ตอนที่ 18 : On the way to ม่อนแจ่ม 1
ปลายปี .... วุ่นวายถวายชีวิตมาก เกดแก้วนี่แทบอยากจะทึ้งหัวตัวเอง
" ช่วยไม่ได้จะลาปลายปีก็ต้องเคลียร์งานเซ่ "
พี่มินต์นี่แก้วเอง นี่แก้วไง ทำไมน้ำเสียงเหมือนสะใจยังไงพิกลคะ
อีกสามวันจะขึ้นม่อนแจ่ม งานยังกองอีกพะเนินเทินทึกโอทีกระหน่ำล่ะค่ะ จริง ๆ ตั้งแต่ตั้งใจแน่ ๆ ว่าจะขึ้นม่อนแจ่มก็ทำโอเกือบทุกวันละนะ หลายครั้งกลับตีสองมั่งตีสามมั่งโต้รุ่งก็มี แต่บางทีก็ไม่ไหวต้องพักบ้าง หากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นมาก็พารันทดจิตอีกรอบ วันนี้อย่างต่ำก็สี่ทุ่มละวะ
ครืดครืด เสียงมางี้ รู้เลย ... หกโมงเย็นแล้วแน่นอน
หญิงสาวมองหน้าจอแล้วสไลด์โดยอัตโนมัติ
" ว่า "
เดี๋ยวนี้รับสายกันแบบนี้ล่ะ ไม่ต้องมากความ
" ยังทำงานอยู่รึเปล่า "
" เยสสึ "
เคลียร์งานอยู่สิคะพ่อคุณ
แต่วันนี้มาแปลกแฮะปกติไม่เห็นเคยถาม
" แล้วจะเลิกงานกี่โมงครับ คุณผู้หญิง "
นี่ก็แปลกอีกถามทำไม
" แปลกใจละสิ ไม่มีอะไร ผมเป็นห่วง ทำงานดึก ๆ หลายอาทิตย์แล้วนี่ "
" สรุปเลิกงานกี่โมงครับวันนี้ "
เออ สงสัยจะโทรมาคุยด้วยแหง
" วันนี้ก็คงซักสี่ทุ่มมั้งคิดว่านะ "
เกดแก้วคาดคะเน
" เมื่อวานตีสาม วันนี้สี่ทุ่ม จะดีเหรอคุณแก้ว "
" เป็นไมเกรนไม่ใช่เหรอ "
เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงขมวดคิ้วอยู่แน่นอน ผู้ชายบ้านนี้นี่คล้าย ๆ กันเลยนะ พี่อุ่นของเจ้าก้องก็แนวนี้
ถ้าเป็นแต่ก่อนคงได้โต้วาที แต่หลัง ๆ มานี้แยกออกแล้วอันไหนห่วงจริงอันไหนจิกแซว
อย่างเสียงโทนนี้ล่ะเป็นห่วง
" เราเคลียร์งานเดี๋ยวจะไม่ทันไง อีกสามวันลาหยุดแล้วด้วย "
" วันนี้สองทุ่มก็ได้อ่ะ "
แต่พรุ่งนี้ก็คงต้องดึกเหมือนเดิม ... ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
" ดีมาก แล้วสองทุ่มโทรไปใหม่นะ "
ปกติถ้าโทรมาเจอตอนทำงานทางนี้ก็ไม่กวนอยู่แล้วเป็นนิสัย แล้วจะกลับมาคุยใหม่วันรุ่งขึ้น แต่ถ้าบอกว่าจะโทรกลับมาเลย ... ก็คงมีอะไรละมั้ง แต่อาจจะไม่ด่วน เพราะรอได้นี่นา เกดแก้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออย่างสดชื่นขึ้นนิดหน่อย
เงยหน้ามาอีกทีด้วยความเมื่อยล้า .... ในความทุ่มสี่สิบห้านั้น ไม่ไหวจริง ๆ ด้วย เมื่อคืนดึกวันนี้ก็ค่ำ ... สวัสดีไมเกรน เธอตามกลับมาหาฉันอีกแล้ว กลับบ้านดีกว่า แต่ .... คงต้องทิ้งรถไว้นี่ ขับรถตอนเป็นไมเกรนเป็นไปได้ว่าอาจโกอินเตอร์ก่อนวัยอันควร โชคดีที่สำนักงานของเธอมีที่จอดรถให้กับลอเยอร์โดยเฉพาะอยู่แล้ว บางครั้งก็ต้องจอดค้างคืนกันเวลางานเร่ง เธอยังจำได้เมื่อเข้ามาทำงานใหม่ ๆ พี่ขิงสิงที่สำนักงานเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อปิดดีลบริษัทยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง ถึงขนาดท่านเจ้าสัวเจ้าของกิจการให้เลขาหิ้วไก่ดำมาฝากวันละตัวทีเดียว
