HR ข้างบ้าน ข้างร้าน ข้างรั้ว ตอน ผู้คุมกฎ

“ก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่ HR และผมก็ไม่ชอบ HR !!!”

สมัยเข้าทำงานใหม่ๆ HR ที่ผมเจอในตอนนั้น ซึ่งไม่น่าใช้คำว่า HR ที่ย่อมาจาก Human Resources หรือแปลเป็นไทยในสมัยนี้ได้ทั้ง “ทรัพยากรบุคคล” และ “ทรัพยากรมนุษย์” ที่มองว่า “คน” มีความสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ ขับเคลื่อนและเติบโตได้

แต่ในสมัยนั้นสมควรใช้คำว่า Personnel มากกว่า หรือถ้าแปลให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า “ฝ่ายบุคคล” จนบางที่อาจแถมว่า “ฝ่ายบุคคลและธุรการ”

หน้าที่หลักๆ ของ “ฝ่ายบุคคลและธุรการ” ที่ผมเคยเจอก็คือ

“รับคนเข้า เอาคนออก ตรวจบัตรตอก ออกใบเตือน”

มันช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ แล้วพี่ๆ เอาเรื่องการดูแลและสร้างกำลังใจให้กับผู้คนไปไว้ที่ไหน ???

เรื่องมันก็เริ่มจากตรงนี้นี่แหละ...

คงต้องเล่าให้ฟัง พิมพ์ให้อ่าน ตั้งแต่สมัยผมเริ่มเข้าทำงานเป็นลูกจ้างใหม่ๆ เลยก็แล้วกัน

พี่บุคคล (ขออนุญาตเรียกแบบนี้ เพราะไม่อยากเอ่ยนามให้แกต้องรู้สึกสะดุ้ง แล้วเดี๋ยวแกจะออกตามหาตัวผม เพื่อเอาคืนซักดอกสองดอก)

พี่บุคคล ของผมคนนี้ แกรู้หน้าที่ของแกดีอย่างที่ว่าไว้ตั้งแต่ตอนแรก

“รับคนเข้า เอาคนออก ตรวจบัตรตอก ออกใบเตือน”

แกชัดเจนมากในหน้าที่ความรับผิดชอบ เพราะนอกเหนือจาก 4 ข้อนี้ ของแก แกจะพูดอยู่ 2 ประโยคครับ

“ถามเถ้าแก่ก่อน” กับ “มันต้องเป็นไปตามกฎ”

สมัยนั้น ไม่ต้องพูดถึงสวัสดิการอะไรมากมาย เพราะแค่มีกิจกรรมสร้างแรงจูงใจให้พนักงานรู้สึกมากกว่าแค่ทำงานก็บุญแล้ว

ผมในวัยราวๆ 25 ปี ที่มีหน้าที่ต้องดูแลพนักงานร่วม 200 ชีวิต ให้ทำงานให้ได้ตามเป้าหมายของบริษัทฯ โดยที่พวกเขาไม่เคยได้อะไรที่นอกเหนือไปจากค่าแรงและโอที คุณคิดว่าผมจะเอาอะไรไปจูงใจพวกเขาได้บ้างล่ะครับ

ประโยคหนึ่งตอนที่ผมพยายามบอกเหล่าทีมงานของผมว่าพวกเราต้องช่วยกันทำให้ได้ตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ ในทันใดก็มีประโยคสวนกลับมาจากกลุ่มทีมงานที่ทำเอาผมรู้สึกตัวชาไปเหมือนกัน

“ทำได้ตามเป้าหมายแล้วจะได้อะไรล่ะพี่ ทุกวันนี้ก็ทำงานแลกค่าแรง (รายวัน) กับโอทีอยู่แล้ว ทำมากแค่ไหนก็ได้เท่าเดิม แล้วพี่จะมาเพิ่มงานให้พวกผมทำไม ???”

และนั่นก็ทำให้ผมและทีมงานหัวหน้างานของผม เกิดเป็นคำถามในใจขึ้นมาว่า “เออ แล้วเราจะดูแลพวกเขายังไง ???”

