ช่วงหนึ่งในชีวิตคุณเคยคิดไหมว่า คุณสามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้ เป็นอะไรได้ดีกว่านี้
บางคนมีปัญหาติดเหล้า ติดยาเสพย์ติด จนสูญเสียโอกาสหลายครั้งในชีวิต
ซ้ำมีปัญหากับครอบครัว ขาดเงิน ปัญหาชีวิต อารมณ์รุนแรง ควบคุมตัวเองไม่ได้ รุมเร้า รู้สึกเหมือนไม่มีทางออก
ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามกรรมที่ตัวเองคิดว่าเป็นมาแต่ชาติปางก่อน โทษทุกอย่างที่ขวางหน้า
เพราะเขาทำเรา เพราะเขาทิ้งเรา เพราะเขาไม่รักเรา เพราะงานมันห่วย เราเลยต้องจบลงแบบนี้
ไม่มีความสุข ซึมเศร้า ไม่มีเพื่อน เพื่อนหักหลัง เพื่อนไม่สนใจ โดดเดี่ยว
เครียด ออกไปปาร์ตี้ ดื่มเหล้า เทคยา มีsex กับคนแปลกหน้า ตื่นมาที่ไหนไม่รู้ตัว
มีความสุขชั่วคราว ข้ามคืนมา ความสุขชั่วคราวหายไป เหลือไว้แต่ ความทุกข์ ความเศร้า ความมืดในใจ
รู้สึกชีวิตมันตัน ไม่มีแรงบันดาลใจ ทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากตื่นขึ้นมาตอนเช้า อยู่ไปวันๆ แล้วก็กลับไปวงจรแบบเดิม
แน่นอน เหตุการณ์แบบนี้ อาจเกิดบางช่วงในชีวิต หรือเป็นมาตลอดสำหรับบางคน
แล้วแต่ระดับความรุนแรงและปัญหาของแต่ละคน
แต่อีกมุมในใจ เรามักจะถามตัวเองว่า ทำไมชีวิตมันห่วยจังวะ ทำไมอะไรไม่ดีขึ้นสักที
ฉันเป็นคนที่ดีกว่านี้ได้รึเปล่า ทำยังไง ทำอะไรดี ไม่มีทางออก เงินไม่พอ
ปรึกษาใครดี เพราะบอกไปแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจเรา เขาตัดสินเรา เขาให้เราไปทานยานอนหลับบ้าง หรือไปเข้าบำบัดบ้าง
ซึ่งเราไม่อยากไป
บอกพ่อแม่ โดนด่าแน่นอน
บอกเพื่อน มันก็จะหาว่าคิดไปเอง แล้วก็ชวนเราไปกินเหล้าตามระเบียบ
แต่เสียงในใจเรามันยังคงบอกว่า “มันต้องมีทางที่ดีกว่านี้สิ”
เคยเป็นกันมั้ย?
