คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ปริยัติบัญญัติ นิพพานเป็นอนัตตา บางคนว่านิพพานเป็นอัตตา
ใจคนก็ไปยึดบัญญัติ ตีความบัญญัติ แล้วก็ไปยึดว่าเป็นจริง
ก็หลงบัญญัติ ทั้งอัตตา และอนัตตา
ใจคนไปแบ่งนิพพาน เป็นอนัตตาบ้าง เป็นอัตตาบ้าง
นิพพานไม่รู้ด้วยเลยว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร
ใจคนรู้ว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร แต่ไม่ยอมรับความเป็นจริง
ไม่เห็นตามความเป็นจริง
นิพพานแปลว่าละตัณหา ใจคนละตัณหาได้ก็คือนิพพาน
ไม่เห็นต้องไปแบ่งว่านิพพานเป็นอัตตา บ้าง นิพพานเป็นอนัตตาบ้าง
ทำไม่ได้ก็ไม่เห็นนิพพานที่เป็นทั้งอัตตา และอนัตตา
ทำได้นิพพานอะไรก็ได้ทั้งนั้น เอาหมด
อัตตาและอนัตตา ไม่ได้อยู่ที่นิพพาน อยู่ที่ใจคน
อนัตตาไม่ได้อยู่ที่สัพเพธรรมา
ธรรมะทั้งหลาย ไม่ได้ไปเป็นผู้กำหนดว่าเป็นอนัตตา
คนไปแบ่งแยกเองทั้งนั้นว่าสิ่งนั้นอัตตา สิ่งนี้อนัตตา
ใจคนก็ไปยึดบัญญัติ ตีความบัญญัติ แล้วก็ไปยึดว่าเป็นจริง
ก็หลงบัญญัติ ทั้งอัตตา และอนัตตา
ใจคนไปแบ่งนิพพาน เป็นอนัตตาบ้าง เป็นอัตตาบ้าง
นิพพานไม่รู้ด้วยเลยว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร
ใจคนรู้ว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร แต่ไม่ยอมรับความเป็นจริง
ไม่เห็นตามความเป็นจริง
นิพพานแปลว่าละตัณหา ใจคนละตัณหาได้ก็คือนิพพาน
ไม่เห็นต้องไปแบ่งว่านิพพานเป็นอัตตา บ้าง นิพพานเป็นอนัตตาบ้าง
ทำไม่ได้ก็ไม่เห็นนิพพานที่เป็นทั้งอัตตา และอนัตตา
ทำได้นิพพานอะไรก็ได้ทั้งนั้น เอาหมด
อัตตาและอนัตตา ไม่ได้อยู่ที่นิพพาน อยู่ที่ใจคน
อนัตตาไม่ได้อยู่ที่สัพเพธรรมา
ธรรมะทั้งหลาย ไม่ได้ไปเป็นผู้กำหนดว่าเป็นอนัตตา
คนไปแบ่งแยกเองทั้งนั้นว่าสิ่งนั้นอัตตา สิ่งนี้อนัตตา
แสดงความคิดเห็น
สัพเพธรรมาใจเป็นอัตตา
แต่ใจไม่เป็นอนัตตา ใจกลับไปยึดธรรมะทั้งหลายเป็นอัตตา
เช่น ไปยึดกายตนเป็นอัตตา
ไปปรุงแต่งกายตนให้ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่ตาย
ให้คงสภาพเดิม ทั้งๆที่รู้ว่ากายเป็นอนัตตา
ความจริงกายไม่รู้ว่าอนัตตาเป็นอย่างไร
ใจเรารู้อยู่เต็มอก ว่าอนัตตาเป็นอย่างไร
แต่ปล่อยวางไม่ได้ เพราะตนหลงในอนัตตา
พอปล่อยวางไม่ได้ก็นึกคิดว่ามันเป็นอนัตตา
แต่ใจไม่เห็นว่าอนัตตา ต้องทำอย่างไร
คิดว่าสัพเพธรรมาอนัตตา
แต่ใจไม่ปล่อยวาง แล้วธรรมชาติจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร
ใจรู้อนัตตา ธรรมชาติไม่รู้จักอนัตตา
ใจปล่อยวางได้สัพเพธรรมาจึงจะเป็นอนัตตาติ