เมื่อราว 1,900 ปีที่ผ่านมา บนเนินเขาแห่งหนึ่งที่เป็นป้อมปราการในสกอตแลนด์
กองทัพโรมันได้บุกเข้าโจมตีนักรบท้องถิ่นด้วยการยิงกระสุนตะกั่วจากห่วงเชือกหนัง
ซึ่งมีอำนาจการหยุดยั้งพอ ๆ กับพลังของปืนพกขนาดใหญ่ .44 แม็กนั่ม
ตามผลการทดลองล่าสุดที่หน่วยงานวิจัยในเยอรมันนี
การโจมตีครั้งนั้น ดูเหมือนจะเป็นภัยพิบัติอย่างร้ายแรงต่อ
นักรบในท้องถิ่นเหล่านั้นที่มีอาวุธเพียงแค่ดาบและอาวุธง่าย ๆ อย่างอื่น ๆ
John Reid นักวิจัยจาก Trimontium Trust
https://goo.gl/iZLxWu
และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานวิจัยทางโบราณคดี
ที่ Burnswark ทางตอนใต้ของ Edinburgh
"
เราค่อนข้างแน่ใจว่า ชาวพื้นเมืองที่อยู่บนเนินเขาคงต้องตายหมด "
แต่ Burnswark ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดฉากสงครามกับ
ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของ Hadrian's Wall
ทหารโรมันดูเหมือนจะจมปลักอยู่ในสกอตแลนด์
ต้องต่อสู้กับศัตรูที่ลอบโจมตีและตอบโต้อย่างมีไหวพริบ
ทั้งยังสามารถหลบหลีกซ่อนตัวในภูเขาและบึงได้
ทหารโรมันต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปี ในการโจมตี Burnsavark
กว่าจะครอบครองพื้นที่ลุ่มในสก๊อตแลนด์ได้บางส่วน
สุดท้ายต้องถอนทัพกลับไปอยู่ทางทิศใต้ของกำแพง Hadrian's Walls
"
นี่เป็นจุดเริ่มต้นเหมือนอัฟกานิสถานของกรุงโรม "

ทหารโรมันที่ใช้ห่วงเชือกหนังขว้างกระสุนตะกั่วใส่พวกศัตรู
ทหารที่มีทักษะสามารถโจมตีเป้าหมายที่เล็กกว่าคนในระยะ 130 หลา PHOTOGRAPH BY JOHN REID
เมื่อ 5 ปีก่อน John Reid กับเพื่อนร่วมงาน Andrew Nicholson
https://goo.gl/9Gcfdf
นักโบราณคดีที่ Dumfries and Galloway Council
ได้เริ่มขุดค้นหลุม Burnswark โดยหวังว่าจะค้นพบหลักฐานใหม่ ๆ
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่สถานที่ตั้งดังกล่าว
ซึ่งรวมถึงค่ายทหารของโรมันสองแห่งด้วย
ในเวลานั้นนักโบราณคดีชาวสก็อต
ต่างสันนิษฐานสถานที่ดังกล่าวแตกต่างกันไป
บางคนคาดว่า กองทัพโรมันได้ใช้ Burnswark
เป็นสนามซ้อมยิงและค่ายฝึกหัดนักรบ
แต่นักวิจัยรายอื่น ๆ ตั้งข้อสังเกตว่า
เป็นเนินป้อมบนเขาที่มีตำแหน่งปิดล้อมเป็นแนวยาว
เพื่อความชัดเจนสถานที่ดังกล่าว
John Reid กับ Andrew Nicholson จึงตัดสินใจที่จะค้นคว้า Burnswark
เพื่อหาร่องรอยของกระสุนโบราณของทหารโรมันโบราณ
ตามแบบนักโบราณคดีชาวอเมริกันที่ได้ใช้เครื่องตรวจจับโลหะ
ซึ่งประสบความสำเร็จในค้นพบที่สนามรบ Battle of Little Bighorn
ในการค้นหากระสุนที่ฝังดินอยู่และแนวที่กำบังอาวุธ
กับการทำแผนที่แสดงการรบในสนามรบของทหาร
ดังนั้น ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะทดลองทำอะไรบางอย่าง
ที่คล้ายคลึงกับที่อเมริกา ตรงที่ Burnswark เช่นกัน
ขั้นตอนแรก ต้องเรียนรู้การปรับเทียบเครื่องตรวจจับโลหะ
เพื่อให้สามารถแยกแยะความแตกต่างของตะกั่ว
ที่ใช้เป็นกระสุนสลิงของทหารโรมันยุคโบราณ
