หลังๆไม่ค่อยเห็นคนพูดถึงความสำคัญของ"โฟนิก" หรือหลักการออกเสียงตามตัวอักษร สระ และตัวสะกด โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษ โดยนำมาฝึกเป็นพื้นฐานแรกที่สุด ก่อนจะเริ่มเรียนศัพท์ เรียนไวยกรณ์
แต่กลับเป็นคอร์สเรียนอังกฤษกับชาวต่างชาติ คอร์สเร่งรัดต่างๆ

ถ้าจะบอกว่า ที่บ้าน ไม่เคยเรียนคอร์สอะไรเลย ลูกสาวเกิดมาก็ไม่เคยเรียนพิเศษใดๆ สอบเข้ามัธยมแบบ EP ได้ ไม่ติว ไม่กวดวิชา และ สอบทุนไปเรียนไฮสคูลต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพียงเพราะ "โฟนิก" ในวัยเด็กเท่านั้น
ซึ่งส่วนตัว ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ที่ฝึกกันเองที่บ้านตั้งแต่เกิดคือ

!.เสียง แทนอักษร อักษร แทนเสียง
ตั้งแต่ลูกทารก ที่บ้านจะฝึกการออกสเียง ฝึกกล้ามเนื้อการออกเสียงตมหลักโฟเนติก โดยเริ่มจากเสียงง่ายๆ อา เอ แอ บา ปา มา ทำเล่นกันเป็นปกติ เป่าปาก ทำปากตลกๆเล่นกัน
จนเริ่มโตมาอนุบาพูดได้ ก็พูดภาษาไทยนี่แหละ แต่ เราใช้ภาษาอังกฤษกันครึ่งนึง เน้นคำง่ายๆในชีวิตประจำวัน ออกเสียงตามตัวอักษรที่มี ผสมกับฝึก เอาตัวอักษรมาหัดแยกกัน
A ไม่ใช่ ant แต่เป็น A = เออะ
B ไม่ใช่ bat แต่เป็น B = เบอะ
ผมสอนลูกท่องแบบนี้จริงๆ สนผสมสองตัว สอนผสมกับสระเสียงต่างๆ
จนลูกไปเรียนอนุบาล เจอครูที่โรงเรียนแจ้งมาว่า ลูก ท่องตัวอักษรไม่ถูก ท่องกับเพือ่นไม่ได้ จนต้องไปอธิบายกับครูว่า สอนกันมายังไง และมาสอนลูกว่า ต้องฝึกแบบที่โรงเรียนด้วย ทำคู่กันไป

ผลที่ได้ในเวลาต่อๆมาคือ เด็กจะสามารถ เห็นตัวอักษรของคำที่ได้ยิน เช่น ดูหนัง ฟังชื่ออะไรมา เค้าจะแกะเสียงนั้นออกมาเ)็นอักษรได้ อาจผิดไปบ้าง ในการสะกด แต่โดยรวมคือ อ่านได้เป็นเสียงนั้น
เช่น ได้ยินว่า civilazation เค้าอาจจะเขียนออกมาว่า sivilaization
และในทางกลับกัน เดินทางไปไหนมาไหน เห็นป้ายชื่อ ชื่อยี่ห้อง เชื่อเมือง เห็นคำต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต ก็จะแกะอ่านออกมาเป็นเสียงได้ทันที ยกเว้นคำที่มีรากมาจากภาษาอื่นๆ เช่น คำที่มาจากฝรั่งเศส ที่อาจใช้รูปสระกับเสียงสระที่ไม่ตรงกับคำอังกฤษ

