[CR] “แบกตัวเอง สะพายเป้ กลิ้งขึ้นภูสอยดาว 59”

“แบกตัวเอง  สะพายเป้  กลิ้งขึ้นภูสอยดาว  59”
    ก่อนลมหนาวของปี 2559  จะมา  ปลายกันยา  พวกเราตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง  จุดหมายปลายทางครั้งนี้  คือ  “นอนดูดาว  เท้าติดดิน  in ภูสอยดาว”  พรรคพวกบอกว่าทริปชิวๆ หาอะไรไปทำกินที่ยอดภูกัน   การเดินทางไปภูสอยดาวมีหลายวิถี  แต่ครั้งนี้รถทัวร์เต็ม  รถส่วนตัวมีแต่ขับไปไม่ไหว  นั่งเครื่องบินแพงไป  เวลาที่อยากไปไม่มี  ผลสรุปจึงต้องเป็นรถไฟ  ทริปนี้มีการวางแผนเล็กน้อย  เนื่องจากเป็นพวกมนุษย์เงินเดือน  งบน้อย  วันหยุดนิดหน่อย  ชีวิตเร่งรีบมิค่อยมีเวลา  
        รถไฟสายเหนือมีหลายแบบ  
        -รถด่วนพิเศษ,  รถด่วนธรรมดา,  รถเร็ว  แต่แปลกไม่มีรถช้า...ตะลุ่มตุ่มโป๊ะ
        รถไฟแบบด่วนเต็ม  แบบที่คุณคาดไม่ถึงว่าจะเต็มแน่นอน  เหลือรถเร็วแบบนั่งเท่านั้น (หากต้องการเดินทางโดย  รถไฟ  โทรสอบถามได้ที่ 1690   แต่หากต้องการจองล่วงหน้า  ต้องก่อน 5 วันเท่านั้น  ที่สำคัญเจ้าหน้าที่บริการดีมาก  ให้เวลาและข้อมูลเต็มที่)
    ***ข้อดีของการเดินทางโดยรถไฟ  คือ  การได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนขณะที่เดินทาง  มีกลิ่นอายของความอินดี้  ได้ฟิวลิ่งของนักเดินทาง  ลมตีหน้าผับๆๆๆ  ***  
    รถไฟเที่ยวที่เราไป  คือ เที่ยวเวลา  20.10 น.  (รถไฟออกตรงเวลา  แต่อาจจะถึงไม่ตรงเวลา 555  นี่แหละคือมนต์เสน่ห์ของรถไฟไทย

    ทริปนี้เรามีกัน 4  คน  Let’s go…ปุ้นๆๆๆ  กิจกรรมที่ควรทำบนรถไฟ  นั่งคุยกัน  กินปลาเส้น และโซ้ยมาม่าคัพ สำคัญ <<<ควรเตรียมผ้าคลุมหน้าหรือหมวกไปด้วยจะดี  Air  ธรรมชาติ  สามารถทำให้หน้าและเส้นผมเหนียว พันกันได้ดี>>>
    รถไฟออก 20.10 น.  ถึง  3.30  (ตามกำหนดการในตั๋วจะต้องถึง  2.30 น.)

    ถึงสถานีปลายทางของเราคือ พิษณุโลก  ลงสถานีแบบสะโหล่สะเหล่ กะว่าเดี๋ยวเหมารถโดยสารไปเลย  บุญพาวาสนาช่วย  ไม่ต้องไปโดดเดี่ยว  การหาเพื่อนร่วมทางข้างหน้าใช้ได้ผล  เราจึงขอแจมติดรถไปอุทยานแห่งชาติภูสอยด้วย เพราะเป็นนักเดินทางเหมือนกัน  จึงคุยกันง่าย  ระหว่างทางคนขับรถโดยสารจะพาแวะตลาดเช้าชาติตระการ  จึงได้เวลาเตรียมของกิน  เมนูที่เราคิด  คือ  มาม่าทรงเครื่อง  ขนมปังปิ้ง  โอวัลติน  ไข่กระทะ  ลาบทูน่า  ยำปลากระป๋อง  แกงไตปลา ข้าวจี่ ไข่เจียว  เมนูที่คิดคือกิน 2 วัน  แน่นอน