เกดแก้วลงลิฟท์ไป อาคารพาณิชย์ที่ตั้งของสำนักงานยังสว่างไสว คนยังพลุกพล่านหนาตาอยู่ ... ณ บัดนาวใคร ๆ ก็ทำโอทีสินะ ใกล้ปิดปีใหม่ก็งี้ ต้องกระทืบคันเร่งเคลียร์ให้งานให้เสร็จ แต่ก่อนอื่นต้องไปบอกพี่ยามก่อนว่าวันนี้ขอจอดค้างคืนนะจ๊ะ ไม่ได้ตายคาที่อยู่ในสนง.แต่อย่างใด
เอ๊ะ .... สายตาของเกดแก้วพลันไปหยุดอยู่ที่ร่างสูง ๆ ที่กำลังเล่นมือถือไป คุยกับพี่ยามไปอย่างออกรสออกชาติ
คนที่ควรจะอยู่เชียงใหม่ไหงมาอยู่กทม.ละนั่น
ในขณะที่เกดแก้วกำลังหยุดยืนมองอย่างแปลกใจ ใครคนนั้นก็หันมาแล้วส่งยิ้มสว่างไสวให้
รู้สึกดี ... จริง ๆ นะ หญิงสาวยอมรับ
" สองทุ่มเป๊ะ รักษาคำพูดดีมาก "
ชายหนุ่มชม
" แล้วนี่งงหรืออะไรครับ เดินผ่านรถตัวเองมาเฉย "
ทำเอาเกดแก้วรู้สึกอยากจะอ้อนขึ้นมาทันที อร๊ายยยยย รู้สึกติงต๊องยังไงพิกล แต่ก็อยากทำง่ะ
" เราปวดหัว "
" เลยจะมาบอกพี่ยามว่าเดี๋ยวจะกลับแท็กซี่ทิ้งรถไว้นี่ "
มืออุ่น ๆ แนบลงมาที่หน้าผากทันทีทันควัน
" ตัวไม่ร้อน ... ไมเกรนอีกสิ "
" บอกแล้วว่าพักผ่อนเยอะ ๆ หน่อย "
คนพูดแบมือ
" ปวดหัวก็ไม่ต้องขับ "
" เอ้าเร็วสิ กุญแจรถไง "
เอ้า จะทำไร
" เฮ่ย จะขับไปไหน พักไหนเนี่ยวันนี้ "
เกดแก้วถาม
" อยู่โรงแรมแถว ๆ ที่ทำงานนี่แหละ "
" ช่วงนี้เทียวขึ้นเทียวลงอย่างบ่อย "
" ว่าจะซื้อบ้านอยู่แถวนี้ซักหลังแล้ว "
" อาจจะย้ายมาอยู่สำนักงานใหญ่ "
คนพูดทำท่ามีเลศนัยจนคนฟังรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาบอกไม่ถูก
คนพูดแบมือขอกุญแจอยู่นั่นแหละ
" เอามาสิจะพาไปส่งบ้าน "
หือออออ ? หื้อออออออออ
ขอเข้าบ้านเค้าแบบนี้ก็ได้เหรอ
" ทำไมละ ก็บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่าจะเข้าตามตรอกออกตามประตู "
" ก็นี่ไง ... จะไปบอกคุณพ่อคุณแม่คุณว่าจะพาลูกสาวเขาขึ้นดอย ไม่ดีหรือไง "
กวินท์ขยิบตา ... ผมสุภาพบุรุษพอน่า
" คุณกวินท์ !!! "
" เรียกผมอาร์ทนะ ผมก็จะเรียกคุณว่าแก้วเหมือนกัน "
คนพูดทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
" เอ้า ยืนไรอยู่เดี๋ยวยุงก็หามหรอกแก้ว "
เจ้าตัวเดินนำไปที่รถแล้วกวักมือเรียกหยอย ๆ
อีตาคนนี้นี่มัน ...
