เริ่มเข้ามาสู่วงการทำกิจการเกี่ยวกับเครื่องสำอางตั้งแต่เมื่อต้นปี 2558 คะ ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อนเลย อายุ30ต้นๆคะ
ทั้งชีวิตเป็นพนักงาน ลูกน้องคนอื่นมาตลอด ครอบครัวเป็นชนชั้นกลาง ฐานะไม่ได้ร่ำรวย สมัยก่อนลำบากด้วยซ้ำ พ่อแม่ ญาติพี่น้องไม่มีใครทำธุรกิจล้วนแต่รับราชการ ทำงานประจำทั้งนั้น ไม่สามารถปรึกษาใครเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของกิจการ การทำธุรกิจได้เลย... ลองผิดลองถูกมาด้วยตัวเองจนถึงปัจจุบันคะ
--------------------------------------------------------
เงินในการลงทุนทำธุรกิจเป็นของแฟนเราเองทั้งหมด ไม่มีเงินเราแม้แต่บาทเดียว แฟนหอบเงินจากต่างประเทศมาลงทุน เพราะเขาคิดตลอดว่าเมืองไทยคือประเทศที่มีโลเคชั่นดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่น่าลงทุน เปิดบริษัทแรกๆเมื่อต้นปี58 เป็นศูนย์ความงามครบวงจร ขายเครื่องสำอางนำเข้า และมีร้านทำเล็บ เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ครบวงจรในที่เดียวร้านแรกในจังหวัดเรา ขาดแค่แต่งหน้าทำผม ก็จะถือว่าครบวงจรอย่างสมบูรณ์ แรกๆทำท่าเหมือนจะดีคะ มีลูกค้าเข้าทุกวัน รายได้เดือนสองเดือนแรก หกหลักนิดๆแต่ก็ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ตอนนั้นเราไม่เข้าใจคำว่าต้องโปรโมท ต้องซื้อเฟสบุค ต้องทำให้คนรู้จักร้าน เราคิดแต่ค่าแค่ทำป้ายติดตามเสาไฟ ตามสถานที่ต่างๆก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่มีความรู้ในการบริหารจัดการ และทำการตลาด ประชาสัมพันธ์เลย เอาเงินมาลงทุนที่ตัวสินค้า กับตกแต่งร้านไปซะเกือบหมด เพราะเราคิดแค่ว่าถ้าสินค้าเรามีคุณภาพสูง ลูกค้าต้องมาซื้อกับเราสิ
--------------------------------------------------------------
จนนานวันเข้าเริ่มเครียดเพราะไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย มีแค่ลูกค้าเก่าที่เคยเข้ามา ส่วนลูกค้าใหม่ๆแทบไม่มีเลย
เราเริ่มเข้าใจว่าการโปรโมท ทำการตลาดให้คนรู้จักนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด(ความคิดในตอนนั้น) ก็คิดโทษตัวเองมาตลอดว่าน่าจะเอาเงินมาจัดงานเปิดตัว เอามาจ้างนางแบบถ่ายคู่กับสินค้า ถ่ายคู่กับร้าน น่าจะจ้างนักข่าวมาทำข่าวให้
--------------------------------------------------------------
