คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 60
ถ้าจะพูดถึงความสะดวกสบาย เราเห็นแย้งกับคุณนะคะ
มันสะดวก (หรือที่จริงไม่สะดวก สำหรับบางคำ) ตอนคุณเขียน แต่เวลาอ่านน่ะสิคะ
คำพ้องรูปปัจจุบันก็มีมากเยอะเกินไปอยู่แล้ว เช่น กัน เขียนแบบเดียวแต่อาจมีหลายความหมาย (ไปกันเถอะ / กันคิ้ว / กีดกัน / กัน (ที่เป็นสรรพนาม))
ซึ่งส่วนมากเราก็ใช้บริบทดูความหมายได้ ทำให้สื่อสารได้ไม่ผิดจากเจตนา
แต่ถ้าเอาทุกคำที่ออกเสียงว่า "กัน" มายุบรวมกัน(< นี่ก็กัน เห็นมั้ย 555) เป็น "กัน" เหมือน ๆ กันหมด
เช่น
กันต์ = โกน ตัด
กรรณ = หู
กัณฐ์ = คอ
กัลป์ = ระยะเวลาอันนานเหลือเกิน
กันย์ = ชื่อราศีที่ 6
กัณฑ์ = ข้อความที่แต่งเป็นคำเทศน์เรื่องหนึ่งๆ
กัณห- = ส่วนหน้าของคำสมาส แปลว่าดำหรือมืด
(ตัวอย่างด้านบนคัดลอกมาจาก http://203.172.212.130/~webthai/06%20Doc/compong.htm )
เยอะขนาดนี้ มายุบรวมเป็น "กัน" หมดจะเกิดอะไรขึ้น?
ผลคือ เวลาอ่านก็จะทำให้ยิ่งมีคำพ้องรูปให้ต้องมานั่งแปลกันหัวแตกอีก ว่านี่มันหมายถึง "กัน" ไหน
เพราะบางครั้งรูปประโยคหรือบริบทโดยรอบอาจจะไม่เอื้อต่อการแปลความหมาย
มิหนำซ้ำยังมีพวกคำที่มีมากกว่า 1 พยางค์ หรือคำประสม คำสมาส ที่มีคำว่า "กัน" อยู่ด้วย รวมทั้งชื่อคน
เช่น กัญญา กรรณิกา กัลยา กัลปพฤกษ์ กรรโชก กรรไกร กัญชา กัลปาวสาน ฉกรรจ์
การสะกดที่ยากและซับซ้อน เป็นสิ่งที่นำมาช่วยแก้ปัญหาเสียงพยัญชนะและเสียงสระ ที่ผสมออกมาได้จำกัด ทำให้มีคำพ้องเสียงเยอะ
พอเขียนแตกต่างกันไป ก็จะทำให้เห็นแล้วรู้ความหมาย หรืออย่างน้อยก็แยกแยะออกได้ในทันทีว่าไม่ใช่คำเดียวกัน
มันไม่ใช่แค่ความสละสลวยสวยงามเท่านั้นค่ะ
และการคงรูปเดิมจากภาษาต้นแบบเอาไว้ก็จะทำให้สืบค้นความหมาย หรือรู้รากศัพท์ได้ง่ายขึ้นด้วย
ไม่ใช่งมไปในความมืด หรือต้องเดาสุ่มว่า "กัน" ที่เขียนมานั้นหมายถึงอะไรหรือมาจากรากศัพท์ไหน
การสะกดแตกต่างกันจะมีประโยชน์เยอะมากในการแปลความหมาย โดยเฉพาะถ้าไม่มีบริบท หรือบริบทไม่ช่วยในการเดา
ด้วยเหตุผลนี้แล้ว ส่วนตัวเราจึงคิดว่าสะกดหลาย ๆ แบบนั้น "สะดวก" กว่าค่ะ
------------------------------------
ขออนุญาต edit เพิ่ม เพื่อชี้เป้า คคห. ที่ลึกซึ้งและน่าสนใจ น่าอ่านและน่าศึกษาเพิ่มเติมนะคะ
https://pantip.com/topic/36474061/comment43 ---- ยกตัวอย่างภาษาจีน กล่าวว่า คำเขียนแต่ละคำมีเรื่องราวของตัวเอง
