ผมกับพี่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกผมครับ

สวัสดีครับ

พอดีมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของผมเอง อยากจะแชร์ให้ฟัง หลังจากที่ผมได้ไปสัมภาษณ์งานมา เป็นเรื่องของคนสัมภาษณ์งาน คนที่ผมสัมภาษณ์ด้วยเป็นหัวหน้าฝ่ายงานที่เราจะต้องเข้าไปทำงานด้วย

คือผมเข้าไปสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว คือมันเป็นการสัมภาษณ์งานที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตำนานแห่งการดูถูกระหว่างสมัครงานเลยก็ว่าได้

เริ่มจากการที่มีการนัดให้ผมไปสัมภาษณ์งานกับบริษัทแห่งหนึ่ง พอผมไปถึงก็มีการแจ้งว่ามาตามนัดสัมภาษณ์ แล้วเขาก็มีเอกสารให้ผมกรอก ซึ่งผมก็กรอกจนครบ ทำแบบทดสอบโน้นนี่นั่น มีการทดสอบในกระดาษเสร็จ ต่อด้วยมีการทดสอบในซอฟแวร์บนคอมพิวเตอร์อีก ซึ่งก็กินเวลาพอสมควร เพราะการทดสอบโน้นนี่นั่นเยอะพอดู ขั้นตอนนี้กินเวลาร่วมๆ (40-60นาที) พอทดสอบเบื้องต้นเสร็จ ผมก็ได้เชิญเข้าห้องสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวกับหัวหน้าฝ่ายงานโดยตรง

บรรยาในการสัมภาษณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยความมาคุเป็นอย่างยิ่ง  เวลาที่เขาถามอะไรผมมาแล้วผมตอบกลับไป สิ่งที่ผมเห็นก็คือการเมินหน้าหนีของคนสัมภาษณ์ สลับกับทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผมแทบจะทุกคำตอบ อย่างเวลาผมพูดอะไรไปยังไม่ทันจบประโยค เขาก็จะสอดแทรกแย้งความคิดผมแทบจะตลอดเวลาที่มีโอกาส (ผมยังคิดในใจตอนนั้นว่า ตกลงคุณถามผมไม่ใช่หรอ แล้วทำไมสุดท้ายกลายมาเป็นคุณตอบแทนผมในแทบทุกคำถาม) ประมาณว่าคนถามมันถามผม แต่พอผมตอบไม่เหมือนกับที่มันคิด มันก็แย้งมาเอาความคิดมันมาตอบแทน มาโชว์เหนือใส่ผมซะงั้น

และคำพูดก็เริ่มรุนแรงขึ้น จากคำถามสัมภาษณ์เกี่ยวกับงาน ก็เริ่มลามมาถึงการดูถูก เริ่มดูถูกงานที่ผมเคยทำที่บริษัทเก่า ว่าเป็นงานพื้นๆ กะโหลกกะลา เริ่มใช้คำแรงๆ เช่น พี่ว่าน้องโลกแคบเหมือนกบในกะลา, ความรู้น้องไม่ใช่เลย น้องต้องไปเรียนมาใหม่ ไปศึกษาเพิ่มเติม(มีไล่ผมไปเรียนเพิ่มเติมด้วย) แนะนำให้เรียนโทอีกต่างหาก, ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ย นี่ตูยังไม่ได้เป็นลูกน้องเอ็งนะ แต่ไง๋มาพูดจาดูถูกกันขนาดนี้ ช่วงหลังๆ มา เวลาผมตอบอะไรไปมันหันหน้าหนีเลย แบบประมาณเซ็ง ไม่อยากฟัง คือกิริยากวนTeenมากๆ (ผมบอกได้เลยถ้าเจอกันข้างนอกอีกครั้ง ผมกระโดนถีบขาคู่แน่นอน) ผมเสียดายแทนบริษัทเขาจริงๆ ที่เอาคนวุฒิภาวะแบบนี้มาเป็นระดับหัวหน้า แบบวิสัยทัศหรือการรับฟังคนอื่นไม่มีเลย การเก็บอารมณ์แย่มากๆ สีหน้าท่าทางมาเต็มทุกเม็ด คิดว่าเป็นหัวหน้าแล้วต้องถูกต้องเสมอ คนคิดต่างคือผิดหมด ใจแคบแบบนี้ถึงว่าลูกน้องลาออกบ่อย มีการมาบ่นว่าคนอื่นมาๆ ไปๆ ทำงานเอาความรู้จากที่นี่แล้วก็ลาออกไปทำที่ใหม่ (คือเอ็งโทษแต่คนอื่นอย่างเดียวเลยนี่หว่า ไม่เคยมองดูตัวเองเลย ว่านิสัยแย่ขนาดนี้ใครมันจะอยากทำงานร่วมด้วย) ขนาดผมมานั่งสัมภาษณ์ไม่กี่ชั่วโมงยังอึดอัดขนาดนี้ ลองหลับตานึกสภาพคนที่ต้องนั่งทำงานร่วมกับมันเป็นเวลา 8-9 ชั่วโมง โอ้แม่จ้าว นรกชัดๆ

