++ลดความอ้วนใจด้วย Cognitive Therapy++

บทความนี้นำมาจากกระทู้เก่า วันที่ 6 เมย.2551 โดยคุณปะการังเรืองแสง


ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร ลดน้ำหนัก ลดหุ่น เสริมกล้าม ดูแลสุขภาพ รักษาโรคทางกาย ทางใจ ทางการกิน สิ่งที่พวกเราต่างก็พยายามทำคือการเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ให้ไปสู่ทางที่ดีขึ้น เรื่องความอ้วนเลยไม่ใช่เรื่องทางกายอย่างเดียวค่ะ สูตรทางคณิตศาสตร์กินเข้าน้อยกว่าเอาออกเท่ากับผอมลง อาจเป็นสูตรลดความอ้วนทางกาย แต่ปัญหาคือ คนเราไม่ได้อ้วนแต่ทางกาย แต่อ้วนทางใจด้วย การลดความอ้วนใจจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อมๆกัน

1.ใครเข้าข่ายอ้วนใจบ้าง?

เนื่องจากเราเพิ่งบัญญัติคำว่าอ้วนใจขึ้นมาเอง เลยต้องจำกัดความกันนิดนึง เราว่าคนอ้วนใจ หลักๆก็คือคนที่มีความคิดผิดๆ ทุกชนิด เกี่ยวกับความอ้วน พอจะรวบรวมตัวอย่างอาการมาได้ดังนี้

- อยากผอม แต่ตะบี้จะบันกิน ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องกินเยอะ
- อยากผอม แต่ไม่อยากออกกำลังกาย
- มีสารพัดข้ออ้างสำหรับ 2 ข้อ ข้างต้น เช่น กินเยอะเพราะคิดว่า... กินนิดเดียว ไม่อ้วนหรอก, ขอกินเยอะตอนนี้ แล้ววันนี้ทั้งวันจะไม่กินอีก, คนนั้นคนนี้ซื้อมาให้ ไม่กินได้ไง, วันนี้ออกกำลังไปแล้ว กินเยอะไม่เป็นไร, โอย ทำไมมีแต่เราคนเดียวต้องมานั่งลดอาหาร งั่มๆๆ, ถ้าไม่มีใครเห็นเรากิน ก็ไม่นับว่าเรากิน, รู้นะว่ากินไอ้นี่แล้วอ้วน แต่มันติดนี่ ช่วยไม่ได้, เย่ อาหารฟรี หรือไม่ออกกำลังกายเพราะคิดว่า.. ไม่มีเวลา, ติดงาน, ขี้เกียจ, เราเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย, ทียัยนั่นผอมไม่เห็นต้องออกกำลังเลย และอื่นๆ

- รู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ เกี่ยวกับเรื่องความอ้วน ไม่มี willpower พอจะลดความอ้วนได้สำเร็จ หรือรักษาน้ำหนักที่ลดลงได้อย่างถาวร ลดๆไปสักพักก็เลิก เลิกแล้วก็อ้วนใหม่ ลดๆเลิกๆอยู่แบบนี้ เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปี

- หมกมุ่นอยู่แต่กับการลดความอ้วน ไม่ได้อ้วนก็จะลด ด้วยสารพัดแบบสารพัดวิธี ผอมแล้วอยากผอมอีก วันๆคิดแต่เรื่องอ้วน
- ทุกข์ทรมานกับความอ้วน กลัวคนอื่นจะมองอย่างตำหนิ ใครว่าอะไรก็เอามาตีความว่าเค้าหาว่าเราอ้วน อ่อนไหวไปกับคำล้อเลียน เอาน้ำหนักมาเป็นตัวตัดสินความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จในชีวิต เอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น คนนั้นผอมกว่าเรา คนนี้อ้วนกว่า ดูยัยนั่นอ้วนแล้วยังกินเยอะอีก และอื่นๆ