มาวันนึงได้มารู้จักกับพี่คนนึงซึ่งเขาเป็นคนกว้างขวางในจังหวัดเรา ประมาณว่าไฮโซในจังหวัดเรา ในตอนนั้น คนใหญ่คนโตรู้จักแกทั้งนั้น จึงได้เกิดหารชักชวนกันทำแบรนด์ของตัวเองกันดีกว่า โดยลงทุนร่วมกันประมาณคนละ 2 ล้านกว่าๆ จ้างโรงงานต่างประเทศผลิตเครื่องสำอางให้ และเป็นเครื่องสำอางชนิดที่ไม่เคยมีในเมืองไทย ก่อนจะโอนเงินไปให้โรงงานเขาผลิต เราก็คิดแผนการตลาด แผนการโปรโมท กว่าหลายเดือน ตอนนั้นทั้งเรา แฟนเราและพี่เขาก็มีความหวังกับตัวสินค้านี้เป็นอย่างมาก เพราะเรามองว่าแปลกใหม่ ไม่เคยมีในไทยอาจจะมีคนไทยเคยหิ้วมาขายจากต่างประเทศ แต่ยังไม่มีเจ้าของแบรนด์คนไทยคนไหนที่ทำเครื่องสำอางประเภทนี้ น่าจะได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากคนไทย พวกเราต่างมีความหวังเป็นอย่างมาก ทุ่มหมดหน้าตัก เนื่องจากพี่เขารู้จักหลายๆคนในวงการสื่อของเมืองไทย เราก็คาดหวังเป็นอย่างมากว่าสินค้าเราจะดังเปรี้ยงปร้าง! เพราะสื่อทุกแขนงลงข่าวของเราทั้งสื่อธุรกิจ และบันเทิง เราใช้งบจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งไปว่า 9แสนบาท เราจ้างนางแบบซึ่งไม่ดังมากไปถ่ายภาพ และทำโฆษนาถึงโรงงานที่เราผลิต
----------------------------------------------------------------
เราคิดเสมอว่าเราคงมาถูกทางแล้วต้องดังแน่ๆ งบในการทำPR บานปลาย จนเราไม่สามารถนำเงินมาบริหารจัดการด้านอื่นได้เลย...
เรามีความหวังและคิดเสมอว่า เราจ้างสื่อลงข่าวทั้งออนไลน์ ทั้งหนังสือขนาดนี้แล้ว สินค้าเราต้องหมดล็อตไม่เกิน2เดือนแน่ๆ..
แต่เราคิดผิดอีกครั้งนึง การทำมาทั้งหมดนี้ไม่มีผลเลย สินค้าเรายังไม่เป็นที่รู้จักอยู่ดี เรา แฟน และพี่เขาเครียดมาก จากที่มีเงินพอใช้จ่าย ก็ต้องมาขัดสน เพราะเราทุ่มทั้งหมดที่เรามีเพื่องานนี้จริงๆ ทุกอย่างที่เราทำมาผิดหมดเลย ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่า...
1. สินค้าจะดี สรรพคุณเทพแค่ไหน แต่หากคนไม่รู้จักก็ไร้ประโยชน์ ซึ่ง "เราต้องจ่ายให้ Facebook" คนถึงจะเห็นสินค้าเราเยอะๆ
2.คนทุกวันนี้แทบไม่อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ถ้าเป็นข่าวออนไลน์ก็อ่านแค่ข่าวอาชญากรรม ข่าวฉาวดารา ข่าวผัวๆเมียๆ ซึ่งเราต้องพึ่ง "การจ่าย Facebook" เพื่อให้ข่าวหรือคอนเทนต์ของเราเด้งขึ้นมาในหน้า feed เพื่อเพิ่มอัตราการมองเห็น ถึงแม้จะไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาก็ตาม
3.ดารา นางแบบ ไม่มีผลต่อการอยากซื้อเท่ากับ "เหล่าบิวตี้บล็อคเกอร์ต่างๆออกมารีวิว แล้วบอกว่าดี ไปซื้อมาใช้ซะ"
4.การใช้ดีบอกต่อจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อ ลูกค้าต้องรู้จักสินค้าของเราและอยากซื้อไปใช้ก่อน ซึ่งก็วนมาที่ "การจ่ายให้กับ Facebook"อีกเช่นเดิม...