หากวันนี้จะบอกกับทุกคนว่า ผู้เขียนได้ผ่านช่วงเวลานั้นมา
เวลาของการติดสิ่งต่างๆในชีวิตของเรา ที่จะสามารถติดได้ ยกตัวอย่าง
ติดเหล้า ติดยา ติดรัก ติดทำงาน ติดอาหาร ติดคนเอาใจใส่ ติดเงิน ติดช้อปปิ้ง ติดภาพลักษณ์
ติดทุกข์ ติดเศร้า ติดดราม่า ติดให้คนมาสนใจ ติดโกหก ติดเจ้าชู้ ติดกังวล ติดไปหมด
ติดวิ่งตามความสุขจอมปลอม ยิ่งตามยิ่งเหนื่อย เหมือนหนูวิ่งในกรงไม่เคยพบความสุขที่แท้จริงสักที
เพราะตัวเองไม่เคยฝึก ไม่เคยรู้ความลับของชีวิต
ว่าจริงๆแล้ว เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่เราต้องพร้อมจะเปลี่ยน และตัดสินใจ
เคล็ดลับไม่มีอะไรมาก แต่เราไม่เคยได้เรียนรู้ ไม่เคยได้ฝึกฝนมาก่อน
เกี่ยวกับ “กฎของชีวิต” จริงแล้ว ชีวิตเรามันง่ายมาก แต่เราทำทุกอย่างให้มันยากเอง
วันนี้ผู้เขียนจะมาบอก 7 วิธี ที่ผู้เขียนใช้ฝึกตัวเอง ให้เลิกจากสิ่งเสพติดทุกประการ
และเป็น “คน” ที่ผู้เขียนอยากเป็นทุกวันนี้ ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกปลอดภัย สว่างไสว รักตัวเองทั้งตัวและหัวใจ
ไม่ผวาตื่นมากลางดึก นอนฝันร้าย ประสาทหลอน ไม่จับเอาอะไรมาทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น
ไม่ไปแอบนั่งร้องไห้คนเดียว ไม่ตื่นขึ้นมาที่แปลกๆ กับคนแปลกหน้า
ไม่ซึมเศร้า ด้วยฤทธิ์ยาหรือเหล้าในวันรุ่งขึ้น
เริ่มแรก : เราต้องตัดสินใจฟังเสียงในใจเรา
วิธีการนี้ ต้องใช้การนั่งสมาธิเข้ามาช่วย ผู้เขียนไม่ได้ยึดหลักกับศาสนาใดๆ ใช้การเรียนรู้จากกฎธรรมชาติ
สมาธินี้ สามารถทำได้ทุกรูปแบบ ทุกที่ นั่งสบายๆ ผ่อนคลาย หลับตา หายใจลึกๆ และเริ่มถามคำถามนี้กับตัวเองว่า
- ทำไมถึงอยากเลิกจากสิ่งเสพย์ติด หรืออะไรก็ตามที่เราติด ณ ตอนนี้
- อะไรคือปัญหาที่หนักที่สุดที่เรารับไม่ได้แล้ว และต้องการออกจากมัน
- หากเลิกได้ เราอยากเป็นอะไรต่อไปจากนี้
การนั่งอยู่ในความเงียบและถามคำถามกับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองหาคำตอบนั้น เป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เพราะผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครที่รู้ดีเท่าตัวเอง แต่แค่วันนี้หลายคน มัวแต่ไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เลยลืมเรื่องของตัวเอง
ทำให้ “ความสำคัญ” ที่เราให้กับตัวเอง มันเหลือน้อยหรือไม่มีเลย
วิธีที่ 2 : ปลดปล่อยความเชื่อที่ผิด ที่เรามีในหัวมานาน หลายคนอาจจะมีหลายความเชื่อ
เท่าที่ผู้เขียนได้ให้คำปรึกษามา ความเชื่อเหล่านั้น จะมีประมาณนี้ คือ
เราไม่ดีพอ
เราไม่เก่ง
เราขาดความรัก เราอยู่คนเดียวไม่ได้
เราไม่มีค่าพอ เราดูไม่ดีพอ
เราทำดีกับใครไม่ขึ้น
เรามันล้มเหลว
เราไม่มีใครเชื่อถือ
เราไม่มีความมั่นใจ
เรามีไม่พอ (ทั้งเงิน ทั้งความรัก ...)
**เรื่องการปลดปล่อย ความเชื่อ ที่ทำร้ายเรามาจนถึงทุกวันนี้ ต้องใช้เวลาในการฝึก หากใครมีคำถามส่งมาปรึกษาได้ที่
ลิสติดต่อด้านล่าง ตอนนี้ผู้เขียนเปิดให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายคน***
ขั้นตอนนี้ เมื่อเราตอบคำถามตัวเองในใจได้ หาสาเหตุได้ ว่าเรากังวลเรื่องอะไร
เราต้องฝึกบอกตัวเองทุกวันว่า.....