2.ไม่ท่องศัพท์ แต่ใช้ศัพท์
การสอนภาษาอังกฤษแบบอนุรักษ์นิยม คือการท่องศัพท์ ยิ่งรู้ศัพท์เยอะ ก็ยิ่งใช้งานได้เยอะ แต่ผมสอนลูกแบบ ไม่เคยต้องท่องศัพท์เลย แม้จะโดนผู้ใหญ่ในบ้านบังคับตอนประถม ปิดเทอม 3 เดือนต้องคัดคำศัพท์เพิ่มวันละคำ แล้วไปยืนท่องให้ฟัง
แต่โดยรวมแล้ว เราใช้ศัพท์มากกว่าท่องศัพท์ ทุกอย่างที่ดำเนินชีวิต จะใช้งาน 2 ภาษามาตลอด
จากทักษะในข้อแรก เมื่อนำมาผูกกับการใช้คำในชีวิตประจำวัน การอ่านคำต่างๆบนฉลาก ตามป้าย เปิดข่าวภาษาอังกฤษฟัง อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ดูยูทูบภาษาอังกฤษ อ่านคู่มือประกอบของเป็นภาษาอังกฤษ เล่นเลโก้ มีคู่มือภาษาอังกฤษ อ่านฉลากสินค้า ยา มีภาษาอังกฤษ คำไหนไม่รู้จักก็เปิดดูความหมาย ทำซ้ำๆบ่อยๆ ในที่สุด คำศัพท์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการเรียนที่ระบบปกติในโรงเรียน เค้าก็ได้ศัพท์รวมๆกันเพียงพอกับการใช้งานตามช่วงวัย

3.ภาษาใช้ได้โดยไม่ต้องแปล
ปัญหาสำคัญของการใช้ภาษาังกฤษคือ คนไทยมักคิดเป็นภาษาไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษ หรือฟัง อ่าน อังกฤษแล้วแปลเป็นไทย ตั้งแต่การท่องศัพท์แล้ว
c-a-t = cat แปลว่าแมว
ซึ่งผมไม่เคยสอนลูกแบบนั้น ไม่เคยฝึกแบบนั้น ที่บ้านมีแมว มันคือ cat สิ่งนี้เรียกว่า cat และ cat คือสัตว์ชนิดนี้ ส่วนภาษาไทย เรียกว่าแมว แต่เราไม่เชือ่มโยง ไม่แปลหากัน
ทำแบบนี้กับทุกๆคำให้ได้มากที่สุด ลดขั้นตอนการแปลในหัว สุดท้ายแล้ว การใช้ภาษาก็จะง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ

ประกอบกับ สองข้อแรก ทั้งโฟนิก และการใช้คำในชีวิตประจำวัน ลูกอยู่ประถม ก็สามารถคุยกันเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว บางทีอาจผสมไวยกรณ์มั่วๆมาบ้าง แต่สื่อสารรู้เรื่อง เจอฝรั่ง เจอต่างชาติ สามารถพูดได้
ไปสนามบินต่างประเทศ สามารถวิ่งไปเข้าห้องน้ำคนเดียวได้โดยถามทางเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ 7-8 ขวบ
10-11 ขวบ เล่นเกมส์กับต่างประเทศได้ คุยกัน ฟังกันรู้เรื่อง คำก็ใช้ออกมลยไม่ต้องแปลอะไรในหัวก่อน คิดเร็วๆแบบธรรมชาติ