https://pantip.com/topic/36474061/comment70 ---- กล่าวถึงระบบ phonology ตัวอักษรบางตัวเมื่อแรกนั้นออกเสียงไม่เหมือนกัน
https://pantip.com/topic/36474061/comment100 ---- กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของระบบภาษาไทย น่าสดใจและอัดแน่นไปด้วยความรู้ค่ะ
https://pantip.com/topic/36474061/comment113 ---- ว่าด้วยเรื่องการตีความจากบริบท ซึ่งน่าจะตอบคำถามของ จขกท. ที่ว่า "คำพ้องเสียงทำไมทีตอนพูดถึงไม่สับสน?" ได้ค่ะ
มันสะดวก (หรือที่จริงไม่สะดวก สำหรับบางคำ) ตอนคุณเขียน แต่เวลาอ่านน่ะสิคะ
คำพ้องรูปปัจจุบันก็มีมากเยอะเกินไปอยู่แล้ว เช่น กัน เขียนแบบเดียวแต่อาจมีหลายความหมาย (ไปกันเถอะ / กันคิ้ว / กีดกัน / กัน (ที่เป็นสรรพนาม))
ซึ่งส่วนมากเราก็ใช้บริบทดูความหมายได้ ทำให้สื่อสารได้ไม่ผิดจากเจตนา
แต่ถ้าเอาทุกคำที่ออกเสียงว่า "กัน" มายุบรวมกัน(< นี่ก็กัน เห็นมั้ย 555) เป็น "กัน" เหมือน ๆ กันหมด
เช่น
กันต์ = โกน ตัด
กรรณ = หู
กัณฐ์ = คอ
กัลป์ = ระยะเวลาอันนานเหลือเกิน
กันย์ = ชื่อราศีที่ 6
กัณฑ์ = ข้อความที่แต่งเป็นคำเทศน์เรื่องหนึ่งๆ
กัณห- = ส่วนหน้าของคำสมาส แปลว่าดำหรือมืด
(ตัวอย่างด้านบนคัดลอกมาจาก http://203.172.212.130/~webthai/06%20Doc/compong.htm )
เยอะขนาดนี้ มายุบรวมเป็น "กัน" หมดจะเกิดอะไรขึ้น?
ผลคือ เวลาอ่านก็จะทำให้ยิ่งมีคำพ้องรูปให้ต้องมานั่งแปลกันหัวแตกอีก ว่านี่มันหมายถึง "กัน" ไหน
เพราะบางครั้งรูปประโยคหรือบริบทโดยรอบอาจจะไม่เอื้อต่อการแปลความหมาย
มิหนำซ้ำยังมีพวกคำที่มีมากกว่า 1 พยางค์ หรือคำประสม คำสมาส ที่มีคำว่า "กัน" อยู่ด้วย รวมทั้งชื่อคน
เช่น กัญญา กรรณิกา กัลยา กัลปพฤกษ์ กรรโชก กรรไกร กัญชา กัลปาวสาน ฉกรรจ์
การสะกดที่ยากและซับซ้อน เป็นสิ่งที่นำมาช่วยแก้ปัญหาเสียงพยัญชนะและเสียงสระ ที่ผสมออกมาได้จำกัด ทำให้มีคำพ้องเสียงเยอะ
พอเขียนแตกต่างกันไป ก็จะทำให้เห็นแล้วรู้ความหมาย หรืออย่างน้อยก็แยกแยะออกได้ในทันทีว่าไม่ใช่คำเดียวกัน
มันไม่ใช่แค่ความสละสลวยสวยงามเท่านั้นค่ะ
และการคงรูปเดิมจากภาษาต้นแบบเอาไว้ก็จะทำให้สืบค้นความหมาย หรือรู้รากศัพท์ได้ง่ายขึ้นด้วย
ไม่ใช่งมไปในความมืด หรือต้องเดาสุ่มว่า "กัน" ที่เขียนมานั้นหมายถึงอะไรหรือมาจากรากศัพท์ไหน
การสะกดแตกต่างกันจะมีประโยชน์เยอะมากในการแปลความหมาย โดยเฉพาะถ้าไม่มีบริบท หรือบริบทไม่ช่วยในการเดา
ด้วยเหตุผลนี้แล้ว ส่วนตัวเราจึงคิดว่าสะกดหลาย ๆ แบบนั้น "สะดวก" กว่าค่ะ