ฉันขอปล่อย (ความคิด) เหล่านั้นไป เวลาความเชื่อที่ผิดเหล่านั้นเข้ามาในหัว
ให้เราทำแบบอัตโนมัติและบอกไปว่า ****“ฉันขอปล่อย ความคิดว่า(ฉันไม่ดีพอ) ออกไป”**** ประมาณนี้
แล้วหายใจออกด้วยอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนั้นไปจริงๆ สูดหายใจลึกๆและเติมด้วยความเชื่อที่ถูกต้องด้านล่าง (วิธีที่3)
วิธีที่ 3 : เติมความเชื่อที่ถูกต้อง
เมื่อเราได้ล้างความเชื่อที่ผิด ก็ถึงเวลามาเติม “ความเชื่อที่ถูก” ให้นึกถึงวันนี้ ตัวเรา จิตใจเรา คือ บ้านหลังหนึ่ง
มีสักกี่ครั้งที่เรา ทำความสะอาดบ้านในจิตใจของเรา เก็บกวาด ตกแต่ง ให้บ้านในจิตใจเราเป็น อย่างที่เราอยากให้เป็น
ผู้เขียนเชื่อว่า น้อยมากที่เรามานั่งเก็บกวาดจิตใจเรา ทำให้ตอนนี้มันยุ่งเหยิงเต็มไปหมด
การติดสิ่งเสพติด หรือการติดอะไรบางอย่างทุกชนิด เกิดจากวันนี้ “เรารู้สึกไม่พอ” “เรารู้สึกไม่มั่นคง” ในใจเรา
ใช่.....คุณฟังไม่ผิด ส่วนใหญ่ เวลาเกิดปัญหาขึ้น
เรามักจะโทษภายนอกของเราก่อน ไม่เคยมองภายใน
เรามักจะให้ สิ่งต่างๆ ภายนอกเปลี่ยนเพื่อเรา ให้คนรอบตัวเปลี่ยนเพื่อเรา พอเหตุการณ์ หรือ สิ่งที่ไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ
เรารู้สึกผิดหวัง เหมือนอะไรมันขาดในใจ แล้วเราก็ไประบายกับการเติมสิ่งอื่นเข้าไปแทน เช่น เหล้า ยา อาหาร ความรัก เราเกิดความโหยหาสิ่งเหล่านั้นมาทดแทน
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มทำได้เลย คือ ทำให้ความรู้สึกในใจของเราเต็ม เช่น
1. การขอบคุณสิ่งที่เรามีวันนี้
ผู้เขียน ได้เคยให้คนที่มาปรึกษา เขียนขอบคุณ 3 อย่างทุกวัน ตอนแรกเขาลำบากใจมากเพราะไม่เคยทำ อึดอัด แปลกๆ ตะหงิดๆ (เขาเล่ามาแบบนั้น) แต่เขาก็ส่งการบ้านผู้เขียนทุกวัน มีบางวันขาดไปบ้าง แต่ก็ทำจนครบ
การเขียน ขอบคุณ เช่น ขอบคุณที่นอนนุ่มๆ ขอบคุณสามีทำกับข้าวให้ทาน ขอบคุณบ้านที่แม้จะเล็ก แต่บังแดดฝนให้
ขอบคุณเพื่อนแย่ๆ ที่ทำให้รู้ว่าจะเจอเพื่อนดีดีได้ยังไง ขอบคุณเหล้าที่ทำให้รู้ว่า ดื่มไปแล้ว สนุกแป้ปเดียว แต่มึนไปข้ามอาทิตย์
อะไรประมาณนี้......