ออกจากสิ่งประดิษฐ์โลหะอื่น ๆ ที่ฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าว
ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการใช้งานเครื่องตรวจจับโลหะ
ได้ค้นหาโลหะตะกั่วบนเนินเขาและบนยอดเนิน Burnswark
ค้นพบร่องรอยกระสุนตะกั่วมากกว่า 2,700 จุด
ซึ่ง Andrew Nicholson ได้ทำการจดบันทึก
และลงปูมพร้อมกับทำแผนที่ไว้อย่างละเอียด
จากนั้นทีมงานได้ค้นพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
จากการขุดหลุมเพื่อขุดค้นหลุมโบราณคดี 5 แห่ง
ผลการขุดค้นเผยให้เห็นกระสุนโรมันมากกว่า 400 ลูก
ตรงกับที่เครื่องตรวจจับโลหะระบุไว้
เช่นเดียวกับขีปนาวุธทรงกลมเจาะรูไว้
ที่รู้จักกันในนาม Ballista Balls
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 94% ของเครื่องตรวจจับโลหะ
ตรวจพบของจริงคือ กระสุนโรมันที่ทำด้วยตะกั่ว

นักโบราณคดี ค้นพบขีปนาวุธรูปทรงกลมมีรู ที่เรียกว่า ballista balls
ที่ใช้ยิงเป็นอาวุธโดยทหารโรมัน PHOTOGRAPH BY JOHN REID
ทีมงานค่อนข้างประทับใจกับผลการวิเคราะห์ตำแหน่ง
จากเครื่องตรวจจับโลหะทำให้เข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
พวกเขาได้ค้นพบความหนาแน่นของกระสุนตะกั่ว
ตลอดบริเวณด้านทางใต้ของป้อมปราการสก็อตที่ทอดยาวกว่า 500 หลา
ที่อยู่ตรงไปคือ ค่ายทหารแห่งหนึ่งของทหารโรมัน
ตั้งเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูแบบพร้อมรบ
" นี่คือหลักฐานที่เราคาดหวังจากการห้อมล้อมเข้าโจมตี
จุดที่สอง ความหนาแน่นน้อยกว่าทางทิศเหนือ
น่าจะเป็นเส้นทางถอย/หลบหนีออกจากป้อมปราการ
(หากว่าชนเผ่าพื้นเมืองล้มเหลวกับการป้องกันป้อมปราการ) "
ทหารโรมันที่ใช้ห่วงเชือกหนังสำหรับเหวี่ยงก้อนหิน/กระสุน
โดยทหารต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างหนักมาก
ผลการทดลองครั้งล่าสุดที่ทำในเยอรมนี
ระบุว่ากระสุนตะกั่วโรมันขนาด 50 กรัม
ที่ขว้างโดยทหารโรมันที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี
มีอำนาจในการหยุดยั้งศัตรูไม่ด้อยกว่า
การยิงศัตรูด้วยกระสุนปืนพกขนาด .44 แม็กนั่ม
ผลการทดสอบอย่างอื่น ๆ พบว่า
นักรบที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างดี
สามารถยิงกระสุนเข้าเป้าหมาย
ที่มีขนาดเล็กกว่ามนุษย์ได้จากระยะ 130 หลา
" นั่นคือ ระยะห่างจากกำแพงด้านหน้าของทางใต้ [โรมัน]
ตรงไปยังด้านหน้าของป้อมปราการบนเนินเขา "
ยุทธศาสตร์ที่น่ากลัว
ทหารโรมันยังใช้รูปแบบของสงครามจิตวิทยา
ที่ชาวพื้นเมืองยังไม่รู้จักมาก่อนหน้านี้
เพื่อทำลายขวัญศัตรูให้ต้องหวาดกลัว
และบ่อนทำลายการโจมตีของพวกศัตรู
เพราะ John Reid กับ Andrew Nicholson ได้สังเกตเห็น
รายละเอียดปลีกย่อยของหลุมขนาดเล็ก
ที่เกิดขึ้นโดยการตั้งใจทำจากกระสุนตะกั่วราว 10%
ทหารโรมันได้ทดลอง/ทดสอบยิงใส่พวกศัตรู
โดยผ่านประสบการณ์ทดสอบจากการฝึกอบรมมาก่อน
กระสุนตะกั่วที่มีรูเจาะไว้จะทำให้มีเสียงแหลมยาวเหมือนลางร้าย
" คล้ายเสียงร้องครวญครางของภูติผีปีศาจ