" เออ ไปเถอะ ม่อนแจ่มก็สวยดี แม่เคยไปตอนสาว ๆ ญาติโกโหตุสายเรานี่ปีใหม่เขาก็ไปเค้าดาวน์เมืองนอกกัน "
" ชั้นก็ขี้เกียจ "
" แต่หลังปีใหม่เขารวมญาติกัน ตอนนั้นต้องอยู่นะก้อง "
คุณกิ่งกานต์ว่า ปีใหม่เป็นช่วงเวลาอันสมควรแก่การพักผ่อน ครอบครัวอื่น ๆ ที่ได้ข่าวก็โน่น โตเกียว ปารีส ฯลฯ ไม่รู้จะแย่งที่กินที่เที่ยวกับชาวบ้านชาวช่องช่วงเทศกาลทำไม อยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า เธอไม่อินังขังขอบกับแนวคิดที่ว่าปีใหม่ต้องอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอะไรนัก เพราะเข้าใจชีวิตคนทำงานและช่องว่างระหว่างวัย
เธอเองก็จับเรื่องโรงงานก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ยังสาว ๆ กว่าจะมีลูกชายกับเขาซักคนก็ถือว่าอายุมากเอาการอยู่ งานกำลังหนักหนามาก ไม่มีเวลาจะวิ่งไล่ตามเด็กเล็ก ๆ อีกต่อไป เธอและคุณอลงกรณ์จึงทอดธุระหลายประการให้กับลูกสาวคนโตที่เป็นแม่ศรีเรือนอยู่ในโอวาท ซึ่งเธอก็พอใจอย่างที่สุดที่ยัยกุลมันปั้นเจ้าก้องมาได้ขนาดนี้
จะว่าไปหากจะเทียบว่าใครเป็นแม่ ... ดีไม่ดีกุลมันเป็นแม่เจ้าก้องมากกว่าเราเสียอีก ... กุลจะมาห่างไปหน่อยก็ช่วงที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วนั่นแหละ เธอจึงกลับเข้ามาดูเจ้าก้องบ้าง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมายนัก เขาก็ไปได้ดีของเขาอยู่แล้ว แถมยังมีแม่แก้วเป็นไม้สองคอยช่วยเหลืออยู่เงียบ ๆ ข้อนี้นับว่าเป็นความโชคดีของเธอด้วย ที่ลูกกับเธอไม่มีปัญหาขาดความอบอุ่น กุลคอยบอกก้องให้เข้าใจอยู่เสมอ และ มันก็ไม่เหงามากนักเพราะยัยแก้วก็พาซนได้ตลอด เธอเองก็พยายามเอาใจใส่ตามสมควร ไม่ได้ทดแทนความรักด้วยสิ่งของ สอบถามการเรียน การใช้ชีวิต เพื่อนฝูง เสมอ ๆ ไม่ให้รู้สึกว่าห่างเหินเกินไป
" ขอบคุณครับคุณแม่ "
" ก้องมีอีกเรื่องจะเรียนให้คุณแม่ทราบด้วย "
ผู้เป็นแม่เลิกคิ้ว
" อ้าว คุณ "
คุณอลงกรณ์ที่เพิ่งกลับจากงานข้างนอกทักทาย
" แม่ลูกคุยอะไรกัน "
" เจ้าก้องมาขออนุญาตไปม่อนแจ่มค่ะ "
" ปีใหม่นี้นะหรือ "
ผู้เป็นพ่อถาม
" ครับ "
" เออ ก็ไปสิ ทำงานงก ๆ ไม่เห็นได้พัก วันก่อนก็เห็นว่าไม่สบาย "
" เมื่อกี๊ก้องจะบอกอะไรแม่นะ "
คุณกิ่งกานต์กลับมาเรื่องเดิม
" ก้องจะเรียนคุณแม่ว่า ... ก้องได้ทุนไปเรียนต่อเยอรมันครับ ทุนได้เปล่าด้วย "
" มันเร็วมากเลย ก้องเลยไม่ได้เรียนคุณพ่อคุณแม่ก่อนว่าก้องสมัคร "
แม้จะงง ๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ ทั้งสองคนก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เข้าใจได้อยู่ เดือนนี้ทั้งเดือนแทบจะไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกงานเป็นประจำ กลางวันก็วุ่นที่โรงงาน กลางคืนก็รับรองลูกค้าบ้าง งานภาษีสังคมทั้งหลายบ้าง แถมลูก .. ลูกชายก็โตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้
