมีส่งของคุณแฟนก็จะช่วยยกไปส่งของที่ไปรษณีย์ด้วย (น่ารักอ่ะ) ^^ เราต่างคนต่างสอนภาษาให้กัน แต่เราก็ยังมีหลุดภาษาเกาหลีใส่เค้าบ้างเวลาเผลอ (´∀`) หรือแอบด่าเค้าแล้วไม่บอกความหมาย 5555 มีอยู่วันนึงที่พวกเราคลุกอยู่ในห้องทั้งวี่ทั้งวัน พี่แกก็ยังชอบมากวนเราแบบทะลึ่งๆคือ เปิดกระโปรงบ้างละ ปลดตะขอชุดชั้นในเราบ้างล่ะ อยู่ดีๆมานอนกลิ้งทับ คิดว่าตัวเองเบามากรึไง? จนเราต้องโวยไปหลายที อันนี้เราโกรธแบบจริงจังเลยนะ มันหลายรอบเกินไป ทำไมเค้าต้องมาเล่นอะไรแบบนี้? รู้สึกว่าเค้าไม่มีมารยาท นึกอยากจับก็จับ เราโกรธมาค่ะโมโหปึงปังใส่เค้าเลย มันปี๊ดค่ะ มันปี๊ดดดดด! Σ(-᷅O-᷄!!!)
สถานการณ์ได้กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง โดยที่พี่เค้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องโกรธเค้าขนาดนี้ เราไม่คุยกะเค้าตั้งแต่เช้ายันเข้านอน แต่พี่เค้าก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเราหรืออะไรนะ พี่เค้าจะนิ่งมาก แต่เพราะความนิ่งของพี่เค้านี่แหละยิ่งทำให้เราโมโหหนักกว่าเดิม พี่เค้าก็พูดขอโทษ แต่มันยังไม่พอไง อยากให้ง้ออ่ะ ต้องง้อมากกว่านี้สิ ไม่ใช่แค่พูดขอโทษเฉยๆ เราก็เชิ่ดใส่ค่ะ หูทวนลม ไม่หือ ไม่อือด้วย ไม่ยอมด้วย มองผ่านเค้าเหมือนอากาศ เชอะ! (´ヘ`)
เหมือนพี่เค้าคอยสังเกตุดูอาการเราเป็นระยะๆ พยายามเอามือมาจิ้มๆแขนเราเพื่อเช็คดูว่าเรายังโกรธเค้าอยู่รึเปล่า พอเห็นว่าเราเมินใส่ ก็เลยไม่กวนเราต่อ พอถึงเวลาเข้านอนก็นอนหันหลังให้กัน (เชื่อว่าคู่รักหลายๆคู่เป็นเวลาโกรธ) ต่างคนต่างมีพื้นที่ของตัวเอง
พอเช้าอีกวันเราก็ยังไม่คุย พี่เค้าก็ถามปกติทั่วไป แต่เราก็ไม่ตอบ กวนน่ะ พี่เค้าเลยเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าแล้วกำลังเดินออกไปจากห้องเงียบๆ
N : "คุณจะไปไหนคะ?" เราถามพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบ
K : "ไปหาโรงแรมพักน่ะครับ บางทีคุณอาจจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า..."
N : "ไปยังไงล่ะคะ? wifi ก็ไม่มี"
K : "ผมมีไกด์บุ๊คนะ ไม่ต้องห่วงนะ ผมก็ไปเรื่อยๆแบบที่ผมเคยไปมา..."
พี่เค้าเดินไปที่ประตู เราลังเลทั้งโมโหทั้งไม่อยากให้ไป พี่เค้าพยายามยิ้มให้เราก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องและปิดประตู เรายืนนิ่งอยู่กับที่ ได้แต่ฟังเสียงพี่เค้าเดินลงบันได จริงๆเราไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้นะ... เราแค่โกรธ และอยากให้เค้าง้อแค่นั้นเอง แต่สิ่งที่ได้คือความไม่เข้าใจกัน เราเดินไปที่หน้าต่างและก้มลงมองข้างล่าง พี่เค้ากำลังเดินออกไปจากอาพาร์ตเม้นท์ เรามองตามหลังเค้าที่กำลังเดินไปไกลเรื่อยๆจนมองไม่เห็น... เราได้แต่รู้สึกสงสารปนห่วงพี่เค้า แต่ด้วยความหยิ่งทะนงตนของเราที่คิดว่าเราไม่ผิดและไม่อยากเสียฟอร์ม เราเลยบังคับตัวเองให้พยายามไม่คิด หาอะไรทำแต่มันก็ทำไม่ได้ เค้าจะอยู่ยังไง? เค้าจะพักที่ไหน? คิดอยู่สักพักสุดท้ายก็ต้องโทรหาเค้าค่ะ (ตอนนั้นเค้าใช้โทรศัพท์เครื่องสำรองของเราอยู่)
~~~ตรู้ดดดดดด~~~~~ตรู้ดดดดด~~~~
K : 'ไฮ้...'