- กินสนองอารมณ์ (Emotional Eating) เบื่อมากเลยต้องกิน อ่านหนังสือสอบเครียดเลยต้องกิน เฮฮาร่าเริงปาร์ตี้กันเลยต้องกิน กลับบ้านเหนื่อยๆก็เลยกิน แฟนทิ้ง แม่ด่า หมาตาย เศร้าก็ต้องกิน

- รวมไปถึงพวก Eating Disorder ทั้งหลาย ทานเยอะแบบควบคุมไม่ได้, ลดความอ้วนแบบสุดโต่งจนผอมเกิน, กินแล้วอ้วก หรือใช้ยาถ่าย หรือออกกำลังกายหักโหม, รวมทั้งความคิดแบบ disorder ด้วย เช่น เครียด กดดัน เศร้า ไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกผิดตลอดเวลา

2.ทำไมคนเราถึงอ้วนใจ?

แปลกใจมั้ยคะ เวลาเอาอาการอ้วนใจมาตีแผ่ให้เห็นกันจะๆ แบบนี้ แอบงงๆกันไหมว่าทำไมเราถึงไปคิดอย่างงั้นได้ ทำไมอะไรๆ มันไม่ง่ายดาย เช่น เราวางแผนว่าวันนี้จะกินไอ้นี่ เท่านี้ ออกกำลังกายเท่านี้ แล้วก็ทำตามแผนไปเรื่อยๆตลอดชีวิต มีอะไรยากตรงไหน? ทำไมเราทำไม่ได้? เราก็รู้ว่าไม่ควรไปยึดติดกับความคิดผิดๆ และรู้ว่าการคิดที่ถูกต้องนั้นคืออะไร แต่ทำไมยังคิดอยู่ได้? เวลาที่เราคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล (โดยเฉพาะเวลาอิ่ม) เราเข้าใจโดยตลอดว่าการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องนั้นทำอย่างไร แต่เวลาปฏิบัติจริงทำไมเรายังทำอะไรผิดๆให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลัง? ความคิดที่ขัดขวางทางเจริญ (Sabotaging thoughts) แบบนี้ มันมาจากไหนกัน?

จริงๆแล้ว คนเราควรจะดำเนินชีวิตในแบบที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองไม่ใช่เหรอ สัญชาตญาณสัตว์ต้องทำอะไรก็ตามเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง สิ่งไหนที่ไม่ดี เราควรจะเกลียดกลัวไม่ทำมันโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แล้วการที่เราทำร้ายตัวเองแบบนี้ (โดยการทานเยอะเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ โดยการอดอาหารนานๆ โดยการเอาเรื่องอ้วนมาเป็นอุปสรรคต่อความสุขในชีวิต) มันเกิดขึ้นได้ยังไง คำถามพวกนี้มีคนพยายามตอบมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องอ้วน แต่เรื่องอื่นๆด้วย เช่นทำไมคนถึงสูบบุหรี่ทั้งที่รู้ว่าไม่ดี ทำไมบางคนติดเหล้า หรือใช้เงินฟุ่มเฟือย หรือเก็บตัว หรือชอบผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ทำงานที่ต้องรับผิดชอบ หรือมั่วสุมทางเพศ หรือเล่นหวยการพนัน เชื่อโชครางจนเกินพอดี ถ้าคุณถามพวกเขาเหล่านั้น ทุกคนก็คงบอกว่า อยากเลิกนะ รู้แหละว่ามันไม่ดี แต่มันเลิกไม่ได้ มันติดนี่

อืม ทำไมคนเราถึงมัวแต่ทำอะไรที่ขัดกับความเชื่อและสำนึกอันดีงามของตัวเองอยู่เรื่อยแบบนี้นะ