สำหรับพ่อแม่ที่อย่งาน้อยๆเรียนภาษาอังกฤษมัธยมปลายมา เรียนมหาลัยมา กระบวนการทั้งหมดนี้ ทำได้ด้วยตัวเอง และทุ่นเวลา กับงบประมาณในการส่งลูกเรียนเยอะมากนะครับ
เมื่อตั้งครรภ์ เมื่อคลอดมา ลองฝึกโฟนิกไปพร้อมกับลูก ลองพูดสองภาษาด้วยคำง่ายๆที่คุณก็พูดได้ คุณลองพูดให้ชิน คิดเป็นคำนั้นโดยไม่ต้องแปล ทำแบบนี้ ไปกับลูก ไม่นานลูกจะพร้อมเรียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
หมายเหตุ
"สำเนียง" ไม่ใช่เรือ่งใหญ่ เรือง่ใหญ่คือการออกเสียงให้ถูกต้อง และ ฟังรู้เรื่อง
บางคนคิดว่าสำเนียงต้อดี พยายามดัดลิ้นเป็นบริติชเต็มที่แต่พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง ก็สื่อสารไม่สำเร็จ จากประสบการณ์ส่วนตัว สำเนียงในโลกมีมากมายมหาศาล แม้แต่อเมริกัน ก็มีแต่ละถิ่นอีก ดังนั้น พูดๆไปเถอะ ขอให้ออกสเียงถูกตามตัวอักษรก็พอ จะฟังแล้วลิ้นไทยไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเราคือคนไทย ที่พูอังกฤษ
ไปดูพวกฝรั่งเศส อิตาลี พูดอังกฤษสิครับ ไม่เห็นเค้าจะสำเนียงดีกว่าเราเลย
โฟนิกจำเป็นแค่ไหน ต้องฝึกยังไงให้ได้อังกฤษตั้งแต่เด็ก
แต่กลับเป็นคอร์สเรียนอังกฤษกับชาวต่างชาติ คอร์สเร่งรัดต่างๆ
ถ้าจะบอกว่า ที่บ้าน ไม่เคยเรียนคอร์สอะไรเลย ลูกสาวเกิดมาก็ไม่เคยเรียนพิเศษใดๆ สอบเข้ามัธยมแบบ EP ได้ ไม่ติว ไม่กวดวิชา และ สอบทุนไปเรียนไฮสคูลต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพียงเพราะ "โฟนิก" ในวัยเด็กเท่านั้น
ซึ่งส่วนตัว ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ที่ฝึกกันเองที่บ้านตั้งแต่เกิดคือ
!.เสียง แทนอักษร อักษร แทนเสียง
ตั้งแต่ลูกทารก ที่บ้านจะฝึกการออกสเียง ฝึกกล้ามเนื้อการออกเสียงตมหลักโฟเนติก โดยเริ่มจากเสียงง่ายๆ อา เอ แอ บา ปา มา ทำเล่นกันเป็นปกติ เป่าปาก ทำปากตลกๆเล่นกัน
จนเริ่มโตมาอนุบาพูดได้ ก็พูดภาษาไทยนี่แหละ แต่ เราใช้ภาษาอังกฤษกันครึ่งนึง เน้นคำง่ายๆในชีวิตประจำวัน ออกเสียงตามตัวอักษรที่มี ผสมกับฝึก เอาตัวอักษรมาหัดแยกกัน
A ไม่ใช่ ant แต่เป็น A = เออะ
B ไม่ใช่ bat แต่เป็น B = เบอะ
ผมสอนลูกท่องแบบนี้จริงๆ สนผสมสองตัว สอนผสมกับสระเสียงต่างๆ
จนลูกไปเรียนอนุบาล เจอครูที่โรงเรียนแจ้งมาว่า ลูก ท่องตัวอักษรไม่ถูก ท่องกับเพือ่นไม่ได้ จนต้องไปอธิบายกับครูว่า สอนกันมายังไง และมาสอนลูกว่า ต้องฝึกแบบที่โรงเรียนด้วย ทำคู่กันไป
ผลที่ได้ในเวลาต่อๆมาคือ เด็กจะสามารถ เห็นตัวอักษรของคำที่ได้ยิน เช่น ดูหนัง ฟังชื่ออะไรมา เค้าจะแกะเสียงนั้นออกมาเ)็นอักษรได้ อาจผิดไปบ้าง ในการสะกด แต่โดยรวมคือ อ่านได้เป็นเสียงนั้น
เช่น ได้ยินว่า civilazation เค้าอาจจะเขียนออกมาว่า sivilaization
และในทางกลับกัน เดินทางไปไหนมาไหน เห็นป้ายชื่อ ชื่อยี่ห้อง เชื่อเมือง เห็นคำต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต ก็จะแกะอ่านออกมาเป็นเสียงได้ทันที ยกเว้นคำที่มีรากมาจากภาษาอื่นๆ เช่น คำที่มาจากฝรั่งเศส ที่อาจใช้รูปสระกับเสียงสระที่ไม่ตรงกับคำอังกฤษ
2.ไม่ท่องศัพท์ แต่ใช้ศัพท์