---------------------------------------------------
ทั้งหมดทั้งมวล อาจจะมีอีกหลายปัจจัย อาจจะมีอีกหลายทาง ที่เรายังไม่ได้ลองทำ แต่บอกได้เลยว่าทำธุรกิจเครื่องสำอางตอนนี้ยากสำหรับเรามากจริงๆคะ ไม่คิดว่าจะเหนื่อยยากขนาดนี้ เมื่อก่อนร้องไห้ทุกวัน เครียด จนเกิดโรคภัย ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะนอนไม่หลับ บางคืนสะดุ้งตื่นมากลางดึก เพราะคิดทั้งวันทั้งคืนว่า "พรุ่งนี้ฉันจะไปขายใคร จะทำยังไงให้สินค้านี้ขายหมดล็อต"
-------------------------------------
แต่ถึงยังไงเราก็ยังต้องสู้ต่อไปคะ เพื่อครอบครัว และแฟนเราที่เขาไม่เคยคิดยอมแพ้เลยสักนิด เราเองต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน
เวลาที่ท้อมากๆก็จะออกไปสูดอากาศข้างนอก ไปเดินดูผู้คนที่เขาหาบของเร่ขาย ตากแดดร้อนๆทำงานก่อสร้าง คืออยากไปดูคนที่เขาทำงานหนักกว่าเรา กว่าเขาจะได้เงินมาแต่ละบาทน่ะคะ ว่าเรามาได้ถึงขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แฟนไม่เคยปล่อยให้เราลำบาก อยากได้อะไร อยากไปเที่ยวไหน อยากกินอะไร เขาก็หาให้เราได้ตลอด ถือว่าโชคดีแล้วสำหรับคนที่ชีวิตเคยติดลบด้วยซ้ำแบบเรา เมื่อก่อนเป็นลูกน้องเขาโดนเขาด่าจิกหัวใช้สารพัด ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัท มีกิจการ ถึงจะยังไม่สำเร็จแต่ก็จะพยายามทุกทางจนถึงที่สุดคะ
--------------------------------------
สุดท้ายนี้ ก็ขอให้กระทู้นี้เป็นเหมือน Case study ให้กับคนที่กำลังคิดจะทำแบรนด์เครื่องสำอางด้วยนะคะ ว่าขอให้เก็บเงินลงทุนสัก 70%ไว้รอจ่ายให้พี่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ดีกว่าคะ ไม่อยากให้ทำพลาดเหมือน จขกท.
------------------------------------------
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ทำธุรกิจเครื่องสำอาง ยากกว่าที่คิดไว้เยอะ!!!!!!!?
ทั้งชีวิตเป็นพนักงาน ลูกน้องคนอื่นมาตลอด ครอบครัวเป็นชนชั้นกลาง ฐานะไม่ได้ร่ำรวย สมัยก่อนลำบากด้วยซ้ำ พ่อแม่ ญาติพี่น้องไม่มีใครทำธุรกิจล้วนแต่รับราชการ ทำงานประจำทั้งนั้น ไม่สามารถปรึกษาใครเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของกิจการ การทำธุรกิจได้เลย... ลองผิดลองถูกมาด้วยตัวเองจนถึงปัจจุบันคะ
--------------------------------------------------------
เงินในการลงทุนทำธุรกิจเป็นของแฟนเราเองทั้งหมด ไม่มีเงินเราแม้แต่บาทเดียว แฟนหอบเงินจากต่างประเทศมาลงทุน เพราะเขาคิดตลอดว่าเมืองไทยคือประเทศที่มีโลเคชั่นดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่น่าลงทุน เปิดบริษัทแรกๆเมื่อต้นปี58 เป็นศูนย์ความงามครบวงจร ขายเครื่องสำอางนำเข้า และมีร้านทำเล็บ เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ครบวงจรในที่เดียวร้านแรกในจังหวัดเรา ขาดแค่แต่งหน้าทำผม ก็จะถือว่าครบวงจรอย่างสมบูรณ์ แรกๆทำท่าเหมือนจะดีคะ มีลูกค้าเข้าทุกวัน รายได้เดือนสองเดือนแรก