N : 'คุณอยู่ไหนแล้วคะ?'
K : 'ผมอยู่ป้ายรถเมล์ครับ กำลังรอรถเมล์อยู่'
N : 'แล้วคุณจะไปที่ไหนคะ?'
K : 'ฮืมมมม... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน... บางทีอาจจะไปแถวข้าวสารนะ เห็นโรงแรมถูกดี'
N : 'งั้นคุณรออยู่นั่นก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปหา'
K : 'เอ๋???'
N : 'รออยู่นั่นแหละค่ะ' เราตัดบทแล้ววางสาย พร้อมรีบเดินกระหืดกระหอบออกไปหน้าซอยตรงป้ายรถเมล์ ก็เห็นหนุ่มญี่ปุ่นนั่งอ่านไกด์บุ๊ครอเราอยู่
N : "เอ่อ... ไปกินข้าวกันนะคะ" ^^ เรากำลังพยายามง้อแบบอ้อมๆ
K : "จะไปที่ไหนหรอครับ?"
N : "อืมมมม์ อากาศร้อนแบบนี้ไปเดินห้างกันดีกว่านะคะ หาของอร่อยๆกินกัน" ^^
K : "ก็ได้ครับ" ^^
เอ้อออออ~~~ พี่แกง้อง่ายดีแหะ ( ´ ▽ ` )
พวกเราพากันนั่งรถมาจนถึงห้างสรรพสินค้า และพากันหาร้านอาหารกิน พอกินเสร็จเราก็ยังไม่อยากกลับเพราะพึ่งจะบ่าย 2 โมง เลยพากันหาอะไรทำคั่นเวลา เราเช็คโปรแกรมหนัง และพากันไปดูเรื่อง Fast and Furious 7 พอดูเสร็จก็ค่ำพอดี เราจึงพากันหาข้าวกินและกลับห้องไป~
หลายวันต่อมาเราก็ใช้ชีวิตกันตามปกติเหมือนทุกๆวัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคืองานของเรา ช่วงนี้เราหยุดถ่ายรูปสินค้าและหยุดโพสต์ขายมาสักพัก งานธุรกิจของที่บ้านเราก็ไม่ได้แวะไป ตั้งแต่พี่เค้ามาเราก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลยค่ะ แต่ก็จะไลน์คุยกับที่บ้านตลอด เราไม่ได้ทำงานประจำ เลยไม่ได้มีผลกระทบอะไรเท่าไหร่ จริงๆเราก็คิดเรื่องนี้มาสักพัก ด้วยความที่อยากใช้เวลาอยู่กับแฟนให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้กันมากขึ้น มันเหมือนเป็นการลงทุนด้วยเวลา คู่ของพวกเราอยู่ไกลกันมาก นานๆจะเจอกันที เวลาอยู่ด้วยกันมันก็น้อยกว่าคู่อื่นๆ ถ้าถามว่าตอนนั้นเราจริงจังมากแค่ไหน? ขอตอบตามตรงว่ายังไม่มากเท่าไหร่ มันยังไม่เต็มที่ บางเวลาก็รู้สึกลังเลว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจเค้าได้ เข้าไปไม่ถึงและอาจจะรู้สึกเหนื่อยใจในบางครั้ง ทำไมผู้ชายญี่ปุ่นเข้าใจยากจัง? ทำไมเวลาเรางอนเค้าจะไม่ค่อยง้อ กลับกลายเป็นเค้าคิดว่าการที่เราไม่พูดไม่จาคือเราอาจจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า หรือเป็นเพราะเราอาจจะงี่เง่ามากเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะเค้าดูมีเหตุผลมากเกินไป สังคมและวัฒนธรรมสิ่งที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆมันต่างกัน พื้นฐานต่างกัน เหตุและผลต่างกัน
ตอนนี้เรารู้สึกว่าพวกเรายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน มันเป็นความรักในช่วงแรกๆที่มีความลุ่มหลงปนเข้ามาอยู่ มองอะไรๆก็ดูสวยงามไปหมด พวกเราจะรับนิสัยแย่ๆของกันและกันได้มากน้อยแค่ไหนกันนะ? เราจะปรับเปลี่ยนมุมมองความรักได้มากน้อยแค่ไหน? มันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราจะต้องเผชิญกับมันหลังจากนี้....