------------------------------------
ขออนุญาต edit เพิ่ม เพื่อชี้เป้า คคห. ที่ลึกซึ้งและน่าสนใจ น่าอ่านและน่าศึกษาเพิ่มเติมนะคะ
https://pantip.com/topic/36474061/comment43 ---- ยกตัวอย่างภาษาจีน กล่าวว่า คำเขียนแต่ละคำมีเรื่องราวของตัวเอง
https://pantip.com/topic/36474061/comment70 ---- กล่าวถึงระบบ phonology ตัวอักษรบางตัวเมื่อแรกนั้นออกเสียงไม่เหมือนกัน
https://pantip.com/topic/36474061/comment100 ---- กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของระบบภาษาไทย น่าสดใจและอัดแน่นไปด้วยความรู้ค่ะ
https://pantip.com/topic/36474061/comment113 ---- ว่าด้วยเรื่องการตีความจากบริบท ซึ่งน่าจะตอบคำถามของ จขกท. ที่ว่า "คำพ้องเสียงทำไมทีตอนพูดถึงไม่สับสน?" ได้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 58
ลองจินตนาการดูว่าถ้าเราเปลี่ยนตามนั้น
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: เจ้าค่าพ่อค่า !!!!!!!
B: พ่อเจ้าค่าพ่อค่า !!!!
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: ค่าจะค่าเจ้าเพราะเจ้าค่าพ่อค่า
B: ค่าค่าพ่อเจ้า เพราะพ่อเจ้าค่าพ่อค่า
A: พ่อค่าค่าพ่อเจ้า เจ้าเลยค่าพ่อค่า
B: ถ้าพ่อเจ้าไม่ค่าพ่อค่า ค่าคงไม่ค่าพ่อเจ้า แต่พ่อเจ้าค่าพ่อค่า ค่าเลยค่าพ่อเจ้า
A: เจ้าค่าพ่อค่า !!!!!!!
B: พ่อเจ้าค่าพ่อค่า !!!!
ความคิดเห็นที่ 86
อ่านมาหลายสิบความเห็น มีน้อยมากที่ตอบตรงคำถามผมครับ
--- มีคนตอบไปเยอะนะครับ สำหรับผมคิดว่า เกือบทุกคำตอบตอบตรงคำถามคุณ
เราสะกดคำให้ยากแล้วมีประโยชน์อะไร
--- หลายๆคนที่เชี่ยวชาญด้านภาษาก็มาตอบให้แล้วนะครับ
มีแต่มาแขวะ ว่าไม่ยากเกิน ภาษาอื่นก็ยาก แล้วจะไปเอาอย่างภาษายากๆทำไมครับ
--- งั้นลองยกตัวอย่างภาษาง่ายๆ มาสิครับ ไม่เอา เกาหลี กับ ญี่ปุ่น เพราะเคลียร์ไปแล้ว
นึกประโยชน์ออกอีกแล้ว เวลาพิมพ์ไทย เราจะได้ไม่ต้องใช้ปุ่ม shift บ่อยๆนะครับ ดีต่อสุขภาพนิ้ว
---- ภาษาอื่นไม่ต้อง กด ชิปเลยเนาะ
********
อ่านมา 30 กว่า คห. ยังไม่มีใครตอบคำถามผมสักเท่าไหร่เลย
--- ลบอคติในใจบ้างครับ
ผมว่า เอาเวลาเรียนคำศัพท์ ไปเรียนอ่านจับใจความหรือ ตรรกศาสตร์ดีกว่าครับ เพราะคนไทยน่าจะอ่อน
--- ทุกคนอ่านที่คุณพิมพ์มารู้เรื่องหมดครับ ไม่ต้องจับใจความก็ได้ เพราะเนื้อความคืออยากให้ภาษาไทยง่ายๆ เพื่อตอบสนองความมักง่ายของตัวเอง ภาษามันมี วัด ทะ นะ ทำ ของตัวมันครับ ส่วนเรื่องตรรกศาสตร์ คนที่ควรเรียนที่สุดคือ คุณ นะ
