มหาเศรษฐีวัย 30 แนะคนรุ่นใหม่ ควรเรียนต่อ แต่ไม่ใช่เพราะใบปริญญา


https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1202495

KEY POINTS

• ลูซี กัว มหาเศรษฐีที่ลาออกจากมหาวิทยาลัย แนะให้คนรุ่นใหม่เรียนต่ออย่างน้อย 1-2 ปี โดยมองว่าคุณค่าสำคัญอยู่ที่การสร้างเครือข่าย ไม่ใช่ใบปริญญา


• เธอมองว่ามหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในการพบปะผู้คนใหม่ๆ ที่ฉลาดและมีความสามารถ ซึ่งหาได้ยากในโลกการทำงาน


• เพื่อนร่วมชั้นที่เก่งกาจในมหาวิทยาลัย คือแหล่งทรัพยากรบุคคลที่ดีที่สุดสำหรับเป็นทีมงานในอนาคต และเป็นเครือข่ายที่มีคุณค่าไปตลอดชีวิต


จากเด็กสาวเชื้อสายจีนที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน สู่ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีมูลค่าพันล้าน แม้จะเรียนไม่จบ แต่ ลูซี กัว (Lucy Guo) มองว่าการศึกษาระดับอุดมศึกษายังมีค่ามหาศาล ไม่ใช่เพราะใบปริญญา แต่เพราะ “คน” ที่ได้รู้จัก และสามารถสร้างเครือข่ายทางสายอาชีพได้สุดปัง

ในวัยเพียง 30 ปี ลูซี กัว คือผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มสำหรับครีเอเตอร์ชื่อ Passes และอดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Scale AI กลายเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเองได้เร็วที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับของ Forbes ประจำเดือนมิถุนายน 2025 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1,250 ล้านดอลลาร์ หลัง Meta เข้าซื้อกิจการบริษัท Scale AI ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 29,000 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ กัว เคยเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิชาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon สหรัฐฯ แต่ตัดสินใจลาออกหลังเรียนได้ 2 ปี ทั้งที่เหลืออีกเพียง 8 วิชาก็จะจบ เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ชาวจีนของเธอตกใจไม่น้อย เธอเล่าว่า “พ่อแม่ย้ายจากจีนมาอเมริกาเพราะอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดีกว่า และเพราะการศึกษาให้ชีวิตพวกเขาทุกอย่างที่มี การที่ลูกจะเลิกเรียนตอนใกล้จะจบ มันเหมือนตบหน้าเขาเลย”

การตัดสินใจลาออกครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะเธอได้รับทุน Thiel Fellowship จากมหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) ซึ่งมอบเงิน 200,000 ดอลลาร์ให้คนรุ่นใหม่สร้างบริษัทนวัตกรรม

“ตอนนั้นพ่อแม่มองว่าฉันไม่รักเขา แต่จริงๆ มันคือการเดิมพันกับตัวเอง ฉันเลือกเส้นทางที่คิดว่าจะพาไปสู่อนาคตที่ดีกว่า” กัว เล่าย้อนเรื่องราวในอดีต

• เรียนสักปี-สองปี ก็คุ้มแล้ว” มหาวิทยาลัยคือแหล่งสร้างเครือข่ายคนเก่ง

แม้เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ลาออกจากการเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน แต่ กัว ยังยืนยันว่า การเรียนมหาวิทยาลัยมีคุณค่ามากในด้านหนึ่ง เธอบอกว่า “ฉันแนะนำให้เรียนอย่างน้อย 1-2 ปี เพราะคุณจะได้เจอเพื่อนดีที่สุดในชีวิต และคนที่ฉลาดที่สุดหลายคนก็อยู่ที่นั่น ทุกคนไปเรียนมหาวิทยาลัยเพราะอยากรู้จักผู้คนใหม่ๆ ทั้งนั้น”

เธอมองว่ามหาวิทยาลัยคือพื้นที่หายากที่รวมคนหัวไวและอยากสร้างสัมพันธ์ใหม่ไว้ในที่เดียว