ไว้ติดตามตอนหน้านะคะ ^^
อ่านตอนย้อนหลังได้ที่
https://pantip.com/topic/36548306
อ่านตอนถัดไปได้ที่
https://pantip.com/topic/36719862
ฝากเพจของพวกเราด้วยนะคะ
https://web.facebook.com/nekocouplestory/
✿✿แชร์ประสบการณ์ ♥ริรักกับหนุ่มญี่ปุ่น♥ เมื่อความบังเอิญทำให้เราได้มาเจอกัน✿✿ (●^o^●) ตอนที่ 15
ต่างคนต่างมุมมอง
วันสุดท้ายของพวกเราที่ภูเก็ต พวกเราพากันเดินเล่นแถวๆหาดป่าตอง ก่อนจะขึ้นรถไปลงตัวเมือง และต่อรถไปยังสนามบิน ตอนที่กำลังนั่งอยู่บนเครื่อง เราก็คิดนะว่า...การไปเที่ยวทะเลครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้นิสัยหลายๆอย่างจากพี่เค้าเพิ่มมากขึ้น อันที่จริง... มีหลายๆครั้งที่เรารู้สึกขัดใจและไม่ชอบอยู่บ้าง แต่เราก็พยายามที่จะมองข้ามมันไป เนื่องจากเราเป็นคนใจร้อน ส่วนพี่เค้าจะเป็นคนใจเย็น ถึงแม้จะหงุดหงิดอยู่บ้างในบางครั้งก็ตาม ฮึ่มมมม....
พอพวกเรากลับมาถึงกรุงเทพ และพากันนอนเกือกกลิ้งอยู่ที่อาพาร์ตเม้นท์เก็บของ เดือนเมษายนของประเทศไทยนี่อากาศร้อนนรกจริงๆ ขนาดหนุ่มญี่ปุ่นผู้ที่ชอบฤดูร้อนยังบอกทนไม่ไหว เปิดแอร์เถอะครับ 5555
เราถามเค้าเกี่ยวกับเรื่องฤดูร้อนที่ญี่ปุ่น พี่เค้าบอกว่าฤดูร้อนจะเริ่มช่วงประมาณมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม จะมีการจัดงานเทศกาลต่างๆในฤดูร้อน และมีเทศกาลดอกไม้ไฟที่สวยงาม แค่เราฟังแค่นั้นเราก็รู้สึกอยากไปมากเลยค่ะ คิดหลายๆอย่าง บ้านเมืองที่โน่นจะเหมือนที่เกาหลีมั้ยนะ? เราก็เห็นราคาในทัวร์ซึ่งก็ค่อนข้างสูงอยู่
แล้วถ้าเราไปเองจะต้องเตรียมงบไปเท่าไหร่ดี?
ได้แต่คิดค่ะ แต่ยังไม่กล้าถามเค้า จริงๆพี่เค้าก็ชวนเราไปญี่ปุ่นนะ แต่ตอนนั้นเป้าหมายของเราคือเก็บตังค์ทำหน้า เราอยากสวยกว่านี้ อยากทำตามความฝันแล้วค่อยไปเที่ยว พอพี่เค้าได้ยินสิ่งที่เราอยากทำ เค้าไม่เห็นด้วยอย่างแรงเลยค่ะ ออกแนวแอนตี้ศัลยกรรม (*´ー`*) พี่เขาบอกว่าธรรมชาติดีแล้ว แบบนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรสักหน่อย อย่าไปทำเลยนะครับ
(น่านไง! อย่ามาดับความฝันกันนะ ฮือออ~ TT)
แต่เราก็แค่รับฟังพี่เค้าไปนะคะ เราให้เหตุผลไปว่าเราไม่ชอบใบหน้าของตัวเอง พี่เค้าก็บอกไม่เป็นไร พี่เค้าชอบนะ ( ^ω^ ) เราก็ได้แต่คิดในใจว่า ฉันทำแน่ๆแหละ 5555
เราก็ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ส่วนใหญ่ก็จะโพสขายของ และวันไหนมีส่งของคุณแฟนก็จะช่วยยกไปส่งของที่ไปรษณีย์ด้วย (น่ารักอ่ะ) ^^ เราต่างคนต่างสอนภาษาให้กัน แต่เราก็ยังมีหลุดภาษาเกาหลีใส่เค้าบ้างเวลาเผลอ (´∀`) หรือแอบด่าเค้าแล้วไม่บอกความหมาย 5555 มีอยู่วันนึงที่พวกเราคลุกอยู่ในห้องทั้งวี่ทั้งวัน พี่แกก็ยังชอบมากวนเราแบบทะลึ่งๆคือ เปิดกระโปรงบ้างละ ปลดตะขอชุดชั้นในเราบ้างล่ะ อยู่ดีๆมานอนกลิ้งทับ คิดว่าตัวเองเบามากรึไง? จนเราต้องโวยไปหลายที อันนี้เราโกรธแบบจริงจังเลยนะ มันหลายรอบเกินไป ทำไมเค้าต้องมาเล่นอะไรแบบนี้? รู้สึกว่าเค้าไม่มีมารยาท นึกอยากจับก็จับ เราโกรธมาค่ะโมโหปึงปังใส่เค้าเลย มันปี๊ดค่ะ มันปี๊ดดดดด! Σ(-᷅O-᷄!!!)
