การพูดว่า'เด็กติดเกม ' ของคนในสังคมทั่วไป กับ 'เด็กติดเกม ' ทางการแพทย์ ไม่เท่ากัน

เด็กติดเกม
โพสโดย somsak เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2550 00:00

เด็กติดเกม



ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนมีหลายเรื่องที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ปวดเศียรเวียนเกล้ามาก หนึ่งในนั้นคือ เด็กติดเกม ที่ขยายความรุนแรงไปทั่วประเทศ หลายครอบครัวพยายามแก้ไขด้วยสารพัดวิธี สารพัดรูปแบบ...แก้ไขไม่ได้ เพราะเรื่องของ"เด็กติดเกม " ต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายและต่อเนื่องด้วย

อย่างไรที่เรียกว่าเด็กติดเกม

การพูดว่า"เด็กติดเกม " ของคนในสังคมทั่วไป กับ "เด็กติดเกม " ทางการแพทย์ ไม่เท่ากัน
พ่อแม่ผู้ปกครอง เห็นลูกหลานตัวเองเล่นเกมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรืออยู่หน้าโทรทัศน์นานสักหน่อย ก็เรียกว่า "ติดเกม " แล้ว แต่เป็นการติดทางใจ
ทางการแพทย์พูดถึงการติด คือการติดที่มีอาการทางกาย เพราะว่าร่างกายพึ่งพาสารบางอย่างจากภายนอก เช่น สารเสพติด (ยาบ้า เฮโรอีน) หรือสารที่หลั่งภายในร่างกายเราเองแต่เกิดจากการกระตุ้นจากภายนอก เช่น การเล่นการพนัน การเล่นเกม เป็นต้น

หากมองเรื่องการติดเกม อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 ชอบ
ชอบ... ไม่ใช่ติด
ทุกคนมีความชอบได้ แต่ต้องไม่เสียการควบคุมตนเอง บางคนชอบร้องเพลง บางคนชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมเยาวชน ขณะที่บางคนชอบเล่นกีฬา ความชอบเหล่านั้นทำให้เจ้าตัวมีความสุข แต่ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีก ซึ่งมีหลายทางเลือก

ระดับที่ 2 คลั่งไคล้
หมกมุ่น... คลั่งไคล้ เริ่มไม่ทำกิจกรรมอื่น
คนที่คลั่งไคล้ จะเริ่มคุมตัวเองไม่ได้ เช่น วันนี้ตั้งใจจะไม่เล่นเกม พยายามบอกตัวเองว่างดเล่น 1 วัน แต่อดใจไม่ได้คุมตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็เล่นเหมือนเดิมการคลั่งไคล้ยังไม่ถึงขั้นติด แต่เสียการควบคุมตนเอง

ระดับที่ ๓ การติด
ติดหรือไม่... เส้นแบ่งอยู่ที่การเสียการทำหน้าที่
ทุกคนมี " หน้าที่ " ของตัวเอง เด็กมีหน้าที่หลักคือการเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ และใช้เงินทองให้เหมาะ
สมพฤติกรรมของเด็กที่เสียการทำหน้าที่ เช่น ไม่อ่านหนังสือ โดดเรียน ใช้เงินหมดไปกับการเล่นเกม โกหก ซึ่งเป็นผลพวงจากการเล่นเกม
อาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้ขึ้นกับความรุนแรง ดังนั้นจึงวัดกันที่เสียการทำหน้าที่