วิธีการนี้ จะทำให้เราเริ่มเติมเต็มความขาดในใจ ทุกวัน ทุกวัน เห็นคุณค่าสิ่งเล็กๆรอบตัว หันมามีความสุขกับสิ่งที่เราไม่เคยมองเห็นมากขึ้น และผู้เขียน ก็ได้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของคนที่มาขอคำปรึกษา เค้าดูใจเย็นมากขึ้น คิดลบน้อยลง ขอบคุณคนรอบตัวมากขึ้น ภายใน 2 เดือนเขาก็ตัดสินใจเลิกอบายมุขทุกอย่าง และเปิดธุรกิจของตัวเองที่สิงคโปร์ เมื่อวานเขาโทรมาขอบคุณผู้เขียนมาก สำหรับสิ่งที่เค้าได้ฝึก ผู้เขียนเลยบอกไปว่า ไม่ใช่เพราะผู้เขียนหรอกที่ช่วยเค้า ตัวเค้าเองต่างหากที่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผู้เขียนเป็นเพียงแค่คนวางวิธีการให้และคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ
2. ฝึกเติมสิ่งที่เราต้องการเข้าไปในจิตใจ
ผู้เขียนเชื่อว่า ตัวเราเองมีสิ่งที่อยากทำมากมาย ตั้งแต่เด็ก อยากเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่โตมา เราถูกขวางกั้น ถูกหยุดจินตนาการของเราระหว่างทาง เราถูกครอบงำด้วยสื่อต่างๆ ว่าเราจะต้องเป็นแบบคนนั้น คนนี้
ทำให้ตัวตนที่แท้จริงของเรา ถูกกลืนไประหว่างทาง นึกขึ้นได้อีกที เราก็ไปอยู่บนความฝันของคนอื่น ไม่เคยได้เดินตามความฝันของตัวเอง
นึกถึงตอนเด็ก เราต้องการอะไร เราก็ร้องที่จะเอา เรามีความสุข เราก็หัวเราะ เราเสียใจเราก็ร้องไห้ มันไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมายที่เราต้องมานั่งคิด อยู่แบบง่าย สุขง่าย เพราะฉะนั้นลองกลับไปดูเราตอนเป็นเด็กว่าเรามีความสุขในการใช้ชีวิตขนาดไหน และบอกกับตัวเอง ตอกย้ำตัวเองทุกวัน ว่าเราก็เป็นแบบนั้นตอนนี้ได้เหมือนกัน
บอกกับตัวเองด้วยประโยคเหล่านี้
ฉันเก่ง ฉันดีพอ
ฉันทำได้ มันง่าย
ฉันรู้สึกเติมเต็ม ในใจฉันเต็มไปด้วยความสุข
ฉันเป็นที่รัก ฉันคือเสียงหัวเราะ
ฉันคือความสุข ฉันคือความสงบ
ฉันรู้สึกปลอดภัย
ฉันรักตัวฉันเอง และฉันก็จะดูแลตัวฉันเองอย่างดีที่สุด
วิธีที่ 4 : ให้ฝึกวิธีการข้างต้น อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความอดทน เพิ่มประสบการณ์ ตัดข้ออ้างทั้งปวง
มาถึงตรงนี้ ต้องบอกเลยว่า ไม่มียาวิเศษที่ไหนดีเท่าการ “รักษาวินัยของตัวเอง” มีหลายครั้งช่วงก่อน ผู้เขียน กลับไปดื่มเหล้าและเทคยา เพราะคิดว่า คงไม่เป็นไรมั้ง นานๆครั้ง แต่เมื่อเราได้เริ่มฝึกจิตใจเราสักพัก เราจะมี “ภูมิคุ้มกัน” ส่วนหนึ่ง
เราจะรู้สึกตัวมากขึ้น เราจะเริ่มเบื่อไม่อยากอยู่สังคมมึนเมา เราจะเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆพัฒนาตัวเอง ได้เจอคนดีๆเข้ามา เพื่อนดีๆ งานที่ดี ทุกอย่างรอบตัวเหมือนค่อยๆเปลี่ยนไปหมด เงินเริ่มเข้ามา ลูกค้าอยากจ่ายให้เราโดยไม่ต้องตามเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ตอนนี้ผู้เขียนมีความเชื่อมากขึ้น และยังคงฝึกฝนต่อไป
วิธีที่ 5 : เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
หากมาถึงตรงนี้ ทุกคนจะเข้าใจว่า
อาการติด มาจาก อาการขาดภายในใจ
เช่น ขาดความรัก ขาดความเคารพ ขาดความเห็นใจ ขาดความสุข ...