การสอนภาษาอังกฤษแบบอนุรักษ์นิยม คือการท่องศัพท์ ยิ่งรู้ศัพท์เยอะ ก็ยิ่งใช้งานได้เยอะ แต่ผมสอนลูกแบบ ไม่เคยต้องท่องศัพท์เลย แม้จะโดนผู้ใหญ่ในบ้านบังคับตอนประถม ปิดเทอม 3 เดือนต้องคัดคำศัพท์เพิ่มวันละคำ แล้วไปยืนท่องให้ฟัง
แต่โดยรวมแล้ว เราใช้ศัพท์มากกว่าท่องศัพท์ ทุกอย่างที่ดำเนินชีวิต จะใช้งาน 2 ภาษามาตลอด
จากทักษะในข้อแรก เมื่อนำมาผูกกับการใช้คำในชีวิตประจำวัน การอ่านคำต่างๆบนฉลาก ตามป้าย เปิดข่าวภาษาอังกฤษฟัง อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ดูยูทูบภาษาอังกฤษ อ่านคู่มือประกอบของเป็นภาษาอังกฤษ เล่นเลโก้ มีคู่มือภาษาอังกฤษ อ่านฉลากสินค้า ยา มีภาษาอังกฤษ คำไหนไม่รู้จักก็เปิดดูความหมาย ทำซ้ำๆบ่อยๆ ในที่สุด คำศัพท์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการเรียนที่ระบบปกติในโรงเรียน เค้าก็ได้ศัพท์รวมๆกันเพียงพอกับการใช้งานตามช่วงวัย
3.ภาษาใช้ได้โดยไม่ต้องแปล
ปัญหาสำคัญของการใช้ภาษาังกฤษคือ คนไทยมักคิดเป็นภาษาไทยแล้วแปลเป็นอังกฤษ หรือฟัง อ่าน อังกฤษแล้วแปลเป็นไทย ตั้งแต่การท่องศัพท์แล้ว
c-a-t = cat แปลว่าแมว
ซึ่งผมไม่เคยสอนลูกแบบนั้น ไม่เคยฝึกแบบนั้น ที่บ้านมีแมว มันคือ cat สิ่งนี้เรียกว่า cat และ cat คือสัตว์ชนิดนี้ ส่วนภาษาไทย เรียกว่าแมว แต่เราไม่เชือ่มโยง ไม่แปลหากัน
ทำแบบนี้กับทุกๆคำให้ได้มากที่สุด ลดขั้นตอนการแปลในหัว สุดท้ายแล้ว การใช้ภาษาก็จะง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ
ประกอบกับ สองข้อแรก ทั้งโฟนิก และการใช้คำในชีวิตประจำวัน ลูกอยู่ประถม ก็สามารถคุยกันเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว บางทีอาจผสมไวยกรณ์มั่วๆมาบ้าง แต่สื่อสารรู้เรื่อง เจอฝรั่ง เจอต่างชาติ สามารถพูดได้
ไปสนามบินต่างประเทศ สามารถวิ่งไปเข้าห้องน้ำคนเดียวได้โดยถามทางเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ 7-8 ขวบ
10-11 ขวบ เล่นเกมส์กับต่างประเทศได้ คุยกัน ฟังกันรู้เรื่อง คำก็ใช้ออกมลยไม่ต้องแปลอะไรในหัวก่อน คิดเร็วๆแบบธรรมชาติ
สำหรับพ่อแม่ที่อย่งาน้อยๆเรียนภาษาอังกฤษมัธยมปลายมา เรียนมหาลัยมา กระบวนการทั้งหมดนี้ ทำได้ด้วยตัวเอง และทุ่นเวลา กับงบประมาณในการส่งลูกเรียนเยอะมากนะครับ
เมื่อตั้งครรภ์ เมื่อคลอดมา ลองฝึกโฟนิกไปพร้อมกับลูก ลองพูดสองภาษาด้วยคำง่ายๆที่คุณก็พูดได้ คุณลองพูดให้ชิน คิดเป็นคำนั้นโดยไม่ต้องแปล ทำแบบนี้ ไปกับลูก ไม่นานลูกจะพร้อมเรียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
หมายเหตุ
"สำเนียง" ไม่ใช่เรือ่งใหญ่ เรือง่ใหญ่คือการออกเสียงให้ถูกต้อง และ ฟังรู้เรื่อง
บางคนคิดว่าสำเนียงต้อดี พยายามดัดลิ้นเป็นบริติชเต็มที่แต่พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง ก็สื่อสารไม่สำเร็จ จากประสบการณ์ส่วนตัว สำเนียงในโลกมีมากมายมหาศาล แม้แต่อเมริกัน ก็มีแต่ละถิ่นอีก ดังนั้น พูดๆไปเถอะ ขอให้ออกสเียงถูกตามตัวอักษรก็พอ จะฟังแล้วลิ้นไทยไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเราคือคนไทย ที่พูอังกฤษ
ไปดูพวกฝรั่งเศส อิตาลี พูดอังกฤษสิครับ ไม่เห็นเค้าจะสำเนียงดีกว่าเราเลย