เมื่อสามีเป็นโรคซึมเศร้า

อยากจะแชร์ประสบการณ์เมื่อสามีเป็นโรคซึมเศร้า เผื่อจะได้เป็นกำลังใจใครที่กำลังประสบปัญหาอยู่บ้างนะคะ


สามีเราอยู่ๆกันมา ปกติดี เริ่มจากกลับจากที่ทำงาน เริ่มมาเล่าเรื่องที่ทำงานให้เราฟัง และเริ่มเล่าละเอียดขึ้น ว่าเขากังวลใจเรื่องโน้นเรื่องนี้ คิดว่ามีคนจับตามองเขา เราก็ฟังๆไป คิดว่าสามีอยากแชร์เรื่องราวความคิด ความในใจให้ภรรยาฟัง หลงดีใจว่า ความสัมพันธ์กับสามีแน่นแฟ้นขึ้น เพราะปกติสามีเราจะทื่อๆ ไม่ค่อยพูดจากับใครเท่าไหร่  ต่อจากนั้นก็เริ่มมีแบบคิดแปลกๆ มีการอาการนอนไม่ค่อยหลับ บางทีนอนๆอยู่ ตื่นขึ้นมากลางดึก บอกว่าตัวเองทำงานพลาด พอคุยกลับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ คือเขาเก็บมาคิดหมดเลยค่ะ ทั้งๆ ที่เจ้านายไม่ได้ว่าอะไร ไม่มีใครว่าอะไรทั้งนั้น คือคิดมากไปมากๆ อาการอะไรนี่ค่อยๆเกิดนะคะ จากน้อยๆ เยอะขึ้นๆ ใช้เวลาเป็นปีได้ หลังๆ คือ มาบอกเราว่าเค้าเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่อง เป็นพ่อที่ไม่ดี บ้านก็แย่ รกก็รก (เอ๊ะ นี่มันหลอกด่าเรา คนเป็นแม่บ้าน นี่หว่า 555) คืออะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น คือมันประหลาดค่ะ เราอยู่กันมาตั้งนาน  อยู่ดีๆ ก็มาคิดว่าชีวิตของเราแย่มาก เขาเป็นคนไม่ดีพอ อะไรมันจะขนาดนั้น เราก็เริ่มพูดกันว่า เขาน่าจะไปบำบัด ไปหาหมอนะ เขาก็คิดว่าเขาน่าจะไป แต่ไม่ได้นัด ไม่ได้ทำจริงจัง เราก็พยายามให้เขานอนมากขึ้น กินอาหารที่มีประโยชน์ เผื่อจะช่วยได้ แต่มันไม่ช่วยอะไรเลยค่ะ สามีน้ำหนักลดลงสิบกิโลภายในเวลาสองเดือน งานอดิเรกที่เขาเคยทำ เขาก็ไม่อยากทำแล้ว เขาไปคุยกับพ่อของเขา พ่อบอกว่า เป็นเหมือนพ่อ ให้ไปหาหมอประจำตัว ขอยาตัวเดียวกับพ่อมากิน ซึ่งมันจะช่วยให้สมองหลังสารเซโรโทนินมากขึ้น ทำให้ไม่เป็นซึมเศร้า สามีเราก็นัดหมอค่ะ ไปหาหมอ แต่ไม่กล้าคุยกับหมอเรื่องนี้ คือ อายหมอ กลับมาบ้าน ดิฉันลมแทบจับ อายหมอแล้วจะได้รักษาไหม นัดหมอก็ไม่ใช่ง่าย ๆ (เราอยู่ต่างประเทศค่ะ นัดหมอยาก)


หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์เป็นเรื่องเลย คือนอนไม่ได้แล้ว จากที่นอนสักพักตื่นกลายเป็นนอนไม่หลับเลย ไปทำงานก็ไม่ได้เพราะเครียดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ กลับมาบ้านบอกอยากฆ่าตัวตาย  ต้องลาหยุดจากที่ทำงานหลายสัปดาห์เลย ชีวิตช่วงนั้นคว้างมาก คือสามีเป็นเสาหลักด้านรายได้ ทีนี้ไม่รู้จะหมู่จะจ่ายังไง นัดหมอก็ใช้เวลานาน หมอจิตแพทย์ในเมืองมีคนไข้ล้นมือ ต้องนัดล่วงหน้าเป็นเดือน ถ้าจะไปหาเร็วๆต้องไปต่างเมือง โชคดี ได้คิวไปคุยกับนักจิตบำบัด และได้ยาจากแพทย์ประจำตัว คือเป็นหมอคนเดียวกับหมอของพ่อเขาค่ะ หมอเลยพอเข้าใจ บำบัดไป กินยาไปเป็นเดือนพ่วงยานอนหลับด้วย  พอครบกำหนดลาต้องกลับไปทำงาน สามีออกจากบ้านแต่เช้า ดิฉันก็ลุ้นอย่างมาก สายๆ โทรหาก็ไม่รับสาย กลับบ้านมาเย็น คือไปขับรถวนไปวนมาทั้งวัน ไม่กล้าไปทำงาน ไม่กล้ากลับบ้าน กลับมาก็นั่งละอายใจที่ตัวเองไม่ได้ไปทำงาน (พูดแล้วน้ำตาจะไหล สงสารสามีมาก) เป็นอย่างนี้อยู่สามวันสี่วัน เจ้านายก็โทรมาลุ้นทุกวัน ให้โอกาสทุกวัน วันนี้จะมาทำงานได้ไหม  ระหว่างนี้ก็ได้พ่อสามีมาเป็นกำลังใจให้บ้างว่า อดทนไป กว่ายาจะออกฤทธิ์มันก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือน หลังจากสามีไปทำงานได้ ก็ยังไม่หมดเรื่อง เพราะอาการยังไม่ดีขึ้นมาก  เรื่องอะไรง่ายๆ ที่คนเราตัดสินใจทำกันได้ปกติ เขาจะไม่สามารถทำได้ ทุกอย่างจะช้ามาก จากที่เคยใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งในการเตรียมตัวไปทำงาน กลายเป็นสามชั่วโมง คือต้องตื่นตั้งแต่ ตี 2 มาเตรียมตัวไปทำงาน เพราะทำทุกอย่างช้ามาก ไปทำงานแล้วก็เลิกงานช้ามาก เพราะทำงานอะไรไม่เสร็จ คิดตัดสินใจอะไรไม่ได้ นอนก็ยังไม่ค่อยหลับอีก เราก็แทบสติแตก เหมือนมีลูกเพิ่มมาอีกคน ตอนเราจะไปทำงาน ทิ้งลูกให้พ่อดูแลก็กังวลเพราะเขาก็เป็นคนป่วย ดูแลตัวเองยังแทบไม่ได้ แล้วเราก็ไม่กล้าทิ้งงานนะ เพราะเผื่อสามีไปทำงานไม่ไหวจริงๆ ถ้าเรายังมีรายได้ก็ยังพยุงครอบครัวไปได้อยู่สักพัก แต่เป็นช่วงชีวิตที่เครียดมาก ที่สำคัญลงที่ใครไม่ได้ ไม่มีที่ระบายอารมณ์ 555 สามีก็เปราะบางเหลือเกิน ช่วงปีที่ผ่านมาคือเปลี่ยนจากสามีเป็นเพื่อนสาว เพราะเธอเซนซิทีฟมาก อ่อนไหว เล่าอะไรให้ฟัง จะเหมือนเล่าให้เพื่อนสาวฟัง มีอารมณ์ร่วม ใจอ่อน บางทีจะร้องไห้ตามกัน คือก่อนป่วย สามีดิฉันเป็นมนุษย์ถ้ำ มนุษย์หิน ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับใคร ใครทำอะไรไม่สนใจ แต่พอป่วยแล้วเปลี่ยนไปเยอะมาก


โชคดีมากที่บริษัทที่สามีทำงาน เข้าใจ และให้โอกาสเขารักษาตัว คือเจ้านายเข้าใจนะคะ นโยบายบริษัทก็ดี แต่มีเพื่อนร่วมงานบางคนไม่เข้าใจ แอบพูดดังๆ ว่า อยากป่วยบ้าง จะได้หยุดงานนานๆ คือ คนพูดนี่ก็ปากร้าย ใจร้ายมาก ที่ลาไปไม่ได้มีความสุขกันนะ ลาไปรักษาตัว เพราะมันไม่ไหวแล้วจริงๆ ลาป่วยไปเกือบเดือนค่ะ ส่วนรักษาตัวใช้เวลานานค่ะ ครึ่งปีพอจะกลับเข้าที่ได้บ้าง แต่ต้องปรับยาอยู่ เพราะยามีผลข้างเคียงอยู่บ้าง ตอนนี้ผ่านมาเกือบปีแล้ว ดีขึ้นเยอะมาก ยานอนหลับเลิกกินแล้ว ยาที่กินก็ลดขนาดลงด้วย นักจิตบำบัดสรุปให้ว่า เป็นโรคเครียดจากที่ทำงานประกอบกับมีปมเครียดจากตอนเป็นเด็ก ก็ไปบำบัดจนจบครอสแล้ว นักจิตวิทยาบอกไม่ต้องมาแล้วก็ได้ หายแล้วหล่ะ  ตอนนี้สามีดิฉันจากเพื่อนสาวก็กลายเป็นมนุษย์ถ้ำไม่ค่อยคุยกับเมีย ไม่มีอารมณ์ร่วมเหมือนเดิม 555 อ้อ น้ำหนักพุ่งไปยี่สิบโลแล้วค่ะ เพราะกินได้ แถมกินเยอะกว่าปกติ หมอบอกเป็นผลข้างเคียงจากยา แต่หมอดูไม่กังวลเท่าไหร่ คืออ้วนยังดีกว่าหดหู่ตลอดเวลา 555


สุดท้าย ขอให้กำลังใจใครทำกำลังอยู่ในช่วงลำบาก เป็นโรคซึมเศร้า หรือมีคนใกล้ตัวเป็นนะคะ ต้องพยายามสู้ ต้องใช้เวลา ความอดทน ความเข้าใจ ขอให้ทุกคนผ่านมันไปกันได้นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่