สถานการณ์ได้กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง โดยที่พี่เค้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องโกรธเค้าขนาดนี้ เราไม่คุยกะเค้าตั้งแต่เช้ายันเข้านอน แต่พี่เค้าก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเราหรืออะไรนะ พี่เค้าจะนิ่งมาก แต่เพราะความนิ่งของพี่เค้านี่แหละยิ่งทำให้เราโมโหหนักกว่าเดิม พี่เค้าก็พูดขอโทษ แต่มันยังไม่พอไง อยากให้ง้ออ่ะ ต้องง้อมากกว่านี้สิ ไม่ใช่แค่พูดขอโทษเฉยๆ เราก็เชิ่ดใส่ค่ะ หูทวนลม ไม่หือ ไม่อือด้วย ไม่ยอมด้วย มองผ่านเค้าเหมือนอากาศ เชอะ! (´ヘ`)
เหมือนพี่เค้าคอยสังเกตุดูอาการเราเป็นระยะๆ พยายามเอามือมาจิ้มๆแขนเราเพื่อเช็คดูว่าเรายังโกรธเค้าอยู่รึเปล่า พอเห็นว่าเราเมินใส่ ก็เลยไม่กวนเราต่อ พอถึงเวลาเข้านอนก็นอนหันหลังให้กัน (เชื่อว่าคู่รักหลายๆคู่เป็นเวลาโกรธ) ต่างคนต่างมีพื้นที่ของตัวเอง
พอเช้าอีกวันเราก็ยังไม่คุย พี่เค้าก็ถามปกติทั่วไป แต่เราก็ไม่ตอบ กวนน่ะ พี่เค้าเลยเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าแล้วกำลังเดินออกไปจากห้องเงียบๆ
N : "คุณจะไปไหนคะ?" เราถามพยายามข่มน้ำเสียงให้ราบเรียบ
K : "ไปหาโรงแรมพักน่ะครับ บางทีคุณอาจจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า..."
N : "ไปยังไงล่ะคะ? wifi ก็ไม่มี"
K : "ผมมีไกด์บุ๊คนะ ไม่ต้องห่วงนะ ผมก็ไปเรื่อยๆแบบที่ผมเคยไปมา..."
พี่เค้าเดินไปที่ประตู เราลังเลทั้งโมโหทั้งไม่อยากให้ไป พี่เค้าพยายามยิ้มให้เราก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องและปิดประตู เรายืนนิ่งอยู่กับที่ ได้แต่ฟังเสียงพี่เค้าเดินลงบันได จริงๆเราไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้นะ... เราแค่โกรธ และอยากให้เค้าง้อแค่นั้นเอง แต่สิ่งที่ได้คือความไม่เข้าใจกัน เราเดินไปที่หน้าต่างและก้มลงมองข้างล่าง พี่เค้ากำลังเดินออกไปจากอาพาร์ตเม้นท์ เรามองตามหลังเค้าที่กำลังเดินไปไกลเรื่อยๆจนมองไม่เห็น... เราได้แต่รู้สึกสงสารปนห่วงพี่เค้า แต่ด้วยความหยิ่งทะนงตนของเราที่คิดว่าเราไม่ผิดและไม่อยากเสียฟอร์ม เราเลยบังคับตัวเองให้พยายามไม่คิด หาอะไรทำแต่มันก็ทำไม่ได้ เค้าจะอยู่ยังไง? เค้าจะพักที่ไหน? คิดอยู่สักพักสุดท้ายก็ต้องโทรหาเค้าค่ะ (ตอนนั้นเค้าใช้โทรศัพท์เครื่องสำรองของเราอยู่)
~~~ตรู้ดดดดดด~~~~~ตรู้ดดดดด~~~~
K : 'ไฮ้...'
N : 'คุณอยู่ไหนแล้วคะ?'