เราไม่สามารถไปให้ใครมาเติมสิ่งข้างต้นให้เราได้
เราไปบังคับเขาไม่ได้ ลองคิดดูว่า คุณก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับคุณให้ทำอะไรเหมือนกัน คนอื่นเค้าก็คิดแบบนั้น ดังนั้น
มันเป็นหน้าที่ของเรา ต้องเติมเต็มใจเรา ด้วยตัวเอง รักษา เยียวยา ตกแต่ง บำรุง ทะนุถนอม จิตใจเราด้วยตัวเอง
เมื่อคุณรู้สึกว่า คุณเป็นผู้รับผิดชอบ 100% ของความรู้สึกตัวเอง
คุณจะเริ่มมีพลังในตัวเองมากขึ้น คุณจะรับรู้พลังนั้น
คุณจะสามารถควบคุม หัวเรือ ของชีวิตตัวเองได้
บอกกับตัวเองวันนี้ “ฉันมีอำนาจ 100% ควบคุมชีวิตตัวเองต่อจากนี้” ไม่มีอะไรมาทำให้ฉันเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น
มองเห็นคุณค่าของตัวเองให้ชัด เมื่อคุณชัดเจน และเคารพตัวเอง เชื่อสิว่า คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวคุณ
เห็นผู้คนรอบตัวคุณ เห็นคุณค่าของคุณมากขึ้น
และในตอนนั้นคุณจะเริ่มไม่อยากให้ตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่จะมาทำร้ายคุณ ทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ
ไม่ว่าจะเป็นอบายมุข คนแย่ๆ งานแย่ๆ เจ้านายแย่ๆ สิ่งแวดล้อมแย่ๆ
สมองคุณจะเริ่มมมองหาอะไรดีดีเข้ามาเติมในชีวิต เช่น ออกกำลังกายมากขึ้น ตื่นเช้าขึ้น
ทำสมาธิมากขึ้น นอนเร็วขึ้น บอกรักคนรอบข้างมากขึ้น
เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณฝึกขั้นตอนนี้ผ่านไปได้ 2-3 เดือน แล้วแต่ระดับความคิดของคน
บางคน 1 อาทิตย์ก็เริ่มเห็นผลแล้ว
วิธีที่ 6 : ตอกย้ำความมั่นใจ และความสำเร็จ ของตัวคุณเอง
วิธีการนี้ผู้เขียนเรียกว่า “การเพิ่มความเชื่อ ความมั่นใจของเรา”
ผู้เขียนจะจดเหตุการณ์ที่เข้ามาทุกวัน และเหตุการณ์ไหนที่ทำสำเร็จ เช่น
เลิกเหล้ามาได้แล้ว 1 เดือน
ได้งานใหม่ที่เราฝันไว้แล้ว
แฟนรักเรา ดูแลเราดีมากขึ้นเห็นได้ชัดเจน
อะไรประมาณนี้....
ให้ย้ำบ่อยๆ และเราก็จะเริ่มมีเหตุการณ์ดีๆเข้ามา เพราะสมองเราจะรับรู้แล้วว่า เราโฟกัสแต่เรื่องดีดี
มันจะดึงอะไรก็ตามที่ดีสำหรับเราเข้ามา
วิธีที่ 7 : ฉลองกับตัวเองทุกครั้งที่ได้สิ่งดีดี
ร่างกายและสมองเราชอบสารเอนโดฟิน และสิ่งหนึ่งที่เราสร้างเองได้ คือการฝึกฉลอง
ให้นึกถึงตอนเราเป็นเด็กได้กินไอติม ร้องเสียงดัง เย่ๆๆๆๆๆ ยิ้มกว้างๆ เช่นกัน
เวลาเราเริ่มเห็นหรือได้รับอะไรดีดี
ให้ฉลองหรือยินดีกับตัวเอง เช่น
ตบมือและบอกว่า เย่ๆๆๆๆๆ มันต้องอย่างนี้!!!