ดังนั้น เสียงเหล่านี้ที่ผิดปกติและแปลกประหลาด
เสียงที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
และมีคนล้มลงตายหรือบาดเจ็บ
ที่ด้านใดด้านหนึ่งรอบตัวพวกศัตรู
คุณสามารถยิงเข้าไปในกลุ่มศัตรู 3-4 คน
ทำให้หวังผลได้เหมือนผลการยิงจากกระสุนปืน
ผมคาดว่า ทั้งสองฝ่ายคงรบกันแบบตัวต่อตัว
และรบติดพันกันอย่างใกล้ชิดกันอย่างมาก
ทหารโรมันใช้กระสุนตะกั่วและก้อนหินในยุโรป
ก้อนตะกั่วขนาดใหญ่ที่เคยมีการค้นพบคล้ายผลมะนาว
มีน้ำหนักราว 2 ออนซ์ (60 กรัม)
กระสุนตะกั่วราว ๆ 20% ที่พบใน Burnswark
มีการเจาะรูเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแสดงว่าต้องใช้ความพยายามอย่างแรง
ในการเจาะรูกระสุนตะกั่วนี้ เพื่อพร้อมกับการใช้เป็นอาวุธ "
ยุทธศาสตร์ ตามนิยามสหายพรรคคอมมิวนิสต์
คือการใช้คนหนึ่งคนรบกับศัตรูจำนวนสิบคน
ยุทธวิธี คือ การใช้คนสิบคนรบกับคนหนึ่งคน
แบบการจับคนบ้าต้องใช้คนจำนวนหลายคนจึงจะจับอยู่

น้ำหนักกระสุนตะกั่วราว 1 ออนซ์ (30 กรัม)
กระสุนแต่ละลูกจะเจาะรูปราว 0.2 นิ้ว (5 มิลลิเมตร)
กระสุนจากห่วงเชือกหนังที่ส่งเสียงหวีดร้อง
อย่างที่ไม่เคยพบในค่ายทหารโรมันที่ไหนมาก่อน
แต่กระสุนจากห่วงเชือกหนังที่เคยมีการค้นพบในสนามรบที่กรีก
ราวช่วง 200-300 ปีก่อนคริสตศักราช
มีนักโบราณคดีหลายคนคาดว่า
กระสุนโบราณของกรีกมีการบรรจุยาพิษด้วย
แต่จากการตรวจสอบกระสุนหวีดร้อง 100 ลูก
รูมันเล็กเกินไปกว่าที่จะใส่ยาพิษข้างในได้
ซึ่งแน่นอนว่า ยาพิษคงไม่สามารถทะลุผิวหนังได้
และยิ่งจะทำให้สภาพการเป็นขีปนาวุธด้อยลง
มันจะยิงไกลไม่ได้ และยิงไปไม่ได้เร็ว
เหมือนกับโมเมนตัมของกระสุนหนังสติ๊กลูกที่ใหญ่กว่า
แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องใส่ยาพิษลงในรูเล็ก ๆ ของกระสุนพวกนี้ "
น้องชายของ John Reid ซึ่งเป็นนักตกปลาที่เชี่ยวชาญ
ได้เสนอแนะว่า วัตถุประสงค์หลักของกระสุนตะกั่วมีรู
คือการออกแบบให้มีเสียงหวีดร้องในตอนสู้รบ
" ผมพูดว่า แกอย่าอวดฉลาดเลย
แกพูดแบบไม่ได้คิดในเรื่องที่แกพูดเลย
และแกก็ไม่ใช่นักโบราณคดีด้วย
แต่น้องชายผมก็พูดว่า
ใช่ แต่ข้าเป็นชาวประมง
และตอนที่ข้าเหวี่ยงสายเบ็ดพร้อมตะกั่วถ่วงน้ำหนัก
ตะกั่วต้องเจาะรูเพื่อการนี้ มันส่งเสียงหวีดร้อง
และแล้ว ผมก็ปิ๊งขึ้นมาในหัวผมเลย
นั่นคือเหตุผลทั้งหมดนี้
พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อส่งเสียงหวีดร้อง "
การศึกษาเปรียบเทียบจากไอโซโทปของกระสุนตะกั่วที่ Burnsswark
และจากค่ายทหารแห่งอื่น ๆ ที่มีสภาพดีกว่านี้
แสดงให้เห็นว่าการโจมตีแบบบ้าดีเลือดเกิดขึ้น
ในช่วงราว 140 ปีหลังคริสตศักราช
รัชสมัยของจักรพรรดิแห่งโรมัน Antoninus Pius
" พระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่
ที่ต้องการมีชัยชนะทางการรบที่ไหนสักแห่ง
ด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงที่ Burnswark
เพื่อจะอ้างได้ว่า ประสบความสำเร็จในการรบอย่างรวดเร็ว
และปราบปรามชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่องทางชายแดนตอนเหนือ "
ในช่วงที่ทหารโรมันโจมตี Burnswark Hill
นักรบที่ใช้อาวุธห่วงเชือกหนังเป็นหน่วยเสริมกำลัง (auxilia)
ที่คอยสู้รบเคียงข้างกองทัพโรมันที่ติดอาวุธชนิดอื่น
นักรบห่วงเชือกหนังที่น่ากลัวที่สุดคือ ชาวเกาะ Balearic
หมู่เกาะที่ใกล้กับสเปนทางตะวันตกของทะเล Mediterranean
ที่เคยสู้รบกับกองทัพโรมันที่นำทัพโดย Julius Caesar
ผู้ซึ่งล้มเหลวในการยึดครอง Britain ในช่วง 55 และ 54 ก่อนคริสตศักราช
" นักรบเหล่านี้จะชำนาญในการใช้ห่วงเชือกหนังมาก
ทุกคนต่างฝึกฝนการใช้งานนี้มาตลอดชีวิตการรบ
ในมือของนักรบผู้เชี่ยวชาญแล้ว
กระสุนตะกั่วขนาดหนักหรือก้อนหิน
ที่เหวี่ยงออกไปสามารถทำความเร็วได้ถึง
100 mile/hour (160 kilometre/h)
กระสุนจากห่วงห่วงเชือกหนังขนาดใหญ่จะมีพลานุภาพมาก
มันสามารถระเบิดหัวคนให้กระจุยกระจายได้ "
Burnswark Hill ตั้งอยู่ไม่กี่ไมล์ทางตอนเหนือของ
ของป้อมปราการและกำแพงเมืองที่รู้จักกันดีว่า Hadrian's Wall
ถูกสร้างขึ้นในยุคการครองราชย์ของจักรพรรดิ์ Hadrian
ระหว่างช่วง 117 และ 138 ก่อนคริสตศักราช
" กองทัพโรมันบุกเข้าโจมตีค่าย Burnswark Hill
คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อ
ตามคำบัญชาของผู้สืบตำแหน่งในโรม
จักรพรรดิ์ Antoninus Pius
มีชัยทางตอนเหนือของกำแพงใน Scotland
เราคาดว่า การโจมตีชนพื้นเมืองถึงบริเวณยอดเขา
เพื่อแสดงให้ศัตรูรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าพยายามต่อต้านการโจมตีของทหารโรมัน "
แต่ชนเผ่าสก็อตได้ตอบโต้กลับอย่างแรง
จนต้องกินเวลาในการสู้รบมากกว่า 20 ปี
จนกระทั่งในปี 158 ก่อนคริสตศักราช
กองทัพโรมันจึงยอมถอนทัพออกจากทางตอนเหนือ
และยกกองทัพกลับเข้าสู่แนว Hadrian's Wall
Scotland คล้ายกับ Afghanistan ในหลาย ๆ ด้าน
ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยอย่างมาก
และยิ่งไปไกลถึงทางตอนเหนือแล้ว
มันยิ่งยากขึ้นในการสนับสนุนกองทัพที่อยู่ห่างไกล
จากทางตอนเหนือของ Hadrian's Wall "
John Reid กล่าวสรุป
Fraser Hunter นักโบราณคดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสกอตแลนด์ Edinburgh
ได้กล่าวถึงงานค้นคว้าวิจัยเรื่องใหม่
" งานที่บุกเบิกอย่างยิ่งและน่าตื่นเต้นมาก
และคาดว่า Burnswark ได้ตั้งคำถามใหม่เกี่ยวกับ
ปัญหาที่ทหารชาวโรมันอาจจะสร้างขึ้นเอง
เมื่อตอนที่สร้างกำแพง Hadrian's Wall
และทำให้เกิดความเป็นศัตรูในหมู่ชนเผ่าสก๊อตแลนด์
เปรียบเทียบกับการก่อศึกในอัฟกานิสถาน
(คาดว่าเตรียมยกทัพมารุกรานชนเผ่า)
เพราะสาเหตุหนึ่งที่จักรวรรดิ์มักจะต้องประสบกับปัญหา
คือ ในแวดวงนักรบ บ่อยครั้งที่สาเหตุของปัญหามาจากตนเอง
โดยไม่รู้ตัวว่าพวกตนเป็นสาเหตุของเรื่องดังกล่าว "
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/rmfpHt
https://goo.gl/suKO51
กระสุนโบราณรุนแรงเทียบเท่า .44 แม็กนั่ม
ห่วงเชือกหนังที่ใช้ยิงกระสุนตะกั่ว ที่มา https://goo.gl/YzVPuX