คุณอลงกรณ์นี้ยิ้มหน้าบาน
" พ่อกับแม่ดีใจด้วยนะลูก "
" แล้วเราจะไปยังไงเมื่อไหร่ "
" กว่าจะไปก็อีกนานละครับ ประมาณพฤษภาหน้า "
ตอนแรกอาจารย์บอกว่าจะส่งชื่อหลังปีใหม่ หากระยะเวลาที่ทางฝ่ายเยอรมันบอกให้ร่นเข้ามาเลยประกาศปิดรับสมัครหลังวันที่คุยกับอาจารย์ไม่เท่าไหร่ และเมื่อเขายืนยันว่าจะไปก็เลยส่งชื่อไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นทุนปิดเฉพาะทางของมหาวิทยาลัยด้วย บวกกับโปรไฟล์เขาที่ดีงามอยู่ เมื่อเรียกสัมภาษณ์ไปเมื่อสองสามวันก่อน ผลทุนเลยออกมาเมื่อเย็นนี้นี่เอง อาจารย์ภาคดีใจเหมือนได้ทุนเสียเองแบบนั้น
" ไปกี่ปีไหนเล่าให้พ่อฟังซิ "
" สามปีครับ เรียนสองปี ฝึกงานหนึ่งปี "
" แล้วได้ป.เอกไหม "
คนเป็นพ่อซักด้วยความสนใจ
" ยังครับแต่ถ้าผมทำวิจัยเพิ่มก็ได้ Ph.D นะครับ "
" โอ๊ย ถ้างั้นอยู่ไปเลยลูก ทำไปเลย เอาให้ถึงเอกแล้วค่อยกลับก็ได้ "
ตัวคนได้ทุนอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นความกระตือรือร้นแบบนั้น
ส่วนคนเป็นแม่ถึงจะเคยตั้งแง่อย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าลูกชายได้ทุนก็อดไม่ได้ที่จะชื่นใจ
" คุณ ... มันง่ายขนาดนั้นที่ไหน "
จากที่ตะขิดตะขวงใจบ้าง คุณกิ่งกานต์กลับลำ 360 องศา
" แต่ถ้าเรียนได้ก็เอาเลยลูก เงินทองเท่าไหร่ แม่กับพ่อเต็มที่ เราไม่ลำบากอยู่แล้ว "
เสียงหัวเราะสดชื่นที่ดังจากโถงกลางทำให้เกดแก้วคลายกังวลไปได้หน่อย พาผู้ชายมาถึงบ้านตอนสามทุ่มมันก๋ากั่นไปรึเปล่า แต่เอาเหอะ ... เธอสามสิบกว่าแล้วนี่ ทำแบบนี้เข้าตามตรอกออกตามประตูไงอย่างที่ตาอาร์ทนางว่า
เกดแก้วอัดลมหายใจเข้าปอด ก่อนหันไปหาคนข้างตัวเรียกความมั่นใจ
สบาย ๆ น่า เกดแก้ว ชิล ๆ เอาล่ะ
หญิงสาวก้าวขาเข้าไปในห้องโถง
" สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ "
" อ้าว ก้องอยู่ด้วยเหรอ "
คุณกิ่งกานต์และคุณอลงกรณ์พร้อมทั้งก้องภพหันมาทางต้นเสียง เพื่อที่จะเห็นว่าข้างกายลูกสาวและพี่สาวคนรองมีคนแปลกหน้ายืนอยู่ ... จับมือเกดแก้วอยู่อีกต่างหาก
" ใคร !!!! "
ทุกสายตาไถ่ถามมาแบบนั้นจนหญิงสาวรู้สึกว่าลิ้นปากทำงานไม่เร็วเหมือนเคย
" สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ สวัสดีน้องก้องด้วยครับผม "
" ผมชื่อกวินท์ครับ "
" ผมเจอคุณแก้วตอนที่คุณแก้วไปทำงานที่เชียงใหม่ "
" ตอนนี้ผมจีบคุณแก้วอยู่ครับ "