ฝรั่งเค้าเรียกอาการแบบนี้ว่า self-defeating behavior (โรคแพ้ภัยตัวเองมั้ง ถ้าจะแปล) มันเป็น อาการติด (Addiction) ค่ะ เหมือนคนติดยานั่นแหละ ทุกคนมีความคิดแบบนี้อยู่คนละนิดละหน่อย ในเรื่องต่างๆกัน ใครมีมากกว่าก็เจริญน้อยกว่า ความคิดพวกนี้ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมายสักที ความรู้ ความสามารถที่มี ช่วยอะไรเราไม่ได้เลยเพราะมีข้ออ้างพวกนี้ผุดขึ้นมาตลอด ทำให้เราไม่ทำสิ่งที่ควรจะทำ ในเวลาที่ควรจะทำ มานึกทีหลังก็พลาดไปแล้ว ไม่น่าเลย มีทฤษฏีอธิบายเรื่องนี้ว่า พฤติกรรมพวกนี้ เคยทำให้เรารู้สึกดีมาก่อนในช่วงเวลาตึงเครียดของชีวิต จิตใต้สำนึกก็เลยบันทึกไว้ว่า ทำอย่างนี้แล้วความกดดันทางใจมันหายไปนะ ส่งผลให้เรายึดสิ่งนั้นเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่เร็วที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ตอนเด็กเราหกล้มแล้วแม่ปลอบใจโดยการไปซื้อไอติมมาให้กิน การกินทำให้เราลืมความเจ็บปวดตึงเครียดทางร่างกาย โตมาก็เลยติดกิน หรือคนสูบบุหรี่แล้วรู้สึกว่าเป็นที่ยอมรับในสังคมเป็นครั้งแรก ภายหลังกลายเป็นคนติดบุหรี่ คือถ้า ณ จุดจุดหนึ่งในชีวิต การกินเคยทำให้ความทุกข์หายไป ทุกครั้งที่เราเครียด (แม้จะเป็นความเครียดเรื่องอ้วน) จิตใต้สำนึกก็จะหวนกลับไปหาการกินโดยอัตโนมัติ จากจุดนั้นพัฒนาไปสู่ความอ้วนหรือการคิดผิดรูปแบบอื่น แล้วไปถึงการลดความอ้วน ไปถึงแนวคิดผิดๆและโรคต่างๆที่มากับการลดความอ้วน รวมๆ กลายเป็นโรคอ้วนใจนั่นเอง

3. จับผิดเจ้าความคิดแย่ๆ แล้วเขียนลงการ์ด สังเกตตัวเองค่ะ ว่าก่อนกินคุณคิดอะไรอยู่ ความคิดและปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ที่สร้างสรรค์อยู่เสมอ ถ้าคุณคิดดีๆ ลองเขียนความคิดที่ผิดๆแล้วลองตอบโต้กับมันดู ตัวอย่างการ์ดก็เช่น

ความคิดผิดๆ : ทำไมมีแต่เราต้องมาลดอาหาร พวกเพื่อนเราผอมๆกินอย่างกะยัดนุ่นยังผอมได้ ไม่ยุติธรรมเลย (บางทีคุณคิดอย่างงี้ก็เลยกินประชดซะ)

ตอบโต้ : จริงอยู่ การที่คนเรากินเท่ากัน ออกแรงเท่ากันแต่ดันอ้วนผอมไม่เท่ากันนั้นเป็นเรื่องไม่แฟร์เลย แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแฟร์อยู่แล้ว เพื่อนอ่านหนังสือแทบตายสอบได้คะแนนไม่เท่าเราที่อ่านนิดเดียว พวกคนเกิดมาพ่อแม่จนกว่าพ่อแม่เราต้องนั่งทำงานงกๆแลกกับเงินน้อยนิด คนเกิดมาดำ ทาอะไรก็ไม่ขาว เราเกิดมาขาวโดยธรรมชาติเลยไม่เคยโดนล้อว่าดำ โลกมันไม่ยุติธรรมเสมอแหละ แต่มันจะไม่ยุติธรรมมากกว่านี้ ถ้าคนอ้วนอย่างเราไม่มีสิทธิ์พยายามลดให้ผอม นี่เรามีสิทธิ์กำหนดชะตาเปลี่ยนชีวิตเราเองได้เพียงแต่กินให้ถูกหลัก ออกกำลังสม่ำเสมอ โลกยุติธรรมเพียงพอสำหรับเราแล้ว