กระโดดโลดเต้น ให้ร่างกายหลั่งสารความสุข และบอกว่า เราทำได้ๆๆๆๆ
ชมตัวเองให้เยอะๆ
บอกกับตัวเองว่า
เห็นไหม เราเก่งเหมือนกันนะ
เรานี่สุดยอดไป
เราทำได้ดีกว่านี้อีก
ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก
(ต่อด้านล่างคอมเม้น)
7 วิธีเลิกเหล้า เลิกยา และสิ่งเสพติดทั้งหลาย
บางคนมีปัญหาติดเหล้า ติดยาเสพย์ติด จนสูญเสียโอกาสหลายครั้งในชีวิต
ซ้ำมีปัญหากับครอบครัว ขาดเงิน ปัญหาชีวิต อารมณ์รุนแรง ควบคุมตัวเองไม่ได้ รุมเร้า รู้สึกเหมือนไม่มีทางออก
ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามกรรมที่ตัวเองคิดว่าเป็นมาแต่ชาติปางก่อน โทษทุกอย่างที่ขวางหน้า
เพราะเขาทำเรา เพราะเขาทิ้งเรา เพราะเขาไม่รักเรา เพราะงานมันห่วย เราเลยต้องจบลงแบบนี้
ไม่มีความสุข ซึมเศร้า ไม่มีเพื่อน เพื่อนหักหลัง เพื่อนไม่สนใจ โดดเดี่ยว
เครียด ออกไปปาร์ตี้ ดื่มเหล้า เทคยา มีsex กับคนแปลกหน้า ตื่นมาที่ไหนไม่รู้ตัว
มีความสุขชั่วคราว ข้ามคืนมา ความสุขชั่วคราวหายไป เหลือไว้แต่ ความทุกข์ ความเศร้า ความมืดในใจ
รู้สึกชีวิตมันตัน ไม่มีแรงบันดาลใจ ทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากตื่นขึ้นมาตอนเช้า อยู่ไปวันๆ แล้วก็กลับไปวงจรแบบเดิม
แน่นอน เหตุการณ์แบบนี้ อาจเกิดบางช่วงในชีวิต หรือเป็นมาตลอดสำหรับบางคน
แล้วแต่ระดับความรุนแรงและปัญหาของแต่ละคน
แต่อีกมุมในใจ เรามักจะถามตัวเองว่า ทำไมชีวิตมันห่วยจังวะ ทำไมอะไรไม่ดีขึ้นสักที
ฉันเป็นคนที่ดีกว่านี้ได้รึเปล่า ทำยังไง ทำอะไรดี ไม่มีทางออก เงินไม่พอ
ปรึกษาใครดี เพราะบอกไปแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจเรา เขาตัดสินเรา เขาให้เราไปทานยานอนหลับบ้าง หรือไปเข้าบำบัดบ้าง
ซึ่งเราไม่อยากไป
บอกพ่อแม่ โดนด่าแน่นอน
บอกเพื่อน มันก็จะหาว่าคิดไปเอง แล้วก็ชวนเราไปกินเหล้าตามระเบียบ
แต่เสียงในใจเรามันยังคงบอกว่า “มันต้องมีทางที่ดีกว่านี้สิ”
เคยเป็นกันมั้ย?