หกหลักนิดๆแต่ก็ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ตอนนั้นเราไม่เข้าใจคำว่าต้องโปรโมท ต้องซื้อเฟสบุค ต้องทำให้คนรู้จักร้าน เราคิดแต่ค่าแค่ทำป้ายติดตามเสาไฟ ตามสถานที่ต่างๆก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่มีความรู้ในการบริหารจัดการ และทำการตลาด ประชาสัมพันธ์เลย เอาเงินมาลงทุนที่ตัวสินค้า กับตกแต่งร้านไปซะเกือบหมด เพราะเราคิดแค่ว่าถ้าสินค้าเรามีคุณภาพสูง ลูกค้าต้องมาซื้อกับเราสิ
--------------------------------------------------------------
จนนานวันเข้าเริ่มเครียดเพราะไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย มีแค่ลูกค้าเก่าที่เคยเข้ามา ส่วนลูกค้าใหม่ๆแทบไม่มีเลย
เราเริ่มเข้าใจว่าการโปรโมท ทำการตลาดให้คนรู้จักนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด(ความคิดในตอนนั้น) ก็คิดโทษตัวเองมาตลอดว่าน่าจะเอาเงินมาจัดงานเปิดตัว เอามาจ้างนางแบบถ่ายคู่กับสินค้า ถ่ายคู่กับร้าน น่าจะจ้างนักข่าวมาทำข่าวให้
--------------------------------------------------------------
มาวันนึงได้มารู้จักกับพี่คนนึงซึ่งเขาเป็นคนกว้างขวางในจังหวัดเรา ประมาณว่าไฮโซในจังหวัดเรา ในตอนนั้น คนใหญ่คนโตรู้จักแกทั้งนั้น จึงได้เกิดหารชักชวนกันทำแบรนด์ของตัวเองกันดีกว่า โดยลงทุนร่วมกันประมาณคนละ 2 ล้านกว่าๆ จ้างโรงงานต่างประเทศผลิตเครื่องสำอางให้ และเป็นเครื่องสำอางชนิดที่ไม่เคยมีในเมืองไทย ก่อนจะโอนเงินไปให้โรงงานเขาผลิต เราก็คิดแผนการตลาด แผนการโปรโมท กว่าหลายเดือน ตอนนั้นทั้งเรา แฟนเราและพี่เขาก็มีความหวังกับตัวสินค้านี้เป็นอย่างมาก เพราะเรามองว่าแปลกใหม่ ไม่เคยมีในไทยอาจจะมีคนไทยเคยหิ้วมาขายจากต่างประเทศ แต่ยังไม่มีเจ้าของแบรนด์คนไทยคนไหนที่ทำเครื่องสำอางประเภทนี้ น่าจะได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากคนไทย พวกเราต่างมีความหวังเป็นอย่างมาก ทุ่มหมดหน้าตัก เนื่องจากพี่เขารู้จักหลายๆคนในวงการสื่อของเมืองไทย เราก็คาดหวังเป็นอย่างมากว่าสินค้าเราจะดังเปรี้ยงปร้าง! เพราะสื่อทุกแขนงลงข่าวของเราทั้งสื่อธุรกิจ และบันเทิง เราใช้งบจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งไปว่า 9แสนบาท เราจ้างนางแบบซึ่งไม่ดังมากไปถ่ายภาพ และทำโฆษนาถึงโรงงานที่เราผลิต
----------------------------------------------------------------
เราคิดเสมอว่าเราคงมาถูกทางแล้วต้องดังแน่ๆ งบในการทำPR บานปลาย จนเราไม่สามารถนำเงินมาบริหารจัดการด้านอื่นได้เลย...
เรามีความหวังและคิดเสมอว่า เราจ้างสื่อลงข่าวทั้งออนไลน์ ทั้งหนังสือขนาดนี้แล้ว สินค้าเราต้องหมดล็อตไม่เกิน2เดือนแน่ๆ..
แต่เราคิดผิดอีกครั้งนึง การทำมาทั้งหมดนี้ไม่มีผลเลย สินค้าเรายังไม่เป็นที่รู้จักอยู่ดี เรา แฟน และพี่เขาเครียดมาก จากที่มีเงินพอใช้จ่าย ก็ต้องมาขัดสน เพราะเราทุ่มทั้งหมดที่เรามีเพื่องานนี้จริงๆ ทุกอย่างที่เราทำมาผิดหมดเลย ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่า...