        Go ๆๆๆ ไปอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว....สองข้างทางแทบหลับไม่ลง (555 แต่ก็หลับเนื่องจากเพลียจากการนั่งรถไฟ)  แต่ระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น  ลืมตากลับมองเห็นขุนเขาสองข้างทาง  หมอกหนาๆขาวเหมือนสำลีลอยเหนือขุนเขา  ถนนสองเลนที่ไม่กว้างมาก  มีความคดเคี้ยว  แต่รถรามีเล็กน้อย  วันนี้ขอเป็นเจ้าของถนนสักวัน

        พอมาถึงอุทยาน  ก็ได้เวลาจัดแยกสัมภาระ  พวกเราต้องการประหยัดเวลาในการรอลูกหาบ  ไม่อยากไปรอรับของข้างบนภู  และอยากลองแบกเป้เดินเอง  เฉลี่ยสัมภาระกัน  น้ำหนักจึงตกอยู่ที่ 8-15 kg  แต่ละคน  ส่วนฉันเหตุผลที่แบกคือศักดิ์ศรีล้วนๆ  555  

    ก่อนเริ่มเดิน  ควรฉายภาพก่อน  เพราะสภาพหน้ายังพอไหว  เมื่อกายพร้อมใจพร้อม  สองขาก็ออกเดิน  เดินหนักแบกหนัก...ยิ่งเดินยิ่งหนัก  ทำให้รู้ว่าศักดิ์ศรีกินม้ายด้าย  แต่มาขนาดนี้แล้ว  ถอยกลับไม่ไหวแล้ว  ไม่มีลูกหาบช่วยแบกระหว่างทางนะจ๊ะ  
    ด่านที่ 1  เนินส่งญาติ  ทางชันๆ  มีราวบันไดจับ  ก้าวขาทีไร  ขาสั่นๆ เราสี่คนเดินทางกันพอสมควร  เป็นการเว้นช่วงว่างให้แต่ละคนสำลักความเหนื่อย  แต่ก็ไม่มีใครถอดใจเลย

    เนินส่งญาติ  พี่ชายนักเดินทางของฉัน  เล่าว่า  ที่ยอดภูสอยดาว  จะมีเส้นเขตแดนไทย-ลาว  สมัยก่อนโน้น  มีการสู้รบกัน  ทหารแต่ละฝ่ายมีการปะทะ  จึงล้มตาย  และมีการนำศพทหารมาส่งบริเวณนี้  พี่เล่าจบ  ฉันเสียวสันหลังเลย  แต่ไม่กล้าบอกใคร  
    ด่านที่ 2 เนินปราบเซียน  ก็เป็นเนิน  เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ  เนินแล้วก็เนิน แต่ละเนินเปลี่ยนที่องศาเท่านั้น  ดังนั้น  จึงเห็นเซียนทั้งหลายนั่งเหงื่อตกตามๆ  กัน  รวมถึงกลุ่มเราด้วยเช่นกัน  ที่จริงมันก็ไม่มีใครเซียนอะไรหรอก  ไม่เกี่ยวกับพวกสายถึก  สายแข็ง  นักเดินทางแต่ละคนเขาเดินด้วยใจล้วนๆ  ถ้าใจบอกว่าไหวก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก

    ระหว่างเนินนี้  เจอลูกหาบตัวเล็ก  วัยเริ่มรุ่น  ระหว่างปิดเทอม  รับจ้างเป็นลูกหาบ  น้องๆ บอกว่าแบกคนละ 20 kg  นายแน่มาก  สังเกตจากกระเป๋าดัดแปลง  สายกระเป๋าผ้าขาวม้า  เสื้อกล้ามระบายอากาศทั้งตัว  นี่แหละวิถีฮิปเตอร์  นักเดินป่าสายอินดี้
        ด่านที่ 3  เนินป่ากอ  เนินนี้ไม่ชันมาก  ส่วนใหญ่  เป็นป่าไม้หลากหลายแบบ  สองข้างทางมองลอดป่ากอ  ต้นไม้จะเห็นภูเขาลูกข้าง  อยู่ใกล้ๆ กัน  เนินนี้ไม่หนักมาก  สามารถเดินสาวเท้ายาวๆ ได้ค่อนข้างสบาย  พวกเราก็ฮึบๆ เพื่อทำเวลา

         ด่านที่ 4  เนินเสือโคร่ง  เนินนี้ชื่อน่ากลัว  แต่ตัวน่ารัก  ความจริงคือ  เนินนี้จะมีต้นพญาเสือโคร่งขึ้นชุก  จึงเป็นที่มา  มิได้มีเสือสางแต่อย่างใด  ถ้าจะมีก็คงเป็นแม่เสือสาว  นักล่าแห่งขุนเขาเท่านั้น อิอิ
         ด่านที่ 5  เนินมรณะ  สมชื่อจริงๆ  ขึ้นภูเขามาได้แล้ว  เจอเนินนี้เข้าไป  คือการปีนข้ามภูเขาอีกลูก  พูดในใจมันโคตรสูง  เดินผ่านไปทีก้าว  มองไปข้างหลัง  เสียวสันหลังวาบๆ    


         ยิ่งสูงยิ่งเสียว  ยิ่งเสียวก็ยิ่งอยากขึ้นไปสูงๆ  ทริปนี้  เนินมรณะเป็น Destination  เลย  ทุกก้าวที่เดิน  ถ้ามองกลับหลังจะเห็นท้องฟ้า  ที่เรียกได้เต็มปากว่าคือท้องฟ้าของจริง  ยอดเขารายรอบตัว  สายหมอกทอดผ่านขุนเขา  ปุยหมอกขาวๆ เคลื่อนตัวช้าๆ  ทำให้รู้ว่าภาพที่เห็นเป็นภาพจริง  หากไม่ขึ้นมาตรงนี้  ไม่มีวันได้เห็นภาพนี้แน่นอน  

    ปลายทางคือลานสน  ด้วยความเหนื่อยล้า  เดินดุ่มๆ  ในใจก็บอก 555 มาถึงซักที  งานนี้ไม่ชักช้าทำเพลง  รีบไปที่ลานกางเต็นท์ก่อนเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยาน  ส่วนการชมความสวยงามของธรรมชาตินั้นยังพอมีเวลา


    เมื่อได้พื้นที่เหมาะๆ ลงหลักปักฐานในสองคืน  การเลือกพื้นที่ควรเลือกที่สามารถเข้าห้องน้ำได้ง่าย  อยู่ใกล้แหล่งน้ำ  พื้นที่สูงพอควร    หากฝนมาน้ำท่วมไม่ถึง  จัดข้าวของจากนั้นก็อาบน้ำชำระล้างร่างกาย  และจิตใจที่สกปรก 555 ที่ภูสอยดาวนี้ค่อนข้างมีห้องน้ำ  ห้องส้วมสะดวกสบาย  กั้นเป็นห้องๆ ให้  แต่การใช้น้ำ  หากน้ำที่เจ้าหน้าที่รองไว้หมด  คุณต้องใช้ถังน้ำที่เช่า  เดินไปถักน้ำมาอาบ  และทำธุระส่วนตัวเอง  น้ำที่นี่โคตรสดชื่น  เป็นน้ำเย็นเจี๊ยบ ใสสะอาด  เพราะเป็นน้ำจากแหล่งต้นน้ำ เดินลงไปตักที่ลำธารใกล้ๆ  ห้ามลงอาบนะจ๊ะ  เพราะพวกเราต้องใช้น้ำจากที่นี่ร่วมกัน
    เมื่ออาบน้ำเสร็จ  งานปาตี้ก็เริ่มขึ้น  ล้อมวงทำกับข้าว  เมนูที่คิดว่าอร่อยที่สุดเลือกมาทำกินวันนี้  ข้าวจี่  ลาบทูน่า  ยำปลากระป๋อง  และปลาหมึกแห้ง  