หากวันนี้จะบอกกับทุกคนว่า ผู้เขียนได้ผ่านช่วงเวลานั้นมา
เวลาของการติดสิ่งต่างๆในชีวิตของเรา ที่จะสามารถติดได้ ยกตัวอย่าง
ติดเหล้า ติดยา ติดรัก ติดทำงาน ติดอาหาร ติดคนเอาใจใส่ ติดเงิน ติดช้อปปิ้ง ติดภาพลักษณ์
ติดทุกข์ ติดเศร้า ติดดราม่า ติดให้คนมาสนใจ ติดโกหก ติดเจ้าชู้ ติดกังวล ติดไปหมด
ติดวิ่งตามความสุขจอมปลอม ยิ่งตามยิ่งเหนื่อย เหมือนหนูวิ่งในกรงไม่เคยพบความสุขที่แท้จริงสักที
เพราะตัวเองไม่เคยฝึก ไม่เคยรู้ความลับของชีวิต
ว่าจริงๆแล้ว เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่เราต้องพร้อมจะเปลี่ยน และตัดสินใจ
เคล็ดลับไม่มีอะไรมาก แต่เราไม่เคยได้เรียนรู้ ไม่เคยได้ฝึกฝนมาก่อน
เกี่ยวกับ “กฎของชีวิต” จริงแล้ว ชีวิตเรามันง่ายมาก แต่เราทำทุกอย่างให้มันยากเอง
วันนี้ผู้เขียนจะมาบอก 7 วิธี ที่ผู้เขียนใช้ฝึกตัวเอง ให้เลิกจากสิ่งเสพติดทุกประการ
และเป็น “คน” ที่ผู้เขียนอยากเป็นทุกวันนี้ ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกปลอดภัย สว่างไสว รักตัวเองทั้งตัวและหัวใจ
ไม่ผวาตื่นมากลางดึก นอนฝันร้าย ประสาทหลอน ไม่จับเอาอะไรมาทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น
ไม่ไปแอบนั่งร้องไห้คนเดียว ไม่ตื่นขึ้นมาที่แปลกๆ กับคนแปลกหน้า
ไม่ซึมเศร้า ด้วยฤทธิ์ยาหรือเหล้าในวันรุ่งขึ้น
เริ่มแรก : เราต้องตัดสินใจฟังเสียงในใจเรา
วิธีการนี้ ต้องใช้การนั่งสมาธิเข้ามาช่วย ผู้เขียนไม่ได้ยึดหลักกับศาสนาใดๆ ใช้การเรียนรู้จากกฎธรรมชาติ
สมาธินี้ สามารถทำได้ทุกรูปแบบ ทุกที่ นั่งสบายๆ ผ่อนคลาย หลับตา หายใจลึกๆ และเริ่มถามคำถามนี้กับตัวเองว่า
- ทำไมถึงอยากเลิกจากสิ่งเสพย์ติด หรืออะไรก็ตามที่เราติด ณ ตอนนี้
- อะไรคือปัญหาที่หนักที่สุดที่เรารับไม่ได้แล้ว และต้องการออกจากมัน
- หากเลิกได้ เราอยากเป็นอะไรต่อไปจากนี้
การนั่งอยู่ในความเงียบและถามคำถามกับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองหาคำตอบนั้น เป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เพราะผู้เขียนเชื่อว่า ไม่มีใครที่รู้ดีเท่าตัวเอง แต่แค่วันนี้หลายคน มัวแต่ไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เลยลืมเรื่องของตัวเอง
ทำให้ “ความสำคัญ” ที่เราให้กับตัวเอง มันเหลือน้อยหรือไม่มีเลย
วิธีที่ 2 : ปลดปล่อยความเชื่อที่ผิด ที่เรามีในหัวมานาน หลายคนอาจจะมีหลายความเชื่อ
เท่าที่ผู้เขียนได้ให้คำปรึกษามา ความเชื่อเหล่านั้น จะมีประมาณนี้ คือ
เราไม่ดีพอ
เราไม่เก่ง
เราขาดความรัก เราอยู่คนเดียวไม่ได้
เราไม่มีค่าพอ เราดูไม่ดีพอ
เราทำดีกับใครไม่ขึ้น
เรามันล้มเหลว
เราไม่มีใครเชื่อถือ
เราไม่มีความมั่นใจ
เรามีไม่พอ (ทั้งเงิน ทั้งความรัก ...)
**เรื่องการปลดปล่อย ความเชื่อ ที่ทำร้ายเรามาจนถึงทุกวันนี้ ต้องใช้เวลาในการฝึก หากใครมีคำถามส่งมาปรึกษาได้ที่
ลิสติดต่อด้านล่าง ตอนนี้ผู้เขียนเปิดให้คำปรึกษาฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครหลายคน***
ขั้นตอนนี้ เมื่อเราตอบคำถามตัวเองในใจได้ หาสาเหตุได้ ว่าเรากังวลเรื่องอะไร
เราต้องฝึกบอกตัวเองทุกวันว่า.....