“พอไปทำงานที่บริษัท ไม่ใช่ทุกคนจะอยากมีเพื่อนใหม่ แต่ในมหาวิทยาลัย ทุกคนเปิดใจอยากรู้จักกันจริงๆ” เธอกล่าวเสริม และเพื่อนมหาวิทยาลัยวันนี้ อาจเป็นพนักงานคนเก่งของคุณในอนาคต กัว เชื่อว่าทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กรคือ “คน” และแหล่งสรรหาคนที่ดีที่สุดก็คือเพื่อนร่วมชั้น

“พยายามรู้จักเพื่อนที่ฉลาดที่สุดและเป็นเพื่อนกับพวกเขาไว้ เพราะที่นั่นแหละ คือที่ที่คุณจะเจอทีมงานในอนาคตของคุณ ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่รวมคนเก่งหนาแน่นเท่ามหาวิทยาลัย” เธออธิบาย และบอกอีกว่า  การมีเพื่อนเก่งๆ ตั้งแต่สมัยเรียน จะกลายเป็น “กลุ่มคนที่มีศักยภาพหรือทักษะสูง” ที่เราสามารถดึงมาร่วมงานได้ในอนาคต และได้ตลอดชีวิต

ชุมชนที่หล่อหลอมความกล้าและความบ้า แบบซิลิคอนวัลเลย์

ในโครงการ Thiel Fellowship ซึ่งเธอใช้เวลาเรียนอยู่สองปี กัว ได้อยู่ท่ามกลางคนรุ่นใหม่ที่ทุกคนมีเป้าหมายสร้างบริษัทระดับยูนิคอร์น

“คุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ทำให้การสร้างบริษัทพันล้านกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะการจะสร้างบริษัทได้ คุณต้องบ้าบิ่นพอ ต้องเชื่อในตัวเองจนคนอื่นคิดว่าคุณหลงตัวเอง แต่เมื่ออยู่ในหมู่คนที่คิดแบบเดียวกัน มันง่ายกว่าที่จะเชื่อว่าทำได้ และนั่นแหละคือเสน่ห์ของซานฟรานซิสโกและ Thiel Fellowship” เธอกล่าว

อดีตเพื่อนร่วมทุนหลายคนในโครงการนี้ก็กลายเป็นผู้ก่อตั้งยูนิคอร์นเช่นกัน ตั้งแต่ วิตาลิก บูเทอริน (Vitalik Buterin) ผู้สร้าง Ethereum, ดีแลน ฟีลด์ (Dylan Field) จาก Figma และ ไรเทช อาการ์วาล (Ritesh Agarwal) จาก Oyo Rooms

หลังลาออกจาก Scale AI ในปี 2018 เพราะความเห็นไม่ตรงกับผู้ร่วมก่อตั้ง อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexander Wang) เรื่องทิศทางผลิตภัณฑ์และยอดขาย กัวยังถือหุ้นไว้ราว 5% ซึ่งพุ่งขึ้นอย่างมหาศาลหลัง Meta ซื้อหุ้น 49% ของบริษัท จนดันมูลค่าหุ้นส่วนของเธอทะลุ 1.25 พันล้านดอลลาร์

“ฉันกับอเล็กซ์ต่างโฟกัสคนละเรื่อง เขาเน้นยอดขาย ส่วนฉันอยากให้เราดูแลพนักงานและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ก่อน แต่นั่นไม่ใช่จุดที่บริษัททุ่มทรัพยากรลงไป” เธอกล่าว จากนั้น กัว ก่อตั้งกองทุน Backend Capital ในปี 2019 เพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัปเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น และเปิดตัว Passes ในปี 2022 ซึ่งระดมทุนได้กว่า 65 ล้านดอลลาร์

ชีวิตมหาเศรษฐีที่ยังคงทำงานวันละ 18 ชั่วโมง
แม้จะรวยระดับพันล้าน แต่กัวยังใช้ชีวิตเหมือนสตาร์ตอัปมืออาชีพ เธอตื่น 05.30 น. ทุกวันเพื่อไปออกกำลังกายที่ Barry’s Bootcamp สองคลาสติด และมักกินข้าวกลางวันระหว่างประชุม นอกจากนี้ กัว ให้เวลาตัวเองพักแค่ครึ่งวันในวันเสาร์ และกลับมาทำงานต่อในช่วงเย็น

“ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่มี work-life balance ได้ ถ้าตัดเวลาที่เสียไปกับการดู TikTok หรือดูทีวีแบบไร้จุดหมายออก ฉันโชคดีที่ไม่ต้องนอนเยอะ ถึงจะทำงานหนักหลายชั่วโมงก็ยังรู้สึกว่ามีสมดุลชีวิตอยู่ดี” เธอกล่าว  และบอกพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ฉันอาจทำงานถึงเที่ยงคืน แล้วไปต่อคลับถึงตี 2 เข้านอน จากนั้นตื่นเวลา 6 โมงเช้า แล้วไปออกกำลังกายได้สบายๆ เลย”

กัวมองว่าเวลาทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ยังถือว่าเป็น work-life balance เพราะหลัง 3 ทุ่ม สามารถไปกินข้าวหรือสังสรรค์กับเพื่อนได้

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอย่าง ซูรังกา จันดราทิลลาเก (Suranga Chandratillake) มองว่าแนวคิด “996” หรือการทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์นั้น เป็นเพียง “การหลงใหลความเหนื่อยล้า” มากกว่าจะเป็นการทำงานอย่างชาญฉลาด

• ผู้ก่อตั้งใหม่ๆ ควรทำงานสัปดาห์ละ 90 ชั่วโมง ในช่วงเริ่มต้น

ประเด็นชั่วโมงทำงานของผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัปยังถกเถียงกันไม่จบ ล่าสุดมีนักลงทุนบางรายกดดันให้ผู้ก่อตั้งยุโรปเร่งสปีดให้ทัดเทียมสหรัฐฯ และจีน

“โดยทั่วไป พอคุณเริ่มสร้างบริษัท มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ทำงานสไตล์ 996 คุณจะต้องทำงานสัปดาห์ละราว 90 ชั่วโมงเพื่อให้ธุรกิจตั้งหลักให้ได้” ลูซี กัว (Lucy Guo) กล่าว

อย่างไรก็ดี เธอบอกว่าเมื่อบริษัทเติบโต มีคนเก่งเพิ่มขึ้น และเริ่มนิ่งมากขึ้น ก็สามารถ “ทำงานให้น้อยลง” ได้ในระยะถัดไป โดย กัว ย้ำว่า การเป็นมหาเศรษฐีไม่จำเป็นต้องมาจากชั่วโมงทำงานอันหนักหน่วงเสมอไป

“ฉันไม่คิดว่าคุณจำเป็นต้องทำงานชั่วโมงขนาดนั้นเพื่อจะเป็นมหาเศรษฐี มันขึ้นกับ ‘วิธี’ ที่คุณเลือก ถ้าคุณเลือกตั้งบริษัทเทค คุณก็คงต้องทำงานหนักมากในช่วงแรก แต่ถ้าวิธีหลักคือ การลงทุน คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานชั่วโมงระดับนั้น”

เธออธิบายทิ้งท้ายว่า หากลงทุนสม่ำเสมอเป็นตัวเลขหลักแสนดอลลาร์ต่อครั้งในดัชนี S&P 500 ตลอดช่วงชีวิต ความมั่งคั่งก็สามารถเติบโตแตะระดับพันล้านได้เช่นกัน (ตามมุมมองของเธอ)

เส้นทางความมั่งคั่งของเศรษฐีอายุน้อยคนนี้ เธอมองว่า ความสำเร็จมีหลายเส้นทาง บางคนเลือก “ทุ่มแรง” ใส่การทำงานหนักแบบ 996 ในช่วงเริ่มต้น บางคนเลือก “ทุ่มเงิน” อย่างมีวินัยผ่านการลงทุนระยะยาว แต่ไม่ว่าทางไหน หัวใจสำคัญคือ การเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเองและทำอย่างต่อเนื่อง และในโลกธุรกิจยุคใหม่ การให้โอกาสต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นทุนที่งอกเงยเป็นความมั่งคั่งได้เช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่