sp500athยิ่งเสดกิจแย่ตลาดหุ้นยิ่งชอบ

กระทู้คำถาม

📈 S&P 500 All-Time High (อีกแล้ว) ยิ่งเศรษฐกิจแย่ ตลาดหุ้นยิ่งชอบ? | Podcast Available 🎙️

สวัสดีค่ะทุกคน ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งทะยานขึ้นไปทำ ‘All-Time High’ อีกแล้วค่ะ 😅 พอได้ยินแบบนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเศรษฐกิจอเมริกาต้องกำลังดีมากๆ แน่เลยใช่ไหมคะ? แต่ช้าก่อนค่ะ...เรื่องจริงกลับซับซ้อนกว่านั้น เพราะเบื้องหลังการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นครั้งนี้ มาจากสัญญาณที่ว่าเศรษฐกิจกำลัง "แผ่วลง" ต่างหาก

เอ๊ะ! แล้วทำไมข่าวร้ายถึงกลายเป็นข่าวดีได้ล่ะ? วันนี้เราจะมาเจาะลึกไปพร้อมๆ กันค่ะ

⚠️ สัญญาณเตือนจาก "ตลาดแรงงาน"

หัวใจของเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้อยู่ที่ "ตลาดแรงงาน" ค่ะ หรือถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือ ตลาดการจ้างงานในอเมริกานั่นเอง นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตารอดูรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ที่จะประกาศออกมาในวันศุกร์นี้อย่างใจจดใจจ่อ เพราะก่อนหน้านี้ มีข้อมูลหลายอย่างที่บ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ กำลังเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลล่าสุดจาก ADP Research ซึ่งเป็นบริษัทที่เก็บข้อมูลการจ้างงานในภาคเอกชน เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 54,000 ตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

นอกจากนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกก็พุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน และแผนการจ้างงานของบริษัทต่างๆ ก็ดูเหมือนจะซบเซาที่สุดในรอบหลายปีสำหรับเดือนสิงหาคม

ภาพรวมเหล่านี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์กันว่า รายงานการจ้างงานอย่างเป็นทางการในวันศุกร์นี้ อาจจะแสดงตัวเลขการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 75,000 ตำแหน่ง ซึ่งหากเป็นจริง ก็จะนับเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกันที่การจ้างงานเติบโตต่ำกว่า 100,000 ตำแหน่ง และอาจทำให้อัตราการว่างงานขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2021 เลยค่ะ

😇 เมื่อ "ข่าวร้าย" กลายเป็นความหวังของนักลงทุน

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า...แล้วทำไมตัวเลขแย่ๆ พวกนี้ถึงทำให้ตลาดหุ้นดีใจจนทำจุดสูงสุดใหม่ได้ล่ะ? คำตอบอยู่ที่ผู้เล่นคนสำคัญที่สุดในเกมนี้ นั่นก็คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "เฟด (Fed)" ค่ะ

ภารกิจหลักของเฟดมีอยู่ 2 อย่าง คือ ควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และรักษาเสถียภาพการจ้างงานให้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในช่วงที่ผ่านมา เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูง แต่ตอนนี้ เมื่อตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอลงอย่างชัดเจน ภารกิจด้านการจ้างงานจึงกลับมามีความสำคัญมากขึ้น

การที่ตลาดแรงงานแผ่วลง เป็นเหมือนการส่งสัญญาณให้เฟดรู้ว่า "เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวแล้วนะ" ซึ่งนี่เองที่เปิดประตูสู่การ "ลดอัตราดอกเบี้ย" ค่ะ การลดดอกเบี้ยเปรียบเสมือนการ "เหยียบคันเร่ง" ให้กับเศรษฐกิจ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและประชาชนถูกลง กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นโดยตรง

ด้วยเหตุนี้เอง นักลงทุนในตลาดจึงมองข้าม "ข่าวร้าย" เรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว ไปโฟกัสที่ "ข่าวดี" คือโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยแทน ตลาดการเงินคาดการณ์กันไปไกลถึงขนาดที่ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และอาจจะลดอีกครั้งก่อนสิ้นปีด้วยซ้ำ ความคาดหวังนี้เองที่ผลักดันให้ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเกือบ 1% ทำสถิติสูงสุดใหม่ในที่สุด