ฉันขอปล่อย (ความคิด) เหล่านั้นไป เวลาความเชื่อที่ผิดเหล่านั้นเข้ามาในหัว
ให้เราทำแบบอัตโนมัติและบอกไปว่า ****“ฉันขอปล่อย ความคิดว่า(ฉันไม่ดีพอ) ออกไป”**** ประมาณนี้
แล้วหายใจออกด้วยอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนั้นไปจริงๆ สูดหายใจลึกๆและเติมด้วยความเชื่อที่ถูกต้องด้านล่าง (วิธีที่3)
วิธีที่ 3 : เติมความเชื่อที่ถูกต้อง
เมื่อเราได้ล้างความเชื่อที่ผิด ก็ถึงเวลามาเติม “ความเชื่อที่ถูก” ให้นึกถึงวันนี้ ตัวเรา จิตใจเรา คือ บ้านหลังหนึ่ง
มีสักกี่ครั้งที่เรา ทำความสะอาดบ้านในจิตใจของเรา เก็บกวาด ตกแต่ง ให้บ้านในจิตใจเราเป็น อย่างที่เราอยากให้เป็น
ผู้เขียนเชื่อว่า น้อยมากที่เรามานั่งเก็บกวาดจิตใจเรา ทำให้ตอนนี้มันยุ่งเหยิงเต็มไปหมด
การติดสิ่งเสพติด หรือการติดอะไรบางอย่างทุกชนิด เกิดจากวันนี้ “เรารู้สึกไม่พอ” “เรารู้สึกไม่มั่นคง” ในใจเรา
ใช่.....คุณฟังไม่ผิด ส่วนใหญ่ เวลาเกิดปัญหาขึ้น
เรามักจะโทษภายนอกของเราก่อน ไม่เคยมองภายใน
เรามักจะให้ สิ่งต่างๆ ภายนอกเปลี่ยนเพื่อเรา ให้คนรอบตัวเปลี่ยนเพื่อเรา พอเหตุการณ์ หรือ สิ่งที่ไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ
เรารู้สึกผิดหวัง เหมือนอะไรมันขาดในใจ แล้วเราก็ไประบายกับการเติมสิ่งอื่นเข้าไปแทน เช่น เหล้า ยา อาหาร ความรัก เราเกิดความโหยหาสิ่งเหล่านั้นมาทดแทน
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มทำได้เลย คือ ทำให้ความรู้สึกในใจของเราเต็ม เช่น
1. การขอบคุณสิ่งที่เรามีวันนี้
ผู้เขียน ได้เคยให้คนที่มาปรึกษา เขียนขอบคุณ 3 อย่างทุกวัน ตอนแรกเขาลำบากใจมากเพราะไม่เคยทำ อึดอัด แปลกๆ ตะหงิดๆ (เขาเล่ามาแบบนั้น) แต่เขาก็ส่งการบ้านผู้เขียนทุกวัน มีบางวันขาดไปบ้าง แต่ก็ทำจนครบ
การเขียน ขอบคุณ เช่น ขอบคุณที่นอนนุ่มๆ ขอบคุณสามีทำกับข้าวให้ทาน ขอบคุณบ้านที่แม้จะเล็ก แต่บังแดดฝนให้
ขอบคุณเพื่อนแย่ๆ ที่ทำให้รู้ว่าจะเจอเพื่อนดีดีได้ยังไง ขอบคุณเหล้าที่ทำให้รู้ว่า ดื่มไปแล้ว สนุกแป้ปเดียว แต่มึนไปข้ามอาทิตย์
อะไรประมาณนี้......
วิธีการนี้ จะทำให้เราเริ่มเติมเต็มความขาดในใจ ทุกวัน ทุกวัน เห็นคุณค่าสิ่งเล็กๆรอบตัว หันมามีความสุขกับสิ่งที่เราไม