ใครไม่รู้

เรื่องนี้ผมประสบพบเจอกับตัวเองมาได้เกือบ 10 ปีแล้ว (ส่วนไอดีนี้เป็นไอดีผมเอง กูไม่ได้ยืมของใครมา login)

ตอนนี้ผมมาทำงานอยู่ที่กทม. แล้วได้ยินเรื่องเล่าสมัยเรียนของเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดสุโขทัยมา จึงนึกเรื่องของตัวเองขึ้นมาได้ เลยขอเล่าในนี้แล้วกัน

(โปรดใช้วิจารณญาณได้การอ่าน เรื่องนี้ประสบกับตัวผมเอง นานาจิตตัง เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่คนอ่านเลยครับ)


ในสมัยที่ผมเรียนมัธยมอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในย่านบางแสน เป็นโรงเรียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยย่านบางแสน ขอไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน อ่านก็พอจะรู้

ย้อนไปในช่วง มัธยมปลาย ตอนนั้นผมอยู่ ม.5 ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นจะเป็นเดือนสิงหาคมนี่แหละ เป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นๆ บรรยากาศหม่นๆคงเป็นเพราะช่วงหน้าฝนถ้าจำไม่ผิด หลังสอบมิดเทอมหรือสอบเสร็จแล้วไม่แน่ใจ ก็จะเป็นช่วงที่สนุกมากๆของเด็กม.5 ทุกคนในตอนนั้นคือการได้จัดกิจกรรม "กีฬาสี"

ทุกๆปีนักเรียนม.5 ทุกคนจะต้องเป็นฝ่ายจัดทำกีฬาสีขึ้นมาเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดินพาเหลด การตกแต่งซุ้มกิจกรรม และอื่นๆอีกหลายอย่าง

ในปีนั้นผมได้จัดทำเกี่ยวกับด้านฝ่ายฉากที่จะใช้ในการจัดแสดงตอนวันสุดท้ายจะเป็นการแสดงประกอบฉากที่สนามกีฬากลางที่อยู่ในมหาวิทยาลัย

บรรยากาศวันนั้นผมจำได้ดี เลิกเรียนทุกคนก็จะเดินไปยังจุดของตัวเอง ใครช่วยฝ่ายไหนก็ไปฝ่ายนั้น ผมเองจึงเดินไปยังด้านหลังซึ่งเป็นตึกที่มีห้องดนตรีตั้งอยู่ เดิมทีเราจะเรียนดนตรีและดนตรีไทยที่อาคารไม้ที่ตั้งอยู่หน้าโรงเรียน แต่ปีนั้นเค้าย้ายมาตึกนั้น ถ้าจำไม่ผิดปัจจุบันน่าจะเรียกว่าตึก "อบจ."

ข้างล่างตึกอบจ.นั้นจะมีลานว่างๆซึ่งเมื่อก่อนเป็นโรงอาหารแต่ปัจจุบันนี้เป็นลานว่างๆเวลามีกิจกรรมก็จะสามารถจัดตรงนั้นได้ การทำฉากจึงทำตรงนั้นเพราะต้องใช้ไม้ที่มีขนาดยาวและใหญ่มาระบายตกแต่งและตัดกันตรงนั้นเลย

บรรยากาศ ณ วันนั้นอากาศเย็นๆเยือกเนื่องจากฝนตก ซึ่งผมจำอารมณ์วันนั้นได้ดีว่ามันเหงาสัสๆ เหงาแบบหวิวๆ ทั้งๆที่คนอื่นๆก็ยังช่วยท่ำฉากอยู่แท้ เวลาราวๆประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆได้ นักเรียนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เริ่มกลับบ้านกันหมดแล้ว เพราะโรงเรียนนี้เหมือนอาจารย์เค้าะไม่ค่อยให้เด็กอยู่กันเย็นถึง 5 โมง เท่าไร พวกผมก็นั่งคุยกันไปทำกันไป ไอ้เราก็อู้เพราะอากาศมันเย็น น่านอนมากบวกกับเพื่อนๆซ์้อขนมมากันเต็มเลย เลยนั่งกินนั่งเม้าท์กันไปตามประสาวัยสะรุ่น