ข้อมูลเพิ่มเติม https://goo.gl/YguXE3
เมื่อราว 1,900 ปีที่ผ่านมา บนเนินเขาแห่งหนึ่งที่เป็นป้อมปราการในสกอตแลนด์
กองทัพโรมันได้บุกเข้าโจมตีนักรบท้องถิ่นด้วยการยิงกระสุนตะกั่วจากห่วงเชือกหนัง
ซึ่งมีอำนาจการหยุดยั้งพอ ๆ กับพลังของปืนพกขนาดใหญ่ .44 แม็กนั่ม
ตามผลการทดลองล่าสุดที่หน่วยงานวิจัยในเยอรมันนี
การโจมตีครั้งนั้น ดูเหมือนจะเป็นภัยพิบัติอย่างร้ายแรงต่อ
นักรบในท้องถิ่นเหล่านั้นที่มีอาวุธเพียงแค่ดาบและอาวุธง่าย ๆ อย่างอื่น ๆ
John Reid นักวิจัยจาก Trimontium Trust https://goo.gl/iZLxWu
และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานวิจัยทางโบราณคดี
ที่ Burnswark ทางตอนใต้ของ Edinburgh
" เราค่อนข้างแน่ใจว่า ชาวพื้นเมืองที่อยู่บนเนินเขาคงต้องตายหมด "
แต่ Burnswark ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดฉากสงครามกับ
ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของ Hadrian's Wall
ทหารโรมันดูเหมือนจะจมปลักอยู่ในสกอตแลนด์
ต้องต่อสู้กับศัตรูที่ลอบโจมตีและตอบโต้อย่างมีไหวพริบ
ทั้งยังสามารถหลบหลีกซ่อนตัวในภูเขาและบึงได้
ทหารโรมันต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปี ในการโจมตี Burnsavark
กว่าจะครอบครองพื้นที่ลุ่มในสก๊อตแลนด์ได้บางส่วน
สุดท้ายต้องถอนทัพกลับไปอยู่ทางทิศใต้ของกำแพง Hadrian's Walls
" นี่เป็นจุดเริ่มต้นเหมือนอัฟกานิสถานของกรุงโรม "
ทหารโรมันที่ใช้ห่วงเชือกหนังขว้างกระสุนตะกั่วใส่พวกศัตรู
ทหารที่มีทักษะสามารถโจมตีเป้าหมายที่เล็กกว่าคนในระยะ 130 หลา PHOTOGRAPH BY JOHN REID
เมื่อ 5 ปีก่อน John Reid กับเพื่อนร่วมงาน Andrew Nicholson https://goo.gl/9Gcfdf
นักโบราณคดีที่ Dumfries and Galloway Council
ได้เริ่มขุดค้นหลุม Burnswark โดยหวังว่าจะค้นพบหลักฐานใหม่ ๆ
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่สถานที่ตั้งดังกล่าว
ซึ่งรวมถึงค่ายทหารของโรมันสองแห่งด้วย
ในเวลานั้นนักโบราณคดีชาวสก็อต
ต่างสันนิษฐานสถานที่ดังกล่าวแตกต่างกันไป
บางคนคาดว่า กองทัพโรมันได้ใช้ Burnswark
เป็นสนามซ้อมยิงและค่ายฝึกหัดนักรบ
แต่นักวิจัยรายอื่น ๆ ตั้งข้อสังเกตว่า
เป็นเนินป้อมบนเขาที่มีตำแหน่งปิดล้อมเป็นแนวยาว
เพื่อความชัดเจนสถานที่ดังกล่าว
John Reid กับ Andrew Nicholson จึงตัดสินใจที่จะค้นคว้า Burnswark
เพื่อหาร่องรอยของกระสุนโบราณของทหารโรมันโบราณ
ตามแบบนักโบราณคดีชาวอเมริกันที่ได้ใช้เครื่องตรวจจับโลหะ
ซึ่งประสบความสำเร็จในค้นพบที่สนามรบ Battle of Little Bighorn
ข้อมูลเพิ่มเติม https://goo.gl/zSv4zT
ในการค้นหากระสุนที่ฝังดินอยู่และแนวที่กำบังอาวุธ
กับการทำแผนที่แสดงการรบในสนามรบของทหาร
ดังนั้น ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะทดลองทำอะไรบางอย่าง
ที่คล้ายคลึงกับที่อเมริกา ตรงที่ Burnswark เช่นกัน
ขั้นตอนแรก ต้องเรียนรู้การปรับเทียบเครื่องตรวจจับโลหะ