ห่านนนนนจิก ผีสางเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา การแนะนำตัวครั้งแรกมันคืออย่างงี้เหรอ แบบนี้ก็ได้เหรอออออออออออออออ
To be continued
ตอนก่อน ๆ อยู่ตรงนี้ :
https://pantip.com/topic/35946525
ตอนแรกกะจบให้พร้อม ดันจบไม่พร้อมเสียแล้ว แต่อีกไม่นาน เราพาท่านไปเกือบถึงปลายทางแล้วฮ่ะ
ใครที่สงสัยว่ามันคืออะไร มันคือ Fanfic นะจ๊ะ นะจ๊ะ (คุณพลอยใจดีมากให้แต่งแฟนฟิคได้)
SOTUS the series (กึ่งแต่งเรื่อง) : มินิซีรีส์ ..... There is no love like the first. (ต่อ)
ปลายปี .... วุ่นวายถวายชีวิตมาก เกดแก้วนี่แทบอยากจะทึ้งหัวตัวเอง
" ช่วยไม่ได้จะลาปลายปีก็ต้องเคลียร์งานเซ่ "
พี่มินต์นี่แก้วเอง นี่แก้วไง ทำไมน้ำเสียงเหมือนสะใจยังไงพิกลคะ
อีกสามวันจะขึ้นม่อนแจ่ม งานยังกองอีกพะเนินเทินทึกโอทีกระหน่ำล่ะค่ะ จริง ๆ ตั้งแต่ตั้งใจแน่ ๆ ว่าจะขึ้นม่อนแจ่มก็ทำโอเกือบทุกวันละนะ หลายครั้งกลับตีสองมั่งตีสามมั่งโต้รุ่งก็มี แต่บางทีก็ไม่ไหวต้องพักบ้าง หากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นมาก็พารันทดจิตอีกรอบ วันนี้อย่างต่ำก็สี่ทุ่มละวะ
ครืดครืด เสียงมางี้ รู้เลย ... หกโมงเย็นแล้วแน่นอน
หญิงสาวมองหน้าจอแล้วสไลด์โดยอัตโนมัติ
" ว่า "
เดี๋ยวนี้รับสายกันแบบนี้ล่ะ ไม่ต้องมากความ
" ยังทำงานอยู่รึเปล่า "
" เยสสึ "
เคลียร์งานอยู่สิคะพ่อคุณ
แต่วันนี้มาแปลกแฮะปกติไม่เห็นเคยถาม
" แล้วจะเลิกงานกี่โมงครับ คุณผู้หญิง "
นี่ก็แปลกอีกถามทำไม
" แปลกใจละสิ ไม่มีอะไร ผมเป็นห่วง ทำงานดึก ๆ หลายอาทิตย์แล้วนี่ "
" สรุปเลิกงานกี่โมงครับวันนี้ "
เออ สงสัยจะโทรมาคุยด้วยแหง
" วันนี้ก็คงซักสี่ทุ่มมั้งคิดว่านะ "
เกดแก้วคาดคะเน
" เมื่อวานตีสาม วันนี้สี่ทุ่ม จะดีเหรอคุณแก้ว "
" เป็นไมเกรนไม่ใช่เหรอ "
เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงขมวดคิ้วอยู่แน่นอน ผู้ชายบ้านนี้นี่คล้าย ๆ กันเลยนะ พี่อุ่นของเจ้าก้องก็แนวนี้
ถ้าเป็นแต่ก่อนคงได้โต้วาที แต่หลัง ๆ มานี้แยกออกแล้วอันไหนห่วงจริงอันไหนจิกแซว
อย่างเสียงโทนนี้ล่ะเป็นห่วง
" เราเคลียร์งานเดี๋ยวจะไม่ทันไง อีกสามวันลาหยุดแล้วด้วย "
" วันนี้สองทุ่มก็ได้อ่ะ "
แต่พรุ่งนี้ก็คงต้องดึกเหมือนเดิม ... ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
" ดีมาก แล้วสองทุ่มโทรไปใหม่นะ "
ปกติถ้าโทรมาเจอตอนทำงานทางนี้ก็ไม่กวนอยู่แล้วเป็นนิสัย แล้วจะกลับมาคุยใหม่วันรุ่งขึ้น แต่ถ้าบอกว่าจะโทรกลับมาเลย ... ก็คงมีอะไรละมั้ง แต่อาจจะไม่ด่วน เพราะรอได้นี่นา เกดแก้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออย่างสดชื่นขึ้นนิดหน่อย
