อัพเดตเพิ่มเติม ประสบการณ์สองปีต่อมา หลังจากกระทู้ประสบการณ์การสูญเสียการมองเห็นของผมฯ

หมายเหตุ : จขกท.เป็นแค่คนลงประสบการณ์แทนน้องครับ

จากกระทู้นี้ เมื่อสองปีที่แล้ว... https://pantip.com/topic/33589853
ที่ผมเคยแชร์ประสบการณ์การสูญเสียการมองเห็นลงไปในพันทิพนั้น มีทั้งคนติและชมหรือว่าผมว่าดราม่าตามสถานการณ์
แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น... วันนี้ผมขอมาเล่าเรื่องราวภาคต่อ หลังจากที่ผมได้ฝากพี่ที่รู้จักกันลงกระทู้แรกไป
ว่าหลังจากสองปีที่ผ่านมา ชีวิตคนพิการอย่างผม มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

**จากกระทู้ที่แล้ว**
1.ช่วงประมาณปี พ.ศ.2554 สายตาผมเริ่มมัวจนมองเห็นอะไรไม่สะดวกอย่างเคย ในขณะที่ผมศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี
2.ผมได้ทำเรื่องพักการเรียน เนื่องจากสภาพการมองเห็นของผมไม่เอื้ออำนวย โดยระหว่างนั้น ใครท่านไหนที่ได้แนะนำอะไรว่าดี ผมก็ได้ลองทำหมด เพื่อหวังว่าสภาพการมองเห็นของผมจะกลับมาดีขึ้น
3.จนมาถึงต้นปี 2557 ทางแพทย์ที่ได้รักษาผม ได้สรุปว่าผมเป็นโรค LHON และได้แนะนำให้ผมทำบัตรประจำตัวผู้พิการ เพื่อเป็นการแสดงความเป็นตัวตนของผม(เนื่องจากสภาพดวงตาและแววตาของผมดูเหมือนคนปกติ)
4.หลังจากที่ผมสูญเสียการมองเห็น ผมได้ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นและได้รับการฝึกฝนทักษะการใช้ชีวิตในแบบผู้พิการ

**หมายเหตุ – กระทู้นี้ผมแค่เพียงอยากแบ่งปันเรื่องราวที่ผ่านมาในแต่ละช่วงชีวิตของผมเท่านั้น มิได้มีเจตนาสร้างกระแสดราม่าในสังคมใดๆทั้งสิ้น หากท่านผู้อ่านท่านไหนรู้สึกอ่านแล้วไม่สบายใจ ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยครับ...

หลังจากที่ผมต้องตกเป็นผู้พิการ ผมยอมรับในสิ่งที่ผมเป็น แต่ไม่ยอมรับกับสิ่งที่ผมต้องพบเจอครับ
เริ่มด้วยเรื่องการศึกษา... ที่ตอนนั้นผมไม่สำเร็จการศึกษา เนื่องจากผลของการสูญเสียการมองเห็น ผลสรุปได้ดังนี้
1.ผมมีความคิดและตั้งใจที่จะกลับไปศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีอีกครั้ง อาจเพราะผมอยากพิสูจน์ว่าถึงผมมองไม่เห็น แต่ผมก็มีสมองและสามารถเรียนได้
2.ผมได้หาข้อมูลในเรื่องการศึกษากับคนพิการ ว่าในปัจจุบันสถาบันการศึกษาไหนที่มีระบบรองรับสำหรับผู้พิการบ้าง?
3.จนผมได้เจอสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง ที่ได้เปิดโอกาสให้คนพิการได้เข้าถึงการศึกษา ซึ่งผมได้ขอรับคำแนะนำและตัดสินใจสมัครลงเรียน
4.การศึกษาของผมได้รับการช่วยเหลือจากศูนย์บริการนักศึกษาพิการ ซึ่งจะช่วยเหลือผมในเรื่องสื่อการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือเสียง ไฟล์เอกสารสำหรับเปิดใช้ควบคู่กับโปรแกรมอ่านจอภาพ เทปเสียงข้อสอบ เป็นต้น
5.ปัจจุบันนี้การศึกษาของผมผ่านมาครึ่งทางแล้วครับ ซึ่งการเรียนของผมเป็นการฟังสื่อการศึกษาทุกอย่าง ส่วนการสอบก็เป็นการอัดเทปเสียงกับวิทยุครับ
สรุป – การศึกษาของผมในครั้งนี้ ถือว่าลำบากอยู่พอสมควรครับ อันเนื่องมาจากบางวิชาไม่มีหนังสือเสียงให้ผมได้เข้าถึงสื่อการศึกษา สุดท้ายก็เลยต้องหาคนใจดีช่วยอ่านให้ฟัง TT
แต่ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรที่มันจะยากเกินความพยายามของเราหรอกครับ คนอื่นทำได้ ผมก็ต้องทำได้!! ถึงแม้ว่าผมจะใช้ความพยายามมากกว่าคนปกติก็ตาม