หลังๆ มา ดูถูกแค่เรื่องความสามารถไม่พอ เริ่มลามปามไปเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องการแต่งตัว(วันนั้นผม ใส่สูทผูกไทค์ไป) มาบอกผมว่าน้องแต่งตัวดีเกินไปไม่เหมาะกับการทำงาน งานที่นี่หนักชุดแบบนี้ไม่เหมาะหรอก (นี่ผมต้องบอกพี่เขาไหมอ่ะ ว่าผมแต่งตัวมาสัมภาษณ์ ไม่ได้แต่งตัวมาทำงาน) ผมไม่รู้หรอกงานพี่หนักไม่หนักยังไง แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คือผมแต่งแบบสุภาพและให้เกียรติบริษัทพี่ที่สุดแล้ว และชุดที่ผมแต่งนี่เขาก็ยอมรับกันทั้งโลกว่ามันสุภาพและสากล
คนมันอคติมันก็หาเรื่องติไปได้ทุกเรื่องจริงๆ และอีกอย่างคือด้วยวุฒิการศึกษาที่ผมจบและตำแหน่งที่ผมสมัครมันก็ระดับค่อนข้างสูง  การแต่งตัวทีดีมันก็ถือเป็นการให้เกียรติบริษัทที่เราไปสมัครเช่นกัน ผมก็เข้าไประดับหัวหน้างานเหมือนกันดังนั้นชุดที่แต่งไปถือว่าภูมิฐานเหมาะสมกับคุณสมบัติของตำแหน่งที่สมัครงานแล้ว ถ้ามันจะอคติกันขนาดนี้ทำไมไม่ระบุไปในใบสมัครเลยว่าให้แต่งแบบไหนมา จะได้ถูกใจคุณพี่โลกแคบเขา ขาสั้นรองเท้าแตะก็ระบุไปเลย จะเอาแบบไหนก็ว่ากันไป พี่แกเล่นหลับหูหลับตาติอย่างเดียวจริงๆ วันนั้นผมอารมณ์เสียมากๆ เจอคนโชว์พาวแล้วดูถูกคนอื่น

เก่งแล้วกร่างไม่ยอมรับฟังคนอื่นไม่มีประโยชน์อันใดกับสังคมเลย สู้ไม่เก่งแต่พร้อมจะเรียนรู้และไม่ดูถูกคนอื่นยังน่าร่วมงานกว่าเยอะ องค์กรไม่น่าอยู่ก็เพราะมีคนพวกนี้แหละอยู่เยอะ โลกมันอยู่ยากขึ้นทุกวันจริงๆ ครับ

คือผมก็คิดนะว่า ตอนที่เราสัมภาษณ์นี่เรายังไม่ใช่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาเขา จะได้ร่วมงานกันรึเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ทำไมคำพูดบางคำมันออกแนวดูถูกกันได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้คนสมัครความรู้ความสามารถไม่ถึงหรือไม่ใช่แบบที่คุณต้องการ คุณเป็นใครมีสิทธิ์อะไรไปดูถูกเขา คุณก็แค่ไม่เลือกเขาเข้าทำงานมันก็แค่นั้นเอง แต่คำพูดบางคำมันหยิ่งผยองจนเคยตัว ผมอยากจะบอกพี่เขาจริงๆ ว่าความรู้ความสามารถนะมันหาเพิ่มเติมกันได้ตราบเท่าที่เราเปิดใจจะเรียนรู้ แต่สันดานคนบางคนมันเปลี่ยนยากจริงๆ