เงยหน้ามาอีกทีด้วยความเมื่อยล้า .... ในความทุ่มสี่สิบห้านั้น ไม่ไหวจริง ๆ ด้วย เมื่อคืนดึกวันนี้ก็ค่ำ ... สวัสดีไมเกรน เธอตามกลับมาหาฉันอีกแล้ว กลับบ้านดีกว่า แต่ .... คงต้องทิ้งรถไว้นี่ ขับรถตอนเป็นไมเกรนเป็นไปได้ว่าอาจโกอินเตอร์ก่อนวัยอันควร โชคดีที่สำนักงานของเธอมีที่จอดรถให้กับลอเยอร์โดยเฉพาะอยู่แล้ว บางครั้งก็ต้องจอดค้างคืนกันเวลางานเร่ง เธอยังจำได้เมื่อเข้ามาทำงานใหม่ ๆ พี่ขิงสิงที่สำนักงานเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อปิดดีลบริษัทยักษ์ใหญ่รายหนึ่ง ถึงขนาดท่านเจ้าสัวเจ้าของกิจการให้เลขาหิ้วไก่ดำมาฝากวันละตัวทีเดียว
เกดแก้วลงลิฟท์ไป อาคารพาณิชย์ที่ตั้งของสำนักงานยังสว่างไสว คนยังพลุกพล่านหนาตาอยู่ ... ณ บัดนาวใคร ๆ ก็ทำโอทีสินะ ใกล้ปิดปีใหม่ก็งี้ ต้องกระทืบคันเร่งเคลียร์ให้งานให้เสร็จ แต่ก่อนอื่นต้องไปบอกพี่ยามก่อนว่าวันนี้ขอจอดค้างคืนนะจ๊ะ ไม่ได้ตายคาที่อยู่ในสนง.แต่อย่างใด
เอ๊ะ .... สายตาของเกดแก้วพลันไปหยุดอยู่ที่ร่างสูง ๆ ที่กำลังเล่นมือถือไป คุยกับพี่ยามไปอย่างออกรสออกชาติ
คนที่ควรจะอยู่เชียงใหม่ไหงมาอยู่กทม.ละนั่น
ในขณะที่เกดแก้วกำลังหยุดยืนมองอย่างแปลกใจ ใครคนนั้นก็หันมาแล้วส่งยิ้มสว่างไสวให้
รู้สึกดี ... จริง ๆ นะ หญิงสาวยอมรับ
" สองทุ่มเป๊ะ รักษาคำพูดดีมาก "
ชายหนุ่มชม
" แล้วนี่งงหรืออะไรครับ เดินผ่านรถตัวเองมาเฉย "
ทำเอาเกดแก้วรู้สึกอยากจะอ้อนขึ้นมาทันที อร๊ายยยยย รู้สึกติงต๊องยังไงพิกล แต่ก็อยากทำง่ะ
" เราปวดหัว "
" เลยจะมาบอกพี่ยามว่าเดี๋ยวจะกลับแท็กซี่ทิ้งรถไว้นี่ "
มืออุ่น ๆ แนบลงมาที่หน้าผากทันทีทันควัน
" ตัวไม่ร้อน ... ไมเกรนอีกสิ "
" บอกแล้วว่าพักผ่อนเยอะ ๆ หน่อย "
คนพูดแบมือ
" ปวดหัวก็ไม่ต้องขับ "
" เอ้าเร็วสิ กุญแจรถไง "
เอ้า จะทำไร
" เฮ่ย จะขับไปไหน พักไหนเนี่ยวันนี้ "
เกดแก้วถาม
" อยู่โรงแรมแถว ๆ ที่ทำงานนี่แหละ "
" ช่วงนี้เทียวขึ้นเทียวลงอย่างบ่อย "
" ว่าจะซื้อบ้านอยู่แถวนี้ซักหลังแล้ว "
" อาจจะย้ายมาอยู่สำนักงานใหญ่ "
คนพูดทำท่ามีเลศนัยจนคนฟังรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาบอกไม่ถูก
คนพูดแบมือขอกุญแจอยู่นั่นแหละ
" เอามาสิจะพาไปส่งบ้าน "
หือออออ ? หื้อออออออออ
ขอเข้าบ้านเค้าแบบนี้ก็ได้เหรอ
" ทำไมละ ก็บอกแล้วตั้งแต่ต้นว่าจะเข้าตามตรอกออกตามประตู "
" ก็นี่ไง ... จะไปบอกคุณพ่อคุณแม่คุณว่าจะพาลูกสาวเขาขึ้นดอย ไม่ดีหรือไง "
กวินท์ขยิบตา ... ผมสุภาพบุรุษพอน่า
" คุณกวินท์ !!! "
" เรียกผมอาร์ทนะ ผมก็จะเรียกคุณว่าแก้วเหมือนกัน "
คนพูดทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
" เอ้า ยืนไรอยู่เดี๋ยวยุงก็หามหรอกแก้ว "
เจ้าตัวเดินนำไปที่รถแล้วกวักมือเรียกหยอย ๆ
อีตาคนนี้นี่มัน ...