อาการเด็กติดเกม

อาการของเด็กติดเกมโดยทั่วไปสังเกตได้จากเริ่มเสียการทำหน้าที่ รวมถึงทำกิจกรรมอย่างอื่นน้อยลง เช่น
เคยดูโทรทัศน์ เริ่มไม่ดู ไม่สนใจโทรทัศน์
เล่นกีฬาฟุตบอล เล่นน้อยลง หรือเลิกไปเลย
เล่นเกมจนลืมเวลา ไม่กินข้าว ไม่นอน รุ่งขึ้นเช้าไปโรงเรียนไม่ไหว
ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเกม จนกระทั่งหนีเรียนเพื่อไปเล่นเกมอย่างเดียว
ไม่รับผิดชอบงานบ้านที่ตนเองมีหน้าที่จะต้องทำ
อารมณ์และจิตใจเปลี่ยนไป จนถึงขั้นพูดคุยกับพ่อแม่ ผู้ปกครองไม่รู้เรื่อง
การติดเกมแตกต่างจากการติดเชื้อโรคของร่างกาย
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ร่างกายคนเราปุ๊บเป็นโรคทันที แต่การติดเกมเป็นเรื่องระดับความรุนแรงของ

อาการการติดเกมเป็นโรคหรือไม่

การติดเกมเต็มรูปแบบถือว่าเป็นโรค (ซึ่งเหมือนกับการติดสารเสพติดทั้งหลาย เช่น บุหรี่ สุรา ยาบ้า กัญชา เฮโรอีน)
เปรียบคล้ายกับคนติดสารเสพติด พยายามแสวงหามาเสพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เด็กติดเกมก็พยายามแสวงหาการเล่นเกม และต้องเล่นยาวนานมากขึ้น ถ้าไม่ได้เล่นก็จะหงุดหงิด และลงเอยที่การเสียการทำหน้าที่
โรคติดเกมเป็นโรคที่ต้องปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม

ป้องกันไม่ให้เด็กติดเกม

การป้องกันเด็กติดเกมที่ดีที่สุดคือ วินัยและความรับผิดชอบ
พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องสอนเด็กให้มีวินัยและความรับผิดชอบตั้งแต่เล็ก
วินัยคือข้อห้าม ข้อปฏิบัติของเด็ก
เด็กจะทำอะไรต้องมีขอบเขต เป็นต้นว่า ดูโทรทัศน์วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง เล่นของเล่นแล้วต้องเก็บเข้าที่ ห้ามเล่นของเล่นก่อนทำการบ้าน
มอบความรับผิดชอบ
นอกจากวินัยแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองควรมอบความรับผิดชอบให้เด็กทำตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักมีความรับผิดชอบ ต้องทำอะไรบางอย่างถึงแม้จะเบื่อทำขี้เกียจทำแต่ต้องทำ
การมอบความรับผิดชอบให้เด็กเป็นการฝึกให้รู้ว่าเขามีหน้าที่บางอย่างนะ ไม่ใช่ละทิ้งหน้าที่แล้วเล่นแต่เกมเด็กที่ถูกฝึกมาน้อยจะคุมตัวเองได้ยาก และจะเพลินไปกับเกม พ่อแม่ห้ามเรื่องเกม (โดยเฉพาะเด็กไม่ได้ถูกฝึกมาก่อน) จะโวยวาย ออกอิทธิฤทธิ์ เพราะพ่อแม่ไม่เคยบังคับ

หัวใจสำคัญคือ สร้างวินัยและความรับผิดชอบ ให้กับเด็กตั้งแต่ยังเล็ก เพราะจะทำให้เด็กมีความสามารถในการควบคุมบังคับตัวเอง ง่ายต่อการพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป
การฝึกวินัยให้เด็กเล็ก เช่น กินข้าวอิ่มแล้วก็ต้องนำภาชนะไปล้าง ของเล่นเมื่อเลิกเล่นก็ต้องเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ทำบ้านสกปรกก็ต้องเก็บกวาดให้สะอาด เหล่านี้เป็นเรื่องที่เด็กต้องฝึกรับคำสั่งฝึกรู้กฎระเบียบในบ้าน
นี่คือวินัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากไม่ควรมองข้ามแล้ว เป็นเรื่องสำคัญด้วย เพราะเด็กที่โตมาแล้วประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่เรื่องไม่เล่นเกมจะต้องเป็นคนมีวินัยและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ทั้งการเรียน การทำงานและชีวิตครอบครัว
ถ้าจะป้องกันเด็กติดเกมต้องทำเรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องประกอบ
พ่อแม่และผู้ปกครองควรสร้างบรรยากาศ ให้เด็กค้นพบความสุข ความสนุกหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แต่เรื่องเกม เด็กบางคนเล่นฟุตบอลเก่ง บางคนร้องเพลงเก่ง ก็รู้สึกอยากจะไปสิ่งเหล่านั้น