ความคิดผิดๆ : เราเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย เราเป็นคนไม่ชอบกินผัก เราเป็นคน... (เรามีนิสัยที่ไม่มีทางเปลี่ยนได้ เราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เกิดแล้ว)

ตอบโต้ : คนเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่ชอบในสิ่งที่ทำ คนไม่ได้ทานผักเก่งเพราะชอบทานผัก แต่เพราะว่าได้ทานผักบ่อยๆ (อาจจะเมื่อตอนเด็กพ่อแม่ฝึกให้ทาน) เลยชอบไปเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นนิสัยอะไรก็ตาม เราสามารถเรียนรู้ที่จะชอบมันได้ ถ้าเริ่มทำ เมื่อเราเริ่มทำและเห็นข้อดีของมัน เราจะอยากทำต่อเองโดยไม่ต้องฝืน เรียนหนังสือยังเรียนได้ ทำไมจะเรียนรู้ที่จะรักษาสุขภาพตัวเองไม่ได้ เมื่อก่อนเราก็ไม่ชอบ... ตอนนี้ยังหันมาชอบได้

ความคิดผิดๆ : อดอาหารไปเลยแล้วกัน จะได้ผอมเร็วๆ

ตอบโต้ : ทุกครั้งที่เราอดอาหาร ร่างกายเราจะเก่งขึ้นเรื่อยๆในการลดการใช้พลังงานให้น้อยลง ระบบเผาผลาญที่ย่ำแย่ ในระยะยาวทำให้เราอ้วนขึ้น ไม่ใช่ผอมลง ถ้าจะใช้ความเด็ดเดี่ยวใจแข็ง อย่าเอาไปใช้อดอาหาร เอาไปใช้ในการทานให้ถูกหลักและออกกำลังกายสม่ำเสมอไปตลอดชีวิตดีกว่า

หรืออาจจะเป็นการ์ดเตือนใจตัวเอง เช่น

อย่าตามใจปากเวลาไปทานข้างนอก : เวลาไปทานข้าวกับเพื่อนไม่เห็นจำเป็นต้องกินเยอะเลย เราไปเพื่อสังสรรค์กับคนที่เรารัก เรื่องกินเป็นเรื่องเล็ก ให้ความสำคัญกับการพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะดีกว่า ถึงแม้อาหารในงานเลี้ยงจะแจกฟรีแต่สิ่งที่เราจ่ายไปจริงๆแล้วคือพุงที่ใหญ่ขึ้น ให้อาหารเหลือในจานโยนทิ้งไปยังดีกว่ามันมาเหลือตามต้นขา รอบเอว หน้าท้องของเรา

หรือ

อย่าอ่อนไหวไปกับตัวเลขบนเครื่องชั่ง : ไม่ว่าน้ำหนักจะเป็นเท่าไหร่ เราก็จะยืนยันที่จะกินอาหารอย่างถูกต้องและออกกำลังกายตามแผน จะไม่อดอาหารเพื่อให้มันลดลงเร็วๆ อย่างเด็ดขาด และจะไม่กินประชดน้ำหนักด้วย อย่าลืมว่าเรากำลังจะเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ไม่ว่าน้ำหนักจะลดหรือไม่ลด ชีวิตต่อไปนี้เราก็จะทำสิ่งดีๆเหล่านี้เพื่อตัวเองอยู่ดี ให้เครื่องชั่งเป็นตัวบอกข้อมูลชิ้นหนึ่งว่าเราควรจะปรับเปลี่ยนแผนการไดเอ็ทหรือไม่ ไม่ใช่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการไดเอ็ท