หลังจากการประชุมในวันนั้น และคำถามที่ทำให้เกิดข้อคิด พวกเราเหล่าหัวหน้างาน ก็มานั่งระดมความคิดและพูดคุยกัน

เราพยายามเสนอไอเดียกันหลายอย่างจนมาจบที่ว่า “ถ้าทีมงานของเราสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ภายใน 2 เดือนนี้ เราจะพาพวกเขาไปเที่ยวทะเลฟรี แบบทัวร์ 0 บาทกันไปเลย”

พวกเราตื่นเต้นกับไอเดียนี้มาก และอยากจะเอาไปนำเสนอกับพี่บุคคลที่น่ารักว่าจะมีแนวทางเป็นไปได้สักแค่ไหน

เดาคำตอบได้ไม่ยากใช่ไหมครับ...

คำตอบของพี่บุคคลของผม ยังเป็น 2 ประโยคเดิม คือ “ถามเถ้าแก่ก่อน” กับ “มันต้องเป็นไปตามกฎ” เพราะไม่มีกฎหรือระเบียบอันไหนว่าไว้ว่า ถ้าทีมงานทำงานได้บรรลุเป้าหมาย แล้วจะได้ไปเที่ยว

จบครับ จากไอเดียสุดปิ๊งที่คิดว่าจะทำให้เกิดการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานในการทำงาน กลับกลายเป็นได้คำตอบแบบดับฝันกันไปเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อย พี่บุคคลก็ยังบอกอยู่ว่า “ถามเถ้าแก่ก่อน” ดีไม่ดี เถ้าแก่อาจจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ก็ได้

เวลาผ่านไปราวๆ 1 สัปดาห์ แล้วก็มาถึงวันที่พี่บุคคลเรียกพวกเราเข้าไปเพื่อให้คำตอบ ของการนำเสนอไอเดียนี้

คุณลองทายสิว่า คำตอบที่พวกผมได้คืออะไร ?

ทายไม่ยากใช่ไหม...

“มันต้องเป็นไปตามกฎ กฎเราไม่เคยมีระบุเรื่องพวกนี้เอาไว้ เพราะฉะนั้นทำไม่ได้หรอกนะ พนักงานทุกคนมาทำงานเพื่อให้ได้ค่าแรง อันนี้ถือว่าบริษัทฯ ได้ตอบแทนให้กับการทำงานไปแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้อยู่นอกเหนือ ไม่สามารถให้ได้”

แม่จ้าวววว !!! แกยังตอบโดยใช้ประโยคเดิม เพิ่มเติมคือคำอธิบายอันยาวเหยียดที่สรุปความให้สั้นได้ว่า “ไม่ได้ ไม่ผ่าน”

ผมยอมรับว่าเสียใจ แต่ด้วยวัยที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ ประกอบกับความเข้าใจซึ่งกันและกันของทีมหัวหน้างานของผม

เราตัดสินใจ “ดื้อ” และทำตามความคิดดั้งเดิมของเรา โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้จัดการของผมที่ก็เป็นลูกจ้างเหมือนกับเรา คือ Crowdfunding ครับ “ระดมเงินกันเอง !!!”

บริษัทฯ ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ต้องทำตามกฎทุกอย่างอยู่ร่ำไป โดยไม่สามารถปรับให้เป็นปัจจุบันได้ ก็ทำกันเองก็ได้ไม่ง้อใคร เพราะอย่างน้อยพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นทีมงานเรา ลูกน้องเรา ใช้งานพวกเขาแล้วก็ต้องดูแลกันให้ดี !!! (ใส่อารมณ์ไปนิด โปรดอย่าว่าอะไรกัน)

พวกเราตัดสินใจกันแบบนี้จริงๆ ทำทุกอย่างด้วยตนเองตั้งแต่แจ้งให้ทีมงานทุกคนทราบ ว่าทำอย่างไรถึงจะได้ไปแบบนี้ ผลงานต้องเป็นแบบไหน สถานที่ที่จะไปคือที่ไหน มีกิจกรรมอะไรบ้าง และอีกหลายอย่างมากมายที่เราจะทำให้ได้โดยยังคงคอนเส็ปต์เดิม “ทัวร์ 0 บาท” คือลูกน้องไม่ต้องออกซักบาท ลูกพี่จัดการให้ทั้งหมด