ตามหลักจิตวิทยาพื้นฐานคนเราจะวิ่งไปหาสิ่งที่ตัวเองประสบความสำเร็จ สิ่งที่ตัวเองทำแล้วมีความสุข และเกมก็ให้สิ่งนั้น เมื่อเด็กเล่นแล้วชนะ ยิงถูกได้คะแนน เล่นแล้วเพื่อนฝูงตบมือให้ เล่นชนะแล้วคนในเกมออนไลน์ชมกันใหญ่ เล่นอย่างไรสอนหน่อย เด็กได้ความภูมิใจ ได้ทุกอย่าง (แตกต่างจากการอยู่โลกภายนอก เพราะถูกพ่อแม่ ครูว่า ตำหนิตลอด) เขาได้ความสุข คำชมจากเกม ฉะนั้นถ้าพ่อแม่มีสิ่งเหล่านั้นให้กับเขา ให้เขาได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ให้เขามีความสุขสนุกสนานกับเรื่องอื่นๆ เขาจะเล่นเกมน้อยลง
สัมพันธภาพกับพ่อแม่ หรือบรรยากาศความอบอุ่นในบ้าน เด็กที่ไม่อบอุ่นก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้พ่อแม่ มีความทุกข์อะไรก็ไม่กล้าเล่าให้ฟัง เขาก็ไหลเข้าไปหาเพื่อนที่อยู่ในออนไลน์ ที่เล่นเกม ไปเล่าไปพูดคุยมีความสุข มีความอบอุ่น เพื่อนใส่ใจ เป็นทุกข์มาเพื่อนปลอบใจ พวกนี้พ่อแม่ก็ต้องสร้างบรรยากาศตัวเองให้ลูกนั้นอยากเข้าหา ลูกอาจจะอยากเล่าความรัก หรืออยากเล่าเรื่องความทุกข์ ฟังเขาเสียก่อนที่จะติเขา
พ่อแม่มีความรัก มีความห่วงใย มีความปรารถนาดี อยากจะบอกว่าอะไรถูกอะไรควร บางครั้งบอกเร็วไป บางครั้งรีบแนะนำ ยังไม่ทันฟัง ไม่ทันปลอบใจ แต่ทั้งหมดด้วยความหวังดีนะ แต่ความหวังดีไม่พอ ต้องเพิ่มความพอดีด้วย

รักษาเด็กติดเกม มีใครเกี่ยวข้องบ้าง

เรื่องของเด็กติดเกมนั้น เกี่ยวข้องกับบุคคลและ สิ่งแวดล้อม
ไล่ไปตั้งแต่บุคคลวงเล็กก่อน คือตัวเด็กเอง เป็นเรื่องของความพอดี เรื่องการมีวินัย จะเล่นก็เล่นได้ ไม่ใช่เรื่อง คอขาดบาดตาย แต่ต้องรู้ว่าชีวิตต้องประสบความสำเร็จ หลายด้าน และชีวิตต้องสร้างต้นทุนสำหรับอนาคต