คนแบบ จขกท ถ้าเกิดในสังคมไหนก็จะบอกว่าภาษานั้นๆ ยากหมดแหละ เอาจริงๆ
--- มีคนตอบไปเยอะนะครับ สำหรับผมคิดว่า เกือบทุกคำตอบตอบตรงคำถามคุณ
เราสะกดคำให้ยากแล้วมีประโยชน์อะไร
--- หลายๆคนที่เชี่ยวชาญด้านภาษาก็มาตอบให้แล้วนะครับ
มีแต่มาแขวะ ว่าไม่ยากเกิน ภาษาอื่นก็ยาก แล้วจะไปเอาอย่างภาษายากๆทำไมครับ
--- งั้นลองยกตัวอย่างภาษาง่ายๆ มาสิครับ ไม่เอา เกาหลี กับ ญี่ปุ่น เพราะเคลียร์ไปแล้ว
นึกประโยชน์ออกอีกแล้ว เวลาพิมพ์ไทย เราจะได้ไม่ต้องใช้ปุ่ม shift บ่อยๆนะครับ ดีต่อสุขภาพนิ้ว
---- ภาษาอื่นไม่ต้อง กด ชิปเลยเนาะ
********
อ่านมา 30 กว่า คห. ยังไม่มีใครตอบคำถามผมสักเท่าไหร่เลย
--- ลบอคติในใจบ้างครับ
ผมว่า เอาเวลาเรียนคำศัพท์ ไปเรียนอ่านจับใจความหรือ ตรรกศาสตร์ดีกว่าครับ เพราะคนไทยน่าจะอ่อน
--- ทุกคนอ่านที่คุณพิมพ์มารู้เรื่องหมดครับ ไม่ต้องจับใจความก็ได้ เพราะเนื้อความคืออยากให้ภาษาไทยง่ายๆ เพื่อตอบสนองความมักง่ายของตัวเอง ภาษามันมี วัด ทะ นะ ทำ ของตัวมันครับ ส่วนเรื่องตรรกศาสตร์ คนที่ควรเรียนที่สุดคือ คุณ นะ
คนแบบ จขกท ถ้าเกิดในสังคมไหนก็จะบอกว่าภาษานั้นๆ ยากหมดแหละ เอาจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมคำภาษาไทยที่เขียนยากๆหลายคำ ไม่มีการปรับรูปแบบให้เขียนง่ายขึ้น ทำไมลูกๆเราต้องเรียนคำยากๆ มีประโยชน์อะไรครับ
ส่วนตัวผมเขียนได้ถูกค่อนข้างเยอะ แต่บางคำก็ต้องgoogle เอา ถ้าเราใช้ตัวสะกดพื้นๆ เช่น ทำมชาด อนุยาด คาดตกำ มหัดสจัน ผมว่าจะทำให้การเรียนการสอนภาษาไทยง่ายขึ้นสำหรับเด็กๆในอนาคต และไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยที่จะคงคำศัพท์ที่เขียนยากๆไว้
และไม่แน่ หากภาษาไทยง่ายกว่านี้ ชาวต่างชาติอาจจะอยากเรียนภาษาไทยมากขึ้น เพราะยากขนาดนี้ยังมีคนเรียนพอสมควร อาจจะทำให้ประเทศไทยน่าสนใจในตลาดโลกมากขึ้น
เพิ่มเติม
อ่านมาหลายสิบความเห็น มีน้อยมากที่ตอบตรงคำถามผมครับ
เราสะกดคำให้ยากแล้วมีประโยชน์อะไร
มีแต่มาแขวะ ว่าไม่ยากเกิน ภาษาอื่นก็ยาก แล้วจะไปเอาอย่างภาษายากๆทำไมครับ
นึกประโยชน์ออกอีกแล้ว เวลาพิมพ์ไทย เราจะได้ไม่ต้องใช้ปุ่ม shift บ่อยๆนะครับ ดีต่อสุขภาพนิ้ว
********
อ่านมา 30 กว่า คห. ยังไม่มีใครตอบคำถามผมสักเท่าไหร่เลย
ผมว่า เอาเวลาเรียนคำศัพท์ ไปเรียนอ่านจับใจความหรือ ตรรกศาสตร์ดีกว่าครับ เพราะคนไทยน่าจะอ่อน