    กินไปคุยไป เรื่องสนุกมากมายก่ายกอง ทำลายความเหนื่อยล้าไปได้  เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน  แม้จะมีความง่วงแต่เป้าหมายคือการไปดูทางช้างเผือก  วันนี้ดาวเต็มฟ้า  ช้างเผือกจ๋าเธออยู่ไหน  รอพี่ด้วย
  

    เรานั่งมองฟ้า  ดูนภา  ดูดาวเต็มท้องฟ้า  ของแถมคือได้เห็นดาวตกอีกหลายดวง  มองเพลินๆ  ให้เวลาสมองและร่างกายได้พัก  ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น  นี่แหละคือธรรมชาติบำบัดโรคของจริง   เพลินๆ ผ่านไปสองชั่วโมง  ชั่วโมงยามราตรีกาล  ความง่วงเข้ามา  ได้เวลานอน   หลับสบาย
    เช้าวันใหม่เริ่มที่ ตี 5 เริ่มตื่นและปลุกเพื่อนๆ  พวกเรามีนัดหมายไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน  
  

  
    พระอาทิตย์ขึ้น  พระอาทิตย์ตก  ดูที่ไหนก็ได้  มันก็ขึ้นและตกเหมือนกัน  (มีคนพูดไว้หลายคน  จะปีนไปดูให้มันเหนื่อยทำไม)  แต่สำหรับพวกเราความรู้สึกของการดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่มันวิเศษ มันสวยงาม ทำให้ชีวิตมีความหวังและมีพลัง  ชีวิตของคนเราก็เดินทางตามวงจรของพระอาทิตย์นี่แหละจริงไหม  วันนี้ผ่านไปวันใหม่ก็เข้ามา

    ทุ่งดอกหงอนนาค  สวยบานสะพรั่ง  หากอยากดูให้เต็มทุ่งจริงๆ ควรมา  ก.ค.-ต้น ก.ย.  พวกเรามาปลาย ก.ย. ก็ยังมีอยู่  เป็น Location  ในการถ่ายรูป
  
  
    เมื่อมีพระอาทิตย์ขึ้นก็ต้องมีพระอาทิตย์ตก  แต่เสียดายไม่เห็นพระอาทิตย์ตก เพราะฟ้าปิด  หมอกหนา  เมื่อเย็นย่ำก็ได้เวลาเดิม  พักผ่อนกายา  วันนี้เราตัดสินใจทำตามแผน  คือนอนดูดาว  เท้าติดดิน จริงๆ  เวลาประมาณ  สามทุ่ม  จึงหอบเสื่อ  ถุงนอน  เตาแก๊ส  โอวัลติน  ไปนอนรอดูดาว  วิวพาโนรามา  กวาดตาได้เต็มที่  แต่ทว่าไม่ค่อยเห็นดาว  เห็นแต่หมอก  สัมผัสได้เพียงความเย็นของแผ่นหลัง    
    เริ่มต้นวันใหม่  แต่เป็นวันสุดท้าย  บนลานสน  เราตื่นกันสายหน่อย  แถมวันนี้ยังได้เจอฝนตกอีก  เก็บบรรยากาศได้ครบเลย  พอได้เวลาก็ต้องอำลาแล้ว   วันหน้าหากมีโอกาสคงจะได้มาพบกันใหม่  ทุกก้าวที่เดินลง  หันหลังมอง ยังมีความทรงจำเสมอ  มีเพื่อนท่านหนึ่งบอกไว้  ว่าชอบการเดินทางเพราะ  “เวลาไปมาแล้วได้กลับมาคิดถึงทุกที”  ที่นี่ก็อาจนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งที่ในบันทึกของนักเดินทาง
ชื่อสินค้า:   อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่