เพื่อให้สามารถแยกแยะความแตกต่างของตะกั่ว
ที่ใช้เป็นกระสุนสลิงของทหารโรมันยุคโบราณ
ออกจากสิ่งประดิษฐ์โลหะอื่น ๆ ที่ฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าว
ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการใช้งานเครื่องตรวจจับโลหะ
ได้ค้นหาโลหะตะกั่วบนเนินเขาและบนยอดเนิน Burnswark
ค้นพบร่องรอยกระสุนตะกั่วมากกว่า 2,700 จุด
ซึ่ง Andrew Nicholson ได้ทำการจดบันทึก
และลงปูมพร้อมกับทำแผนที่ไว้อย่างละเอียด
จากนั้นทีมงานได้ค้นพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
จากการขุดหลุมเพื่อขุดค้นหลุมโบราณคดี 5 แห่ง
ผลการขุดค้นเผยให้เห็นกระสุนโรมันมากกว่า 400 ลูก
ตรงกับที่เครื่องตรวจจับโลหะระบุไว้
เช่นเดียวกับขีปนาวุธทรงกลมเจาะรูไว้
ที่รู้จักกันในนาม Ballista Balls
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 94% ของเครื่องตรวจจับโลหะ
ตรวจพบของจริงคือ กระสุนโรมันที่ทำด้วยตะกั่ว
นักโบราณคดี ค้นพบขีปนาวุธรูปทรงกลมมีรู ที่เรียกว่า ballista balls
ที่ใช้ยิงเป็นอาวุธโดยทหารโรมัน PHOTOGRAPH BY JOHN REID
ทีมงานค่อนข้างประทับใจกับผลการวิเคราะห์ตำแหน่ง
จากเครื่องตรวจจับโลหะทำให้เข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
พวกเขาได้ค้นพบความหนาแน่นของกระสุนตะกั่ว
ตลอดบริเวณด้านทางใต้ของป้อมปราการสก็อตที่ทอดยาวกว่า 500 หลา
ที่อยู่ตรงไปคือ ค่ายทหารแห่งหนึ่งของทหารโรมัน
ตั้งเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูแบบพร้อมรบ
" นี่คือหลักฐานที่เราคาดหวังจากการห้อมล้อมเข้าโจมตี
จุดที่สอง ความหนาแน่นน้อยกว่าทางทิศเหนือ
น่าจะเป็นเส้นทางถอย/หลบหนีออกจากป้อมปราการ
(หากว่าชนเผ่าพื้นเมืองล้มเหลวกับการป้องกันป้อมปราการ) "
ทหารโรมันที่ใช้ห่วงเชือกหนังสำหรับเหวี่ยงก้อนหิน/กระสุน
โดยทหารต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างหนักมาก
ผลการทดลองครั้งล่าสุดที่ทำในเยอรมนี
ระบุว่ากระสุนตะกั่วโรมันขนาด 50 กรัม
ที่ขว้างโดยทหารโรมันที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี
มีอำนาจในการหยุดยั้งศัตรูไม่ด้อยกว่า
การยิงศัตรูด้วยกระสุนปืนพกขนาด .44 แม็กนั่ม
ผลการทดสอบอย่างอื่น ๆ พบว่า
นักรบที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างดี
สามารถยิงกระสุนเข้าเป้าหมาย
ที่มีขนาดเล็กกว่ามนุษย์ได้จากระยะ 130 หลา
" นั่นคือ ระยะห่างจากกำแพงด้านหน้าของทางใต้ [โรมัน]
ตรงไปยังด้านหน้าของป้อมปราการบนเนินเขา "
ยุทธศาสตร์ที่น่ากลัว
ทหารโรมันยังใช้รูปแบบของสงครามจิตวิทยา
ที่ชาวพื้นเมืองยังไม่รู้จักมาก่อนหน้านี้
เพื่อทำลายขวัญศัตรูให้ต้องหวาดกลัว
และบ่อนทำลายการโจมตีของพวกศัตรู
เพราะ John Reid กับ Andrew Nicholson ได้สังเกตเห็น
รายละเอียดปลีกย่อยของหลุมขนาดเล็ก
ที่เกิดขึ้นโดยการตั้งใจทำจากกระสุนตะกั่วราว 10%
ทหารโรมันได้ทดลอง/ทดสอบยิงใส่พวกศัตรู
โดยผ่านประสบการณ์ทดสอบจากการฝึกอบรมมาก่อน