ต่อมา เนื่องจากการเรียนของผมเป็นการศึกษาด้วยตนเอง ผมจึงมีความคิดที่ว่า...
ถ้าอย่างงั้นเราก็หาอะไรทำไปด้วยก็ได้นี่นา เนื่องจากเราก็อยู่บ้านเฉยๆและวันๆก็มัวแต่จะนั่งจมกับความพิการที่ตัวเองเป็น
อีกอย่าง... ผมก็อยากที่จะดูแลบุพการีของผมบ้างแล้วครับ ท่านเหนื่อยกับผมมามากและอยากให้ท่านภูมิใจในตัวผมบ้าง
ผมจึงใช้เทคโนโลยีที่ผมมีควบคู่กับโปรแกรมอ่านจอภาพ เข้าหน้าเว็บไซต์หางานเหมือนคนอื่นทั่วๆไปครับ
(ซึ่งบางท่านอาจจะทราบกันบ้างแล้ว ว่าปัจจุบันกฎหมายได้มีการบังคับบริษัทที่มีลูกจ้างมากกว่าหนึ่งร้อยคน ให้จ้างคนพิการเข้าทำงาน ในอัตราร้อยละหนึ่ง(คนปกติร้อยคนต่อคนพิการหนึ่งคน))
ผมก็ใช้วิธีนี้หางานมาเรื่อยเกินครึ่งปีครับ ผิดหวังบ้าง.. เสียใจบ้าง.. จากคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล
บ้างก็บอกว่า รับแต่พิการด้านอื่น... ตาบอดแต่ต้องมองเห็นนะ!!(อันนี้ผมงง).. พิการ2ข้างไม่รับทำงาน(อ้าว!!เลือดบอดได้ด้วยเหรอ?) ...
แต่ผมก็เข้าใจแหละ คงไม่มีบริษัทหรือหน่วยงานไหน ที่อยากจะจ้างคนพิการไปนั่งหายใจเฉยๆหรอกครับ
เอาจริงๆตอนนั้นก็มีความคิดแย่ๆเกิดขึ้นในหัวสมองผมเต็มไปหมด ในเมื่อหางานทำไม่ได้แล้วจะทำอย่างไง? ไปขายตัวดีไหมล่ะ? เหอๆ ความคิดแย่ๆมันเกิดขึ้นได้เสมอในยามที่เราเจอทางตันแหละครับ
จนมาวันหนึ่งที่โอกาสมันเป็นของผมสักที... ผมได้รับโอกาสจากบริษัทแห่งหนึ่งในเขตพระโขนง ที่เขากำลังเปิดรับสมัครแรงงานพิการอยู่ ก็ลองไปสัมภาษณ์จนเขารับเข้าทำงาน
แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะราบรื่นเสมอไป เนื่องจากบริษัทอยู่พระโขนง แต่บ้านผมอยู่ฝั่งธน โอ้ว.. ไกลโครต!!
สุดท้ายผมก็ไปทำอยู่ได้ประมาณเจ็ดเดือนครับแล้วก็ลาออก เนื่องจากไม่ไหวกับการเดินทาง ฝนตกน้ำก็ท่วมในซอยบริษัท ลำบากอยู่พอควรครับ ไหนจะทำให้ที่บ้านเป็นห่วงมากอีก
ลืมบอกไปครับ.. ผมทำงานที่นี่ในตำแหน่งพนักงานรับโทรศัพท์ครับ