ทุกๆวันหมั่นสังเกตตัวเองว่าคิดอะไรผิดๆ ก่อนนอนก็ลองมานั่งเขียนการ์ดดู การ์ดนี้คุณอาจจะอ่านทุกวันควบคู่กับการ์ดในข้อหนึ่ง หรือว่าจะอ่านตอนที่จำเป็น (เช่นก่อนกินข้าวเย็น ก่อนไปทานบุฟเฟต์กะเพื่อน เวลาที่ต้องใช้ willpower สูง) การ์ดพวกนี้เป็นเครื่องมือสำคัญมากในการเปลี่ยนความคิด มันทำให้ความคิดที่ถูกต้องติดตรึงกลายเป็น automatic thought ไปแทนที่ sabotaging thought ถ้าหากว่าคุณมีความคิดผิดๆอื่นๆ แต่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เอามาโพสในเว็บบอร์ดได้ค่ะ มีไอเดียดีๆรออยู่แน่นอน

4. ทำให้คนรอบข้างหันมาสนับสนุนคุณ ถ้ามีเพื่อนหรือคนในครอบครัว มาขอให้คุณลองนั่งลงฟังปัญหาของเค้าอย่างจริงจัง และขอให้คุณสนับสนุนเค้าในการเปลี่ยนชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า คุณจะรู้สึกยังไงคะ จะรำคาญ ด่าทอ หรือบ่ายเบี่ยงปฏิเสธมั้ย ไม่หรอกค่ะ คุณรู้สึกดีด้วยซ้ำที่คนคนนั้นรักและเชื่อใจพอจะเปิดใจของเค้าให้คุณดู แล้วยังเห็นว่าคุณพึ่งพาได้ เพราะฉะนั้น อย่าลังเลที่จะเปิดอกเปิดใจกับเพื่อน พ่อแม่ หรือคนรอบข้างเกี่ยวกับแผนการของคุณ แล้วขอความสนับสนุน การเดินแบบมีคนช่วยดันหลัง ย่อมเร็วกว่าการเดินคนเดียวอยู่แล้วค่ะ

5. ใช้ชีวิตราวกับว่า คุณอยู่ที่น้ำหนักเป้าหมายค่ะ คุณอาจจะเคยบอกว่า ถ้าชั้นลดความอ้วนได้นะ จะลองคุยกะหนุ่มคนนั้นดู จะซื้อเสื้อผ้าสวยๆมาใส่ จะเริ่มชีวิตใหม่ ทำไมต้องรอล่ะคะ ทำเลยค่ะ สวยได้เท่าไหร่สวยเลย อยากทำเชิด ทำเริด ทำเลยค่ะ คุณมีคุณค่าพอที่จะรักและถูกรัก ที่จะเป็นผู้ชนะและผู้มีความสุขเสมอในทุกๆเรื่อง คุณมีสิทธิในความสุขทุกอณูบนโลกค่ะ คว้ามาได้เลยค่ะ อย่าคิดว่าคุณทำไม่ได้เพราะคุณอ้วน การตั้งรางวัลล่อใจให้ตัวเองตั้งใจลดความอ้วนนั้นก็เป็นวิธีที่ดีอยู่ แต่การทำทุกวันให้เป็นรางวัลของชีวิตทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าค่ะ

5 ขั้นตอนนี้ปรับใช้ได้กับทุกอย่างค่ะ อยากปรับปรุงเรื่องเรียน อยากเป็นแฟนที่ดีขึ้น อยากเปลี่ยนแปลงนิสัยการทำงาน อะไรก็ตามที่ต้องใช้พลังงาน เวลา ความอดทน ทั้งหมดนี้ (โดยเฉพาะขั้นที่สาม สำคัญมาก) จะทำให้คุณจดจำยึดติดกะเป้าหมายและกำจัดความคิดที่มาขัดขวางความสำเร็จได้

เป็นกำลังใจให้ทุกคนปลอดโรคอ้วนใจค่ะ
ที่มา : http://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2008/04/L6492028/L6492028.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่