กระสุนตะกั่วที่มีรูเจาะไว้จะทำให้มีเสียงแหลมยาวเหมือนลางร้าย
" คล้ายเสียงร้องครวญครางของภูติผีปีศาจ
ดังนั้น เสียงเหล่านี้ที่ผิดปกติและแปลกประหลาด
เสียงที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
และมีคนล้มลงตายหรือบาดเจ็บ
ที่ด้านใดด้านหนึ่งรอบตัวพวกศัตรู
คุณสามารถยิงเข้าไปในกลุ่มศัตรู 3-4 คน
ทำให้หวังผลได้เหมือนผลการยิงจากกระสุนปืน
ผมคาดว่า ทั้งสองฝ่ายคงรบกันแบบตัวต่อตัว
และรบติดพันกันอย่างใกล้ชิดกันอย่างมาก
ทหารโรมันใช้กระสุนตะกั่วและก้อนหินในยุโรป
ก้อนตะกั่วขนาดใหญ่ที่เคยมีการค้นพบคล้ายผลมะนาว
มีน้ำหนักราว 2 ออนซ์ (60 กรัม)
กระสุนตะกั่วราว ๆ 20% ที่พบใน Burnswark
มีการเจาะรูเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแสดงว่าต้องใช้ความพยายามอย่างแรง
ในการเจาะรูกระสุนตะกั่วนี้ เพื่อพร้อมกับการใช้เป็นอาวุธ "
ยุทธศาสตร์ ตามนิยามสหายพรรคคอมมิวนิสต์
คือการใช้คนหนึ่งคนรบกับศัตรูจำนวนสิบคน
ยุทธวิธี คือ การใช้คนสิบคนรบกับคนหนึ่งคน
แบบการจับคนบ้าต้องใช้คนจำนวนหลายคนจึงจะจับอยู่
น้ำหนักกระสุนตะกั่วราว 1 ออนซ์ (30 กรัม)
กระสุนแต่ละลูกจะเจาะรูปราว 0.2 นิ้ว (5 มิลลิเมตร)
กระสุนจากห่วงเชือกหนังที่ส่งเสียงหวีดร้อง
อย่างที่ไม่เคยพบในค่ายทหารโรมันที่ไหนมาก่อน
แต่กระสุนจากห่วงเชือกหนังที่เคยมีการค้นพบในสนามรบที่กรีก
ราวช่วง 200-300 ปีก่อนคริสตศักราช
มีนักโบราณคดีหลายคนคาดว่า
กระสุนโบราณของกรีกมีการบรรจุยาพิษด้วย
แต่จากการตรวจสอบกระสุนหวีดร้อง 100 ลูก
รูมันเล็กเกินไปกว่าที่จะใส่ยาพิษข้างในได้
ซึ่งแน่นอนว่า ยาพิษคงไม่สามารถทะลุผิวหนังได้
และยิ่งจะทำให้สภาพการเป็นขีปนาวุธด้อยลง
มันจะยิงไกลไม่ได้ และยิงไปไม่ได้เร็ว
เหมือนกับโมเมนตัมของกระสุนหนังสติ๊กลูกที่ใหญ่กว่า
แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องใส่ยาพิษลงในรูเล็ก ๆ ของกระสุนพวกนี้ "
น้องชายของ John Reid ซึ่งเป็นนักตกปลาที่เชี่ยวชาญ
ได้เสนอแนะว่า วัตถุประสงค์หลักของกระสุนตะกั่วมีรู
คือการออกแบบให้มีเสียงหวีดร้องในตอนสู้รบ
" ผมพูดว่า แกอย่าอวดฉลาดเลย
แกพูดแบบไม่ได้คิดในเรื่องที่แกพูดเลย
และแกก็ไม่ใช่นักโบราณคดีด้วย
แต่น้องชายผมก็พูดว่า
ใช่ แต่ข้าเป็นชาวประมง
และตอนที่ข้าเหวี่ยงสายเบ็ดพร้อมตะกั่วถ่วงน้ำหนัก
ตะกั่วต้องเจาะรูเพื่อการนี้ มันส่งเสียงหวีดร้อง
และแล้ว ผมก็ปิ๊งขึ้นมาในหัวผมเลย
นั่นคือเหตุผลทั้งหมดนี้
พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อส่งเสียงหวีดร้อง "
การศึกษาเปรียบเทียบจากไอโซโทปของกระสุนตะกั่วที่ Burnsswark
และจากค่ายทหารแห่งอื่น ๆ ที่มีสภาพดีกว่านี้
แสดงให้เห็นว่าการโจมตีแบบบ้าดีเลือดเกิดขึ้น
ในช่วงราว 140 ปีหลังคริสตศักราช
รัชสมัยของจักรพรรดิแห่งโรมัน Antoninus Pius
" พระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่
ที่ต้องการมีชัยชนะทางการรบที่ไหนสักแห่ง
ด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงที่ Burnswark