การเล่นเกม คือการเสพใช้ความสุขปัจจุบัน ไม่ได้สร้างพื้นฐานสำหรับอนาคต
การอ่านหนังสือปัจจุบันทำให้อนาคตเรียนได้สูงขึ้น การวิ่งออกกำลังกายวันนี้ก็คือการทำให้หัวใจแข็งแรงใน วันข้างหน้า
ชีวิตของคนเราต้องทำอะไรก็ตามที่เป็นต้นทุนสำหรับอนาคตตลอดเวลา
"การเล่นเกม "เป็นต้นทุนสำหรับอนาคตแค่ไหน เรื่องนี้เด็กต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองให้มีความพอดี
ครอบครัวต้องทำตั้งแต่การป้องกันและการรักษา รายที่ไม่ได้เตรียมตัวลูก ป้องกันไม่ทัน ก็ต้องมาเริ่มที่การแก้ไข
การสั่งให้เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่สำเร็จ แต่พ่อแม่มักจะสั่งให้ลูกเปลี่ยนพฤติกรรม คือหยุดเล่น และบอกให้ไปอ่านหนังสือ การสั่งแบบนี้ไม่ได้ผล
การที่บอกให้เด็กรู้เหตุผลว่าอะไรควร ไม่ควร เป็นเบื้องต้นนั้นดี แต่ต้องประกอบไปด้วยการให้กำลังใจ พ่อแม่จะต้องมองเห็นข้อดีของเด็กด้านอื่นๆ
บางทีเค้าเพิ่งรดน้ำต้นไม้ได้ดี หรือเพิ่งร้องเพลงชนะอะไรก็แล้วแต่ หรือแม้กระทั่งทำรกน้อยหน่อย ก็ต้องมองว่าเป็นข้อดี
การสื่อข้อดีให้ลูกฟังบ้าง ลูกก็จะเงี่ยหูฟังเรามากขึ้น แม้จะเป็นข้อตำหนิข้อสอนตามมาหลังจากคำชมบ้างก็ทำให้อยากฟังมากขึ้น
สำหรับเด็กไม่ใช่เฉพาะเหตุผลว่าควรหรือไม่ควร แต่ว่าเขาอยากจะทำให้กับคนที่รู้สึกว่ารักเค้า เพราะคำว่ารัก คือความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกดีๆ เต็มล้นหัวใจพ่อแม่ แต่ไม่ได้บอกเขา ไม่ได้สื่อให้เขาเห็น การไปโอบไปกอด ให้ความอบอุ่น นุ่มนวล การพูดด้วยภาษาไพเราะ การชม เขาบ้าง การซื้อข้าวของ หรือพาไปเที่ยว ไปพูดคุยกัน ไปเล่นกัน สิ่งดีๆ สะท้อนความรัก
พวกนี้พ่อแม่มักลืมนึก หรือไม่มีเวลาพอที่จะทำ แต่จะรีบไปถึงสิ่งที่ลูกควรจะแก้ไข ก็รีบบอกเลยว่า ลูกต้องอย่างนี้อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นอนาคตก็แย่ไปหมดเลย
พ่อแม่จะต้องไม่ตามใจลูกด้วยการเปลี่ยนเป็นอินเทอร์เน็ต 24 ชั่วโมง เปลี่ยนความเร็วของคอมพิวเตอร์ให้เพิ่มขึ้น ซื้อเกมให้แล้วก็บอกลูกว่าอย่าเล่นมากนะ ลูกก็เล่นเกมมาก แต่สำหรับบ้านที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเทอร์เน็ตปัญหาพวกนี้จะน้อย
มาตรการทางการเงิน พ่อแม่ที่ให้เงินลูกเหลือเฟือ ลูกก็ไปใช้หมด ฟุ่มเฟือย แต่ถ้าลูกที่ไม่ค่อยมีสตางค์ หมดแล้วเล่นได้เกมเดียว ก็หมดเกมเดียวเท่านั้น พ่อแม่ที่ไม่ได้จำกัดเรื่องนี้ ลูกขอมากี่ครั้งก็ให้ เพราะไม่อยากจะรบกับลูก นี่คือการให้ท้ายสิ่งที่ไม่ดี