" เออ ไปเถอะ ม่อนแจ่มก็สวยดี แม่เคยไปตอนสาว ๆ ญาติโกโหตุสายเรานี่ปีใหม่เขาก็ไปเค้าดาวน์เมืองนอกกัน "
" ชั้นก็ขี้เกียจ "
" แต่หลังปีใหม่เขารวมญาติกัน ตอนนั้นต้องอยู่นะก้อง "
คุณกิ่งกานต์ว่า ปีใหม่เป็นช่วงเวลาอันสมควรแก่การพักผ่อน ครอบครัวอื่น ๆ ที่ได้ข่าวก็โน่น โตเกียว ปารีส ฯลฯ ไม่รู้จะแย่งที่กินที่เที่ยวกับชาวบ้านชาวช่องช่วงเทศกาลทำไม อยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า เธอไม่อินังขังขอบกับแนวคิดที่ว่าปีใหม่ต้องอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวอะไรนัก เพราะเข้าใจชีวิตคนทำงานและช่องว่างระหว่างวัย
เธอเองก็จับเรื่องโรงงานก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ยังสาว ๆ กว่าจะมีลูกชายกับเขาซักคนก็ถือว่าอายุมากเอาการอยู่ งานกำลังหนักหนามาก ไม่มีเวลาจะวิ่งไล่ตามเด็กเล็ก ๆ อีกต่อไป เธอและคุณอลงกรณ์จึงทอดธุระหลายประการให้กับลูกสาวคนโตที่เป็นแม่ศรีเรือนอยู่ในโอวาท ซึ่งเธอก็พอใจอย่างที่สุดที่ยัยกุลมันปั้นเจ้าก้องมาได้ขนาดนี้
จะว่าไปหากจะเทียบว่าใครเป็นแม่ ... ดีไม่ดีกุลมันเป็นแม่เจ้าก้องมากกว่าเราเสียอีก ... กุลจะมาห่างไปหน่อยก็ช่วงที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วนั่นแหละ เธอจึงกลับเข้ามาดูเจ้าก้องบ้าง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมายนัก เขาก็ไปได้ดีของเขาอยู่แล้ว แถมยังมีแม่แก้วเป็นไม้สองคอยช่วยเหลืออยู่เงียบ ๆ ข้อนี้นับว่าเป็นความโชคดีของเธอด้วย ที่ลูกกับเธอไม่มีปัญหาขาดความอบอุ่น กุลคอยบอกก้องให้เข้าใจอยู่เสมอ และ มันก็ไม่เหงามากนักเพราะยัยแก้วก็พาซนได้ตลอด เธอเองก็พยายามเอาใจใส่ตามสมควร ไม่ได้ทดแทนความรักด้วยสิ่งของ สอบถามการเรียน การใช้ชีวิต เพื่อนฝูง เสมอ ๆ ไม่ให้รู้สึกว่าห่างเหินเกินไป
" ขอบคุณครับคุณแม่ "
" ก้องมีอีกเรื่องจะเรียนให้คุณแม่ทราบด้วย "
ผู้เป็นแม่เลิกคิ้ว
" อ้าว คุณ "
คุณอลงกรณ์ที่เพิ่งกลับจากงานข้างนอกทักทาย
" แม่ลูกคุยอะไรกัน "
" เจ้าก้องมาขออนุญาตไปม่อนแจ่มค่ะ "
" ปีใหม่นี้นะหรือ "
ผู้เป็นพ่อถาม
" ครับ "
" เออ ก็ไปสิ ทำงานงก ๆ ไม่เห็นได้พัก วันก่อนก็เห็นว่าไม่สบาย "
" เมื่อกี๊ก้องจะบอกอะไรแม่นะ "
คุณกิ่งกานต์กลับมาเรื่องเดิม
" ก้องจะเรียนคุณแม่ว่า ... ก้องได้ทุนไปเรียนต่อเยอรมันครับ ทุนได้เปล่าด้วย "
" มันเร็วมากเลย ก้องเลยไม่ได้เรียนคุณพ่อคุณแม่ก่อนว่าก้องสมัคร "
แม้จะงง ๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ ทั้งสองคนก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เข้าใจได้อยู่ เดือนนี้ทั้งเดือนแทบจะไม่ได้อยู่ติดบ้าน ออกงานเป็นประจำ กลางวันก็วุ่นที่โรงงาน กลางคืนก็รับรองลูกค้าบ้าง งานภาษีสังคมทั้งหลายบ้าง แถมลูก .. ลูกชายก็โตแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้