สุดท้ายพวกเราทำได้และได้ไปกันจริงๆ เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวทะเลชะอำบวกการทำกิจกรรมทีมบิวดิ้งเล็กๆ แบบไปเช้าเย็นกลับ

ถึงแม้ว่าเราจะทำกันเองได้เพียงเล็กๆ แบบนี้ แต่เราก็มีความดีใจอยู่เต็มเปี่ยม เราได้เห็นลูกน้องของเรามีความสุข เราได้เห็นคนที่ไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนจนอายุเกือบ 40 ปี ก้มลงชิมน้ำทะเล แล้วมาบอกกับพวกเราว่า “เค็มจริงๆ พี่ !!!”  เราสามารถทำได้ถึงขั้นไปตกลงกับห้องอาบน้ำแถวนั้นไว้ว่าเวลาที่น้องๆ ของเรามาเข้าห้องน้ำไม่ต้องเก็บตังค์พวกเขา เพราะเราต้องการคงคอนเส็ปต์ของทัวร์ 0 บาทเอาไว้ เราได้เห็นความร่วมมือร่วมใจในการทำอาหารกินกันเองแบบง่ายๆ อย่างข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่าง ที่ต่างคนต่างจกกันจนมันส์มือและมือมัน เพียงแค่นั้นแหละครับที่หัวหน้าอย่างพวกเราต้องการเห็นจากพวกเขา ในวันที่ไม่มีกฎระเบียบอะไรมากมายมาครอบไว้

แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า การทำแบบนี้ ผลมันไม่ได้จบแค่วันนั้น แต่มันยังมีผลอย่างต่อเนื่องเมื่อเรากลับมาถึงโรงงานและเริ่มทำงานกันใหม่

อะไรน่ะเหรอครับ...

ทั้งลูกน้องและทีมหัวหน้า ต่างพูดคุยกันถึงความสนุกที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน มีความเข้าใจและประสานการทำงานกันได้ดีขึ้น และที่สำคัญ พวกเขามีคำถามมาว่า “เมื่อไหร่จะได้ไปอีกพี่ ?” คราวนี้ก็เข้าทางแล้วล่ะครับ เพราะว่ามันแสดงออกถึงว่าพวกเขาเริ่มมีแรงจูงใจในการทำงาน ที่ไม่ใช่แค่การมาทำงานเพียงเพื่อให้ได้ค่าแรงและโอที แต่ในวันนี้พวกเขาอยากทำให้มันดีขึ้น เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวแบบปลดปล่อยด้วยกันอีกครั้ง

แม้ว่าผมจะบ่นและตัดพ้อต่อว่า พี่บุคคล ของผมในตอนต้น แต่ในตอนท้ายนี้ผมกลับอยากขอบคุณเขา ที่เป็นคนจุดประกายให้ผมได้เข้าใจถึงความรู้สึกของคนและทีมงาน ตลอดไปจนถึงการทำงานในฝ่ายบุคคลแบบแท้จริง

ผมเข้าใจดีว่า การอยู่กับคนหมู่มากมันต้องมีกฎระเบียบวางไว้ แต่สิ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจคือทำไมมันถึงปรับอะไรกันไม่ได้เลยเหรอ

ถ้าหากงาน “บุคคล” หรือ “ทรัพยากรบุคคล” หรือ “ทรัพยากรมนุษย์” เป็นงานที่เพียงแค่ใช้การคุมคนให้เป็นไปตามกฎระเบียบ มันก็จะดูเป็นงานที่ง่ายมากและคงไม่ได้มีความสำคัญอะไร

แต่ถ้าใครมองงานบุคคลที่ไม่ใช่แค่การคุมคนด้วยกฎและระเบียบ แต่มองให้ลึกไปถึงการทำความเข้าใจคน และการสร้างแรงจูงใจให้อยากมาทำงาน ผมว่าคนคนนั้นจะชนะในงานบุคคล และท้ายที่สุดก็จะชนะใจคนที่พวกเขาต้องดูแล

#HRTheSeries
#HRข้างบ้านข้างร้านข้างรั้ว

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่