และสุดท้ายนี้ "คนบางคนเหยียบย่ำคนอื่นอย่างสะใจ เพื่อแลกกับความยิ่งใหญ่ในกะลาใบเดิม" คนที่อยู่ในกะลาไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นพี่นั่นแหละ

ป.ล. กระทู้นี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่อยากระบาย ขอให้เพื่อนๆ โชคดีในการหางาน หรือเปลี่ยนงานทุกคนครับ ^__^
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ข้ออ้างสุดฮิตอันดับหนึ่งเพื่อจะทำอะไรทุเรศใส่คนที่อยู่ในบังคับบัญชา "มันคือการฝึกความอดทน"

ข้ออ้างสุดฮิตอันดับหนึ่งเพื่อจะทำอะไรทุเรศใส่คนที่กำลังจะมาทำงานร่วมกัน "มันคือการทดสอบ"
ความคิดเห็นที่ 36
ยิ้ม
ความคิดเห็นที่ 13
ในฐานะอดีต Hr มาร่วม 10 ปี (ปัจจุบันผันตัวมาประกอบธุรกิจส่วนตัวแล้ว) ขอแชร์ในมุมมองและประสบการณ์ของพี่เองนะคะ

การสัมภาษณ์งานมีหลายรูปแบบค่ะ และหนึ่งในนั้นคือจิตวิทยาในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งผู้ที่ได้รับหน้าที่ในการมาเป็นผู้สัมภาษณ์นั้น มีความสำคัญต่อบริษัทฯมาก เพราะเป็นด่านแรกในการค้นหาและตัดสินว่าใครเป็นผู้ที่ดีที่สุดที่จะมาทำประโยชน์ให้กับบริษัทฯในตำแหน่งนั้นๆ จึงต้องเป็นผู้ที่มีทักษะสูงในการมองคนเป็นค่ะ

บางแห่งใช้ Hr เป็นผู้คัดเลือก บางแห่ง ให้หัวหน้างานเลือกเอง หรือบางที่ก็อาจสัมภาษณ์ร่วมกัน ซึ่งวิธีในการถาม อารมณ์ ความตึงเครียด ในการสัมภาษณ์นั้น ขึ้นอยู่ว่า จะรับเข้ามาทำตำแหน่งอะไร  สำหรับตำแหน่งที่มีการสัมภาษณ์โหดที่สุดสำหรับ บริษัทฯของพี่คือ เซลล์ ค่ะ โหดในที่นี้หมายถึง จิตวิทยาและอารมณ์ล้วนๆค่ะ ผู้สัมภาษณ์จะมี 3-5 คนรุมค่ะ  มีคนคอยบิวท์ให้มีแต่ความตึงเครียด มีคนคอยกวน มีคนคอยพูดดูถูกยั่วยุผู้สัมภาษณ์ (คำว่าดูถูกนี่จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ตัวบุคคลผู้รับสารตีความหมายนะ ความรุนแรงมันขึ้นอยู่กับผู้รับว่าคิด+ หรือคิด-)  บทสัมภาษณ์โหดมากกว่าที่เจ้าของกระทู้เล่ามาค่ะ จริง ๆ แล้วคือแอคติ้งของผู้สัมภาษณ์ค่ะ แอคติ้งล้วนๆเลยนะ  เพราะบริษัทฯ พี่ให้ความสำคัญกับตำแหน่งเซลล์ที่สุด และตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ต้องอยู่กับสภาวะกดดันมากที่สุดสำหรับการลงพื้นที่ทำงานจริง บททดสอบทางจิตวิทยาไม่สามารถวัด EQ ของคนนั้นได้ 100% ซึ่งต้องใช้สถานการณ์จริงมาทดสอบ เพื่อวัดความฉลาดทางอารมณ์ในการสื่อสารและโต้ตอบกับสิ่งยั่วยุและความกดดันแบบไหนค่ะ ถ้าคนที่มีความอดทนและใช้ EQและไหวพริบโต้ตอบออกมาได้ดี ก็มีแนวโน้มที่จะอยู่รอดในตำแหน่งนั้นได้ยาวนานกว่า คนที่นั่งกำมือเตรียมพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ เพราะหากรับเข้ามาแล้ว ก็จะต้องส่งออกทริปเลยไปจังหวัดไกลๆ หัวหน้าก็ออกทริปด้วย แตกต่างจากแต่ก่อนที่รับโดยสัมภาษณ์ทั่วไปแบบปกติ พอไปทำงานได้ 2 วัน ก็หนีทริปไป เกิดความเสียหายมาก หัวหน้าก็ต้องกลับบริษัทฯมาหาคนใหม่ ฝึกคนใหม่ พอปรับปรุงวิธีการคัดคนเข้าทำงานแบบใหม่ อัตราการลาออกลดลงมากเลยค่ะ และบางโมเม้นท์คนที่มาสัมภาษณ์ เค้าเอาอยู่จริงๆ จากอารมณ์ตึงเครียด คุยๆไปกลายเป็นหัวเราะลั่นห้องสัมภาษณ์กันไปเลยก็มี ซึ่งคนแบบนี้แหล่ะ ที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ยาวนานและมีการเลื่อนขั้นในอันดับสูงขึ้นต่อไปค่ะ