1. สินค้าจะดี สรรพคุณเทพแค่ไหน แต่หากคนไม่รู้จักก็ไร้ประโยชน์ ซึ่ง "เราต้องจ่ายให้ Facebook" คนถึงจะเห็นสินค้าเราเยอะๆ
2.คนทุกวันนี้แทบไม่อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ถ้าเป็นข่าวออนไลน์ก็อ่านแค่ข่าวอาชญากรรม ข่าวฉาวดารา ข่าวผัวๆเมียๆ ซึ่งเราต้องพึ่ง "การจ่าย Facebook" เพื่อให้ข่าวหรือคอนเทนต์ของเราเด้งขึ้นมาในหน้า feed เพื่อเพิ่มอัตราการมองเห็น ถึงแม้จะไม่ได้เปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาก็ตาม
3.ดารา นางแบบ ไม่มีผลต่อการอยากซื้อเท่ากับ "เหล่าบิวตี้บล็อคเกอร์ต่างๆออกมารีวิว แล้วบอกว่าดี ไปซื้อมาใช้ซะ"
4.การใช้ดีบอกต่อจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อ ลูกค้าต้องรู้จักสินค้าของเราและอยากซื้อไปใช้ก่อน ซึ่งก็วนมาที่ "การจ่ายให้กับ Facebook"อีกเช่นเดิม...
---------------------------------------------------
ทั้งหมดทั้งมวล อาจจะมีอีกหลายปัจจัย อาจจะมีอีกหลายทาง ที่เรายังไม่ได้ลองทำ แต่บอกได้เลยว่าทำธุรกิจเครื่องสำอางตอนนี้ยากสำหรับเรามากจริงๆคะ ไม่คิดว่าจะเหนื่อยยากขนาดนี้ เมื่อก่อนร้องไห้ทุกวัน เครียด จนเกิดโรคภัย ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะนอนไม่หลับ บางคืนสะดุ้งตื่นมากลางดึก เพราะคิดทั้งวันทั้งคืนว่า "พรุ่งนี้ฉันจะไปขายใคร จะทำยังไงให้สินค้านี้ขายหมดล็อต"
-------------------------------------
แต่ถึงยังไงเราก็ยังต้องสู้ต่อไปคะ เพื่อครอบครัว และแฟนเราที่เขาไม่เคยคิดยอมแพ้เลยสักนิด เราเองต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน
เวลาที่ท้อมากๆก็จะออกไปสูดอากาศข้างนอก ไปเดินดูผู้คนที่เขาหาบของเร่ขาย ตากแดดร้อนๆทำงานก่อสร้าง คืออยากไปดูคนที่เขาทำงานหนักกว่าเรา กว่าเขาจะได้เงินมาแต่ละบาทน่ะคะ ว่าเรามาได้ถึงขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แฟนไม่เคยปล่อยให้เราลำบาก อยากได้อะไร อยากไปเที่ยวไหน อยากกินอะไร เขาก็หาให้เราได้ตลอด ถือว่าโชคดีแล้วสำหรับคนที่ชีวิตเคยติดลบด้วยซ้ำแบบเรา เมื่อก่อนเป็นลูกน้องเขาโดนเขาด่าจิกหัวใช้สารพัด ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัท มีกิจการ ถึงจะยังไม่สำเร็จแต่ก็จะพยายามทุกทางจนถึงที่สุดคะ
--------------------------------------
สุดท้ายนี้ ก็ขอให้กระทู้นี้เป็นเหมือน Case study ให้กับคนที่กำลังคิดจะทำแบรนด์เครื่องสำอางด้วยนะคะ ว่าขอให้เก็บเงินลงทุนสัก 70%ไว้รอจ่ายให้พี่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ดีกว่าคะ ไม่อยากให้ทำพลาดเหมือน จขกท.
------------------------------------------
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