เพื่อจะอ้างได้ว่า ประสบความสำเร็จในการรบอย่างรวดเร็ว
และปราบปรามชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่องทางชายแดนตอนเหนือ "
ในช่วงที่ทหารโรมันโจมตี Burnswark Hill
นักรบที่ใช้อาวุธห่วงเชือกหนังเป็นหน่วยเสริมกำลัง (auxilia)
ที่คอยสู้รบเคียงข้างกองทัพโรมันที่ติดอาวุธชนิดอื่น
นักรบห่วงเชือกหนังที่น่ากลัวที่สุดคือ ชาวเกาะ Balearic
หมู่เกาะที่ใกล้กับสเปนทางตะวันตกของทะเล Mediterranean
ที่เคยสู้รบกับกองทัพโรมันที่นำทัพโดย Julius Caesar
ผู้ซึ่งล้มเหลวในการยึดครอง Britain ในช่วง 55 และ 54 ก่อนคริสตศักราช
" นักรบเหล่านี้จะชำนาญในการใช้ห่วงเชือกหนังมาก
ทุกคนต่างฝึกฝนการใช้งานนี้มาตลอดชีวิตการรบ
ในมือของนักรบผู้เชี่ยวชาญแล้ว
กระสุนตะกั่วขนาดหนักหรือก้อนหิน
ที่เหวี่ยงออกไปสามารถทำความเร็วได้ถึง 100 mile/hour (160 kilometre/h)
กระสุนจากห่วงห่วงเชือกหนังขนาดใหญ่จะมีพลานุภาพมาก
มันสามารถระเบิดหัวคนให้กระจุยกระจายได้ "
Burnswark Hill ตั้งอยู่ไม่กี่ไมล์ทางตอนเหนือของ
ของป้อมปราการและกำแพงเมืองที่รู้จักกันดีว่า Hadrian's Wall
ถูกสร้างขึ้นในยุคการครองราชย์ของจักรพรรดิ์ Hadrian
ระหว่างช่วง 117 และ 138 ก่อนคริสตศักราช
" กองทัพโรมันบุกเข้าโจมตีค่าย Burnswark Hill
คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อ
ตามคำบัญชาของผู้สืบตำแหน่งในโรม
จักรพรรดิ์ Antoninus Pius
มีชัยทางตอนเหนือของกำแพงใน Scotland
เราคาดว่า การโจมตีชนพื้นเมืองถึงบริเวณยอดเขา
เพื่อแสดงให้ศัตรูรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าพยายามต่อต้านการโจมตีของทหารโรมัน "
แต่ชนเผ่าสก็อตได้ตอบโต้กลับอย่างแรง
จนต้องกินเวลาในการสู้รบมากกว่า 20 ปี
จนกระทั่งในปี 158 ก่อนคริสตศักราช
กองทัพโรมันจึงยอมถอนทัพออกจากทางตอนเหนือ
และยกกองทัพกลับเข้าสู่แนว Hadrian's Wall
Scotland คล้ายกับ Afghanistan ในหลาย ๆ ด้าน
ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยอย่างมาก
และยิ่งไปไกลถึงทางตอนเหนือแล้ว
มันยิ่งยากขึ้นในการสนับสนุนกองทัพที่อยู่ห่างไกล
จากทางตอนเหนือของ Hadrian's Wall "
John Reid กล่าวสรุป
Fraser Hunter นักโบราณคดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสกอตแลนด์ Edinburgh
ได้กล่าวถึงงานค้นคว้าวิจัยเรื่องใหม่
" งานที่บุกเบิกอย่างยิ่งและน่าตื่นเต้นมาก
และคาดว่า Burnswark ได้ตั้งคำถามใหม่เกี่ยวกับ
ปัญหาที่ทหารชาวโรมันอาจจะสร้างขึ้นเอง
เมื่อตอนที่สร้างกำแพง Hadrian's Wall
และทำให้เกิดความเป็นศัตรูในหมู่ชนเผ่าสก๊อตแลนด์
เปรียบเทียบกับการก่อศึกในอัฟกานิสถาน
(คาดว่าเตรียมยกทัพมารุกรานชนเผ่า)
เพราะสาเหตุหนึ่งที่จักรวรรดิ์มักจะต้องประสบกับปัญหา
คือ ในแวดวงนักรบ บ่อยครั้งที่สาเหตุของปัญหามาจากตนเอง
โดยไม่รู้ตัวว่าพวกตนเป็นสาเหตุของเรื่องดังกล่าว "
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/rmfpHt
https://goo.gl/suKO51