จนปัจจุบัน ผมได้ทำงานในบริษัทแห่งใหม่ ที่เดินทางง่ายขึ้นและใกล้บ้าน ซึ่งในระยะเวลาที่ผมได้ทำงานกับบริษัทต่างๆมานั้น แน่ละครับ...ไม่ราบรื่นเอาสะเลย ผมขอแยกปัญหาออกเป็นข้อๆละกัน...
1.ในเรื่องการดูถูกเหยียดหยามคนพิการ ว่าพิการแล้วจะมาทำงานอะไร? มาทำงานแล้วก็ทำได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
2.เรื่องการแบ่งแยกสิทธิสวัสดิการของพนักงาน ที่เป็นการเลือกปฏิบัติ
ปัญหาข้างต้น เป็นสิ่งที่ผมได้พบเจอมากับบริษัทที่เคยเข้าไปร่วมงานด้วยครับ อาจจะเป็นความโชคร้ายของผมด้วยแหละมั้ง
แต่ข้อดีก็มีเหมือนกันครับ ผมได้เจอเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจในความพิการที่ผมเป็น คอยช่วยเหลือและเป็นห่วงเป็นใย มันเลยทำให้ผมรู้ว่าสังคมไทยยังมีคนจิตใจดีอยู่ครับ ผมไม่ได้โลกสวยนะ... แต่ผมสัมผัสได้จริงๆ
สรุป – เรื่องการทำงานของคนพิการ ยังมีช่องว่างที่เป็นปัญหาอยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกจำกัดความพิการของพนักงานที่จะเข้าไปทำงานกับนายจ้าง สถานที่ประกอบการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อคนพิการ ทัศนคติที่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ เป็นต้น
นโยบายในการจ้างแรงงานคนพิการนี้... ผมว่าไม่มีใครที่ได้ดีกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือคนพิการเอง แต่แท้จริงแล้ว ถ้าหากไม่มีกฎหมายการจ้างงานคนพิการบังคับนายจ้างให้ปฏิบัติตาม ก็คงไม่มีบริษัทไหนที่จะให้โอกาสแก่คนพิการอย่างแท้จริงหรอกครับ..(ผมคิดเช่นนั้น)

สุดท้ายนี้...
ผมเอง ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรอกครับ
เพียงแต่.. นี่เป็นก้าวสำคัญที่ผมได้ก้าวออกมาจากความกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวแม้กระทั่งความพิการที่ผมเป็น กลัวว่าจะทำไม่ได้
วันนี้ผมไม่ได้โอ้อวดว่าผมทำอะไรได้บ้าง แต่ผมแค่อยากจะบอกว่าสองปีที่ผ่านมา...
ผมไม่เคยหยุดและพัฒนาตนเอง คอมเม้นบางประโยคที่ว่าผมดราม่าต่างๆนานา ใช่ครับ..ผมดราม่า!!
แต่การดราม่าของผม มันก็มีเจตนาที่แฝงไว้ว่า อะไรมันก็เกิดกับเราได้ทุกเมื่ออย่างไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีและร้าย
ในอนาคต... ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะทำและทำให้มันสำเร็จ
ผมเองไม่ใช่คนเก่งหรอกครับ... แต่ผมคงไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้แน่นอน!!
ผมดีใจนะครับ ที่ได้มีโอกาสพิมพ์กระทู้นี้ลงเว็บอีกครั้งหนึ่ง
มันไม่ง่ายเลยครับ ตลอดสองปีที่ผ่านมา เสียน้ำตาไม่รู้ต่อกี่รอบ ทนแรงกดดันกับเรื่องต่างๆ
แต่สุดท้าย ผมก็ผ่านมันมาได้...
ขอบคุณครับที่อ่านกระทู้นี้จนจบ ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายที่ช่วยเหลือผมในโลกของความจริง
ขอบคุณคนที่ช่วยจับแขนผมเวลาลงรถ
ขอบคุณเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้าทุกท่านที่ทำให้ผมขึ้นรถอย่างปลอดภัย
ขอบคุณชีวิตและลมหายใจของผม ที่สอนให้รู้จักค่าของความเป็นคนและสอนให้ผมรู้จักความพยายาม

เพื่อนๆครับ ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ใช้ชีวิตอย่างมีสติและระมัดระวัง
ผมไม่อยากให้ใครจะต้องมาเป็นหรือเจออย่างผมเลย มันลำบากและทุกข์ใจมากครับ
ใครตอนนี้ที่กำลังพบปัญหาที่ทุกข์และท้อใจ ตั้งสติและสู้ไปด้วยกันนะครับ
เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไปได้... เชื่อผมนะครับ!! หัวเราะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่