พอเวลาผ่านไปสักพัก มีเพื่อนผู้ชายในกลุ่มคนหนึ่งบอกว่า ให้พาไปเอากระเป๋าบนห้องหน่อย ไม่ได้เอาลงมาตอนเลิกเรียน ผมกับเพื่อนจะเดินไปยังตึกที่มีห้องเรียน ระหว่างทางที่เราจะเดินไปตึกที่เราเรียนนั้น จะผ่านตึกหลังหนึ่งซึ่งมีสะพานเชื่อมกับตึก อบจ. ผมจำชื่ออาคารไม่ได้แล้ว เป็นอาคารที่อยู่ตรงกลางระหว่างตึกอบจ. กับ ตึก ฉลองศิริราชสมบัติ ซึ่งเป็นห้องเรียนประจำชั้นของพวกผม ระหว่างทางที่จะไปตึกฉลองราชย์นั้น ก็จะมีสวนในโรงเรียนซึ่งมีต้นไม้ใหญ่สัสๆ อยู่ต้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้ยังอยู่หรือเปล่า กิ่งของต้นไม้นั้นไหวเอนเพราะลมที่เกิดจากช่วงฝนตก ทำให้ได้บรรยากาศที่ค่อนข้างน่ากลัว และ หลอนๆเล็กน้อย

ผมกับเพื่อนก็เดินมาถึงอาคารฉลองราชย์ ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่มีโถงอยู่ตรงกลาง ส่วนห้องเรียนต่างๆจะอยู่รอบของตัวอาคารทั้ง 4 ด้าน บรรยากาศคล้ายป้อมปราการที่โอ่โถงมากๆ  ห้องเรียนของเราน่าจะอยู่ชั้น 3 หรือ 4 นี่แหละ ไม่แน่ใจ มันผ่านมานานมากแล้ว แต่ที่จำได้แม่นคือ ชั้นบนจะเป็นห้องเรียนวิทย์ พวกชีวะจะเรียนกันชั้นนี้ (น่าจะเป็นชั้น 5) ส่วนตัวผมเองไม่ค่อยชอบชั้น 5 เท่าไร เพราะตั้งแต่เข้ามาเรียนใหม่ๆ เพื่อนๆพี่ๆที่เป็นเด็กเก่าชอบเล่าว่า มีผี 555 ขนาดอาจารย์ที่สอยวิทยาศาสตร์ยังเล่าแบบนี้เลย บ้างก็เล่าว่าเจอกับตัวในห้องเรียนบ้าง บ้างก็เล่าว่าอยู่แถวๆห้องน้ำหญิงชั้น 5 บ้าง ทำให้ทุกครั้งที่เดินบนชั้นนี้ผมจะเสียวสันหลังตลอดๆ

พอเราเดินเข้ามาในอาคาร เราเดินตรงมาเรื่องจะมีบันไดและลิฟต์ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ นักเรียนจะขึ้นบันได้ ส่วนอาจารย์ทั้งหลายจะขึ้นลิฟต์ วันนั้นแทบไม่มีอาจารย์อยู่แล้ว ผมกับเพื่อนจึงชวนกันขึ้นลิฟท์เพราะไม่มีอารมณ์จะเดินขึ้นแล้วเหนื่อยสัสๆบอกเลย ลิฟท์เราไปหยุดที่ชั้น 3 หรือ 4 เนี่ยแหละ ผมจำชั้นที่ห้องเราเรียนไม่ได้แล้ว ลิฟต์เปิดมา บรรยากาศทั้งชั้นก็เงียบสงัดไม่มีใครอยู่แล้ว เพราะกลับกันหมดแล้ว + ทำกีฬาสีกันด้านล่างหมด

ออกจากลิฟต์เราเดินออกไปตรงทางเดิน เลี้ยวซ้าย ห้องเราจะอยู่ซ้ายมือ ผมรอเพื่อนตรงนั้นให้เพื่อนเค้าไปเอา ในขณะที่รอ ผมสังเกตุว่ามีเพื่อนอยู่ในห้อง แล้วเพื่อนผมก็ยืนคุยอยู่ แต่ผมไม่ได้สนใจไรเลย ผมรออยู่ตรงหัวเลี้ยวที่เดินไปยังบันไดตอนลง สักพักหนึ่ง มีเสียงลิฟต์เปิดออกที่ชั้นผม ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา แต่งตัวคล้ายๆชุดนอนแบบที่นอนแล้วดึกชอบไปคลุมหัวอ่ะครับ เป็นชุดนอนยาวๆสีน้ำตาล ผู้หญิงคนนั้นผมเปียก ผมก็งงว่า ใครวะ แต่งตัวแบบนี้ แม่บ้านป่าววะ? เธอเดินขึ้นบันได้ไปต่อชั้นบน ไอ้เราก็ไม่ได้สนใจกลับอุ่นใจด้วยซ้ำว่าแถวๆนี้ยังมีคนอยู่ ผ่านไปไม่เกิน 10 วิ ลิฟต์ที่เพิ่งเปิดก็ปิดลง และขึ้นไปที่ชั้น 5 ในใจผมก็คิดละว่า อาจารย์กำลังจะกลับแล้วแน่ๆ ก็ยืนรอเพื่อนเหมือนเดิม

....แต่ปรากฎว่าลิฟต์ไม่ได้ลงไปชั้นล่าง มันกลับมาลงที่ชั้นที่ผมยืนอยู่ แล้วลิฟท์ก็เปิด ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นคือ ผู้หญิงคนเดิม ชุดเดิม เดินออกมา........ แล้วเธอก็เดินขึ้นไปใหม่ ที่นี้แหละ ผมเริ่มนึกภาพหนังผีที่เคยดูมาละ บรรยากาศมันใช่สัสๆ หรือกูจะเจอแล้ว แต่ขณะนั้นผมเองนั้นสงสัยมากกว่ากลัว เพราะไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ จึงเดินไปเรียกเพื่อนว่าลงไปได้แล้ว เดี๋ยวโดนด่า เพราะนี่ก็อู้งานตลอดอยู่แล้ว ด้วยความที่ใจนึงก็กลัวๆ ก็เลยชวนเพื่อนลงบันได

ในระหว่างที่ลงบันได สมัยนั้นโนเกียยังฮิตเพื่อนผมมันก็ใส่หูฟังเดินนำลงมา ผมเองก็เดินตามหลังโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ทั้งอาคารมีแต่เสียงรองเท้าของพวกเรา เอี๊ยดๆ... เอี๊ยดๆ..

ในขณะที่เดินลงมานั้นตาผมเหลือบมองไปบนบันได้ที่อยู่ด้านบน ( เราจะเห็นว่ามีใครกำลังขึ้นลงได้) ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินตามลงมา ผมใจนี่หวั่นๆละ รีบเดินลงอย่างรวดเร็ว

จนถึงชั้น 1 เพื่อนผู้ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรของผมเกิดปวดฉี่ พี่แกเล่นเดินดุ่มๆเข้าห้องน้ำอาจารย์ซึ้งอยู่ทางขวาของบันได ผมรู้อย่างนั้น ผมเดินออกไปทางซ้ายทันที ไปยืนรอเพื่อนตรงโถงของอาคาร เพราะด้วยความที่ตอนนี้กลัวบันไดและลิฟท์มาก

ขณะที่ยืนรออยู่นั้น ผู้หญิงคนนั้นกระโดดลงมาจากขั้นบันได เหมือนเด็กที่กระโดดบันได้เล่น เธอลงมายืนอยู่ตรงหน้าลิฟท์แล้วหันหน้ามาทางผม แต่ในอาคารตอนนั้นมืดมาก ผมมองไม่เห็นหน้าของเธอ สักพักเธอเดินไปนั่นยองๆตรงบันไดขั้นที่ 1 แล้วนั่งกอดเข่า.......โยกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น ผมจำวันนั้นได้กีคำที่ว่า เจอผีแล้วขาแข็ง ก้าวไม่ออกบวกกับบรรยากาศเดือนสิงหาคมที่ตอนเย็นฝนตก มีลมอ่อนๆ ผมยืนอยู่อย่างนั้น มองเธอคนนั้น สักพักเพื่อนเดินออกมา เดินๆมาหาผมตรงที่ที่ผมรอ ผู้หญิงคนนั้นก็มองตาม ผมไม่ได้พูดอะไรแต่มือสั่นสัสๆ สั่นมากๆ จึงเดินพร้อมเพื่อนออกจากอาคารไป สักพักผมได้ยินเสียงบางอย่าง คือเสียงเหียญ.... เหรียญสิบในกระเป๋ากางเกงผมมันตกออกมา แล้วมันไหลเข้าไปในอาคารประมาณ 3 ก้าว ผมคิดในใจ ไอ้สัสเหมือนในหนัง ยิ้มๆ กูรู้เลยถ้าเดินไปเอาเหรียญเงยหน้ามากูเจอผีแน่นอน แต่วินาทีนั้นไม่สน...สน... ใดๆ เดินถอยหลังกลับไปเอาแล้วคิดว่าจะหันควับออกมาเลย

พอก้มลงเก็บเงินได้แปปเดียว ตาผมมันอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆตัวเพราะมันล่กมากๆตอนนั้น หวาดระแวงไปหมด จึกมองไปรอบๆตัวในโถงอาคาร ................ ไม่เจออะไร ............. โอเคโล่งแล้วเนอะ จังหวะที่กำลังจะหันกลับ................................................................................          

ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ แล้วมันก้องในตัวอาคารเบาๆ พร้อมกับเสียงวิ่ง ผมจึงมองหาที่มาของเสียง(เรื่องมันเกิดเร็วมาก)  สิ่งที่เห็นคือผมมองไปที่ชั้น 5 ตรงหน้าเลย ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นวิ่งรอบทั้งชั้นเลยพร้อมกับหัวเราะดังๆ วิ่งไปวิ่งมาเหมือนคนบ้า ไม่ใช่แค่นั้น บนผนังของแต่ละห้องจะมีช่องเหล็กดัดที่อยู่เหนือประตูแทบจะทุกห้อง ผมเห็นเธอปีนช่องนั้นเข้าไป แล้วโผล่ออกมาวิ่งใหม่ อยู่อย่างนี้ประมาณ 10 กว่าวินาที แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้ยตอนนั้นผมรู้วึกถึงความนานที่เป็นนาทีๆเลย ใจสั่นไปหมด จึงเดินออกมากับเพื่อน ... เพื่อนถาม ไรวะ... ผมตอบไปสั้นๆว่า ใครไม่รู้....

หลังจากนั้นผมไม่เคยอยู่ที่อาคารนั้นจนถึงเย็นอีกเลย จนตอนนี้ผ่านมานานแล้ว เรื่องราวยังอยู่ในความทรงจำบ้างลางๆ แต่ผมยังจำวินาทีที่เห็นเธอนั่งยองๆและกอดเข่าโยกตัวไปมาได้ดี และสิ่งหนึ่งที่ลืมเล่าไปเลยว่า ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าเธอชัด แต่ผมจำได้ดีเหลือเกินว่า เธอนั้น "ไม่มีปาก กับนิ้วเท้า".....
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่