โรงเรียนควรมีกิจกรรมทางเลือก ตอนนี้เด็กไม่มีพื้นที่ ที่จะทำอะไรอย่างอื่น แถวบ้านก็เป็นเมือง ออกไปก็ไม่รู้จะเล่นตรงไหน สมัยก่อนเล่นกันแถววัด ปัจจุบันไม่มีลานวัดที่เด็กจะไป ทุกคนก็อยู่กันหน้าโทรทัศน์ หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ไม่มีกิจกรรม ซึ่งจริงๆ แล้วเด็กจะภาคภูมิใจผ่านกิจกรรมที่เขาถนัด เขาอยากร้องเพลง รวมตัวกัน ร้องเพลง อยากเล่นกีต้าร์รวมตัวกันเล่นกีต้าร์ อยากเตะฟุตบอลรวมตัวกันเตะฟุตบอล ตรงนั้นจะทำให้เขาภาคภูมิใจ สนุกสนาน เพราะฉะนั้นต้องสร้างกิจกรรมทางเลือกให้กับ เขา นอกจากเพลิดเพลินแล้ว เขาจะได้พัฒนาสิ่งที่เขาถนัด เป็นต้นทุนในอนาคต

กิจกรรมทางเลือก ทั้งบ้านและโรงเรียน หรือต่างคนต่างทำก็ได้ ทำเสริมกันไปก็ได้ แต่ทุกระดับเด็กต้อง มีความภาคภูมิใจในกิจกรรมที่เขาได้ทำด้วย

นอกโรงเรียน ร้านอินเทอร์เน็ต เรื่องของเกม ซึ่งก็ต้องเรียกร้องทั้งจิตสำนึก ที่เขาจะดูแลตัวเอง และรัฐก็ ต้องมาคุม เพราะว่าเป็นธุรกิจที่หากำไรจากเด็ก เด็กมีวิจารณญาณไม่มาก วางทอฟฟี่ไว้เขาก็อยากจะกินเพราะ เขาไม่รู้ว่าฟันจะผุ ถ้าปล่อยให้ทำธุรกิจเสรี ขูดเด็กได้เต็มที่ เด็กก็ชอบก็ติด ก็ไปขูดจากพ่อแม่มาอีกที ผลร้ายไปเกิด กับสังคมในอนาคต
เด็กเอาแต่เล่นเกม ไม่เรียนหนังสือ ไม่รับผิดชอบ ก็ไม่ใช่พลเมืองที่ดี สิ่งเหล่านี้รัฐต้องควบคุม ตั้งแต่ร้านก็ควรจะมีไม่มาก เปิดเผย โปร่งใส มีระบบระเบียบว่าเล่นได้ ไม่เกินเท่าไหร่ ร้านต้องบอกเด็กกลับบ้าน เป็นการสร้างและรักษาลูกค้าระยะยาว ถ้าร้านเกมหวังให้เด็กเล่นมากๆเพื่อเอากำไรสูงสุด เด็กจะทะเลาะกับพ่อแม่ ก็ไม่ได้มาเล่น แต่ถ้าเล่นพอประมาณแล้วกลับบ้าน พ่อแม่ไว้วางใจว่า ร้านนี้เตือนลูก ก็เป็นลูกค้าระยะยาว แบบนี้ก็ได้ ทีนี้ก็ไป จนถึง คือการลดความหนาแน่น อย่าให้ใกล้มาก ถูกมาก มีเวลาที่จำกัด
ตัวเกมเองก็เหมือนกัน เกมก็ต้องถูกควบคุมอย่าให้ติดมาก เพราะออกแบบเกมให้ติดมากได้ เอาโป๊ๆ มาใส่ เอารางวัลมากๆ ออกเชิงพนัน ทั้งกระตุ้นทั้งล่อ
รัฐต้องมาจัดเกรด เอ บี ซี ดี ว่าเด็กเข้าได้ช่วงไหน อย่างไหนห้ามเล่น ต่ำกว่าอายุเท่านี้ ไปจนกระทั่งปิดเลย ไม่ให้ใช้ ก็ต้องทำ เป็นการควบคุมทุกระดับ

https://www.doctor.or.th/article/detail/4096
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่