‼️เส้นบางๆ ระหว่าง "Goldilocks" กับ "ภาวะถดถอย"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ผู้มีประสบการณ์อย่างคุณ Steve Sosnick จาก Interactive Brokers ได้เตือนสติว่า "ต้องระวังสิ่งที่เราปรารถนา" (be careful what we wish for) เพราะสถานการณ์ตอนนี้เปราะบางเหมือนการเดินบนเส้นด้าย

สิ่งที่ตลาดอยากเห็นคือสถานการณ์ที่เรียกว่า "Goldilocks" ค่ะ ชื่อนี้มาจากนิทานเรื่องหนูน้อยผมทองกับหมีสามตัว ที่เธอเลือกชิมซุปชามที่ไม่ร้อนเกินไปและไม่เย็นเกินไป แต่เป็นชามที่ "อุ่นกำลังดี"

ในโลกการเงิน สถานการณ์ Goldilocks ก็คือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง "กำลังดี" พอที่จะทำให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอจนเกินไปจนน่ากังวลว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)

แต่ในทางกลับกัน หากตัวเลขการจ้างงานในวันศุกร์นี้ออกมา "แย่กว่าที่คาดไว้มาก" มันอาจไม่ใช่สัญญาณของ Goldilocks อีกต่อไป แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะถดถอยที่กำลังจะมาถึง ซึ่งนั่นจะเป็นข่าวร้ายของจริงที่แม้แต่การลดดอกเบี้ยของเฟดก็อาจเอาไม่อยู่ และจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง

ดังนั้น รายงานตัวเลขการจ้างงานในวันศุกร์นี้จึงเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เพราะมันจะเป็นตัวชี้ชะตาว่า ตลาดจะยังคงอยู่ในโหมด "ข่าวร้ายคือข่าวดี" ต่อไป หรือจะต้องเผชิญหน้ากับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอย่างจริงจัง

🇯🇵 อีกข่าวใหญ่ที่น่าจับตา: ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น

นอกเหนือจากเรื่องตลาดหุ้นและตัวเลขการจ้างงานแล้ว ในแวดวงการเมืองก็มีความเคลื่อนไหวสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจเช่นกันค่ะ นั่นคือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อบังคับใช้ข้อตกลงทางการค้ากับประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้ว

สาระสำคัญของข้อตกลงนี้ก็คือ สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) สินค้าส่วนใหญ่จากญี่ปุ่นในอัตราสูงสุดไม่เกิน 15% ค่ะ โดยสินค้ากลุ่มสำคัญที่ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ ก็คือกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ข้อตกลงนี้ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นที่ก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษีที่อาจสูงถึง 27.5%

นอกจากการกำหนดเพดานภาษีแล้ว สหรัฐฯ ยังจะยกเลิกภาษีสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น ชิ้นส่วนเครื่องบิน และยาบางชนิดด้วย ในขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นเองก็ได้ตกลงที่จะจัดตั้งกองทุนมูลค่ามหาศาลถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำมาลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นค่ะ

🎯 สรุปง่ายๆ ก็คือ การที่ S&P 500 ทำ All-Time High ในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะตลาดกำลังเดิมพันว่าเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงจะบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นค่ะ

ถ้าคืนนี้ตลาดย่อก็ซื้อตามได้ค่ะ แต่ต้องเผื่อเงินไว้สำหรับการประชุมเฟดด้วยนะคะ ส่วนตัวมีเงินสดเกือบๆ 20% ของพอร์ตค่ะ ตลาดหุ้นเมกาดูลอยๆ แปลกๆ 😆 แอดไม่ค่อยชอบตัวเลขแรงงานที่ออกมาหลังๆ เท่าไหร่ค่ะ ยังเน้นกลุ่ม tech / AI อยู่เหมือนเดิมนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่