K : 'ผมอยู่ป้ายรถเมล์ครับ กำลังรอรถเมล์อยู่'
N : 'แล้วคุณจะไปที่ไหนคะ?'
K : 'ฮืมมมม... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน... บางทีอาจจะไปแถวข้าวสารนะ เห็นโรงแรมถูกดี'
N : 'งั้นคุณรออยู่นั่นก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปหา'
K : 'เอ๋???'
N : 'รออยู่นั่นแหละค่ะ' เราตัดบทแล้ววางสาย พร้อมรีบเดินกระหืดกระหอบออกไปหน้าซอยตรงป้ายรถเมล์ ก็เห็นหนุ่มญี่ปุ่นนั่งอ่านไกด์บุ๊ครอเราอยู่
N : "เอ่อ... ไปกินข้าวกันนะคะ" ^^ เรากำลังพยายามง้อแบบอ้อมๆ
K : "จะไปที่ไหนหรอครับ?"
N : "อืมมมม์ อากาศร้อนแบบนี้ไปเดินห้างกันดีกว่านะคะ หาของอร่อยๆกินกัน" ^^
K : "ก็ได้ครับ" ^^
เอ้อออออ~~~ พี่แกง้อง่ายดีแหะ ( ´ ▽ ` )
พวกเราพากันนั่งรถมาจนถึงห้างสรรพสินค้า และพากันหาร้านอาหารกิน พอกินเสร็จเราก็ยังไม่อยากกลับเพราะพึ่งจะบ่าย 2 โมง เลยพากันหาอะไรทำคั่นเวลา เราเช็คโปรแกรมหนัง และพากันไปดูเรื่อง Fast and Furious 7 พอดูเสร็จก็ค่ำพอดี เราจึงพากันหาข้าวกินและกลับห้องไป~
หลายวันต่อมาเราก็ใช้ชีวิตกันตามปกติเหมือนทุกๆวัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคืองานของเรา ช่วงนี้เราหยุดถ่ายรูปสินค้าและหยุดโพสต์ขายมาสักพัก งานธุรกิจของที่บ้านเราก็ไม่ได้แวะไป ตั้งแต่พี่เค้ามาเราก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลยค่ะ แต่ก็จะไลน์คุยกับที่บ้านตลอด เราไม่ได้ทำงานประจำ เลยไม่ได้มีผลกระทบอะไรเท่าไหร่ จริงๆเราก็คิดเรื่องนี้มาสักพัก ด้วยความที่อยากใช้เวลาอยู่กับแฟนให้เต็มที่ เพื่อที่จะได้เรียนรู้กันมากขึ้น มันเหมือนเป็นการลงทุนด้วยเวลา คู่ของพวกเราอยู่ไกลกันมาก นานๆจะเจอกันที เวลาอยู่ด้วยกันมันก็น้อยกว่าคู่อื่นๆ ถ้าถามว่าตอนนั้นเราจริงจังมากแค่ไหน? ขอตอบตามตรงว่ายังไม่มากเท่าไหร่ มันยังไม่เต็มที่ บางเวลาก็รู้สึกลังเลว่าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจเค้าได้ เข้าไปไม่ถึงและอาจจะรู้สึกเหนื่อยใจในบางครั้ง ทำไมผู้ชายญี่ปุ่นเข้าใจยากจัง? ทำไมเวลาเรางอนเค้าจะไม่ค่อยง้อ กลับกลายเป็นเค้าคิดว่าการที่เราไม่พูดไม่จาคือเราอาจจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า หรือเป็นเพราะเราอาจจะงี่เง่ามากเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะเค้าดูมีเหตุผลมากเกินไป สังคมและวัฒนธรรมสิ่งที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆมันต่างกัน พื้นฐานต่างกัน เหตุและผลต่างกัน
ตอนนี้เรารู้สึกว่าพวกเรายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน มันเป็นความรักในช่วงแรกๆที่มีความลุ่มหลงปนเข้ามาอยู่ มองอะไรๆก็ดูสวยงามไปหมด พวกเราจะรับนิสัยแย่ๆของกันและกันได้มากน้อยแค่ไหนกันนะ? เราจะปรับเปลี่ยนมุมมองความรักได้มากน้อยแค่ไหน? มันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราจะต้องเผชิญกับมันหลังจากนี้....
ไว้ติดตามตอนหน้านะคะ ^^
อ่านตอนย้อนหลังได้ที่ https://pantip.com/topic/36548306
อ่านตอนถัดไปได้ที่ https://pantip.com/topic/36719862
ฝากเพจของพวกเราด้วยนะคะ https://web.facebook.com/nekocouplestory/