ตรงนี้พี่แชร์ในส่วนของบริษัทฯพี่ กับ ตำแหน่งเซลล์ นะคะ โหดร้ายมาก กวนทีนสุดๆ 5 คนรุม 1 ถามไปยันเรื่องส่วนตัว ขุดคุ้ยถามหมดจริง ๆ ค่ะ เพื่อเรียกความเป็นตัวตนของผู้สมัครออกมาให้ได้มากที่สุด ^^

เพิ่มเติมอีกนิดค่ะ สิ่งที่แชร์นี้ เป็นเพียงบางเหตุการณ์ที่ผ่านมาร่วม 10 ปีได้แล้ว ซึ่งวิธีการที่ใช้วัย Baby Boomer,GEN X จนถึงต้นๆ GEN Y และปัจจุบันนี้วีธีการต่าง ๆ ก็พัฒนาไปตามยุคสมัย  เพราะถ้านำมาใช้กับคน GEN Z และ GEN C  ในยุคสมัยนี้ ที่พร้อมจะดราม่าได้ทุกเรื่อง ก็คงจะมีมวยกันจริง ๆ แน่ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 9
จขกท ลองนึกย้อนดูครับ
ว่าคุณไปพูดอะไรที่กระตุ้นต่อมคนสัมภาษณ์หรือเปล่า
ที่อาจจะแรงในเนื้อหา หรือแรงในกิริยาท่าทาง

เพราะสิ่งเดียวที่คุณไม่ได้เล่า
คือ คำพูด รวมถึงลักษณะท่าทางการพูดของคุณ
ความคิดเห็นที่ 32
การอ้างว่าทดสอบ EQ ระหว่างสัมภาษณ์เป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการเฉลยทีหลังว่ามันเป็นแค่การทดสอบ มันก็คือข้ออ้างเลวๆให้ผู้สัมภาษณ์ระบายอารมณ์และแสดงกำพืดตัวเองออกมาใส่คนอื่นเท่านั้น

อย่าลืมว่าผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่ได้แค่ไป "ของานทำ" ฟรีๆ บริษัทก็ "อยากได้คนทำงาน" ด้วย มันเป็นการแลกเปลี่ยน ศักดิ์ศรีทั้งสองฝ่ายถือว่าเท่าเทียมกัน

อีกอย่างการทดสอบความอดทน บางคนก็ทำได้ดีถ้ารู้ว่าเป็นการทำเพื่องาน แต่กับแค่การสัมภาษณ์ที่ยังไม่ได้มีข้อผูกมัดอะไรกัน เรื่องอะไรต้องมาทนให้คนปากหมามันด่าฟรีๆ คนสมัครงานก็มีสิทธิ์เลือกนายจ้างเหมือนกัน
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ทรัพยากรบุคคล สัมภาษณ์งาน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่