คุณอลงกรณ์นี้ยิ้มหน้าบาน
" พ่อกับแม่ดีใจด้วยนะลูก "
" แล้วเราจะไปยังไงเมื่อไหร่ "
" กว่าจะไปก็อีกนานละครับ ประมาณพฤษภาหน้า "
ตอนแรกอาจารย์บอกว่าจะส่งชื่อหลังปีใหม่ หากระยะเวลาที่ทางฝ่ายเยอรมันบอกให้ร่นเข้ามาเลยประกาศปิดรับสมัครหลังวันที่คุยกับอาจารย์ไม่เท่าไหร่ และเมื่อเขายืนยันว่าจะไปก็เลยส่งชื่อไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นทุนปิดเฉพาะทางของมหาวิทยาลัยด้วย บวกกับโปรไฟล์เขาที่ดีงามอยู่ เมื่อเรียกสัมภาษณ์ไปเมื่อสองสามวันก่อน ผลทุนเลยออกมาเมื่อเย็นนี้นี่เอง อาจารย์ภาคดีใจเหมือนได้ทุนเสียเองแบบนั้น
" ไปกี่ปีไหนเล่าให้พ่อฟังซิ "
" สามปีครับ เรียนสองปี ฝึกงานหนึ่งปี "
" แล้วได้ป.เอกไหม "
คนเป็นพ่อซักด้วยความสนใจ
" ยังครับแต่ถ้าผมทำวิจัยเพิ่มก็ได้ Ph.D นะครับ "
" โอ๊ย ถ้างั้นอยู่ไปเลยลูก ทำไปเลย เอาให้ถึงเอกแล้วค่อยกลับก็ได้ "
ตัวคนได้ทุนอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นความกระตือรือร้นแบบนั้น
ส่วนคนเป็นแม่ถึงจะเคยตั้งแง่อย่างนั้นอย่างนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าลูกชายได้ทุนก็อดไม่ได้ที่จะชื่นใจ
" คุณ ... มันง่ายขนาดนั้นที่ไหน "
จากที่ตะขิดตะขวงใจบ้าง คุณกิ่งกานต์กลับลำ 360 องศา
" แต่ถ้าเรียนได้ก็เอาเลยลูก เงินทองเท่าไหร่ แม่กับพ่อเต็มที่ เราไม่ลำบากอยู่แล้ว "
เสียงหัวเราะสดชื่นที่ดังจากโถงกลางทำให้เกดแก้วคลายกังวลไปได้หน่อย พาผู้ชายมาถึงบ้านตอนสามทุ่มมันก๋ากั่นไปรึเปล่า แต่เอาเหอะ ... เธอสามสิบกว่าแล้วนี่ ทำแบบนี้เข้าตามตรอกออกตามประตูไงอย่างที่ตาอาร์ทนางว่า
เกดแก้วอัดลมหายใจเข้าปอด ก่อนหันไปหาคนข้างตัวเรียกความมั่นใจ
สบาย ๆ น่า เกดแก้ว ชิล ๆ เอาล่ะ
หญิงสาวก้าวขาเข้าไปในห้องโถง
" สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ "
" อ้าว ก้องอยู่ด้วยเหรอ "
คุณกิ่งกานต์และคุณอลงกรณ์พร้อมทั้งก้องภพหันมาทางต้นเสียง เพื่อที่จะเห็นว่าข้างกายลูกสาวและพี่สาวคนรองมีคนแปลกหน้ายืนอยู่ ... จับมือเกดแก้วอยู่อีกต่างหาก
" ใคร !!!! "
ทุกสายตาไถ่ถามมาแบบนั้นจนหญิงสาวรู้สึกว่าลิ้นปากทำงานไม่เร็วเหมือนเคย
" สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ สวัสดีน้องก้องด้วยครับผม "
" ผมชื่อกวินท์ครับ "
" ผมเจอคุณแก้วตอนที่คุณแก้วไปทำงานที่เชียงใหม่ "
" ตอนนี้ผมจีบคุณแก้วอยู่ครับ "
ห่านนนนนจิก ผีสางเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา การแนะนำตัวครั้งแรกมันคืออย่างงี้เหรอ แบบนี้ก็ได้เหรอออออออออออออออ
ตอนก่อน ๆ อยู่ตรงนี้ : https://pantip.com/topic/35946525
ตอนแรกกะจบให้พร้อม ดันจบไม่พร้อมเสียแล้ว แต่อีกไม่นาน เราพาท่านไปเกือบถึงปลายทางแล้วฮ่ะ
ใครที่สงสัยว่ามันคืออะไร มันคือ Fanfic นะจ๊ะ นะจ๊ะ (คุณพลอยใจดีมากให้แต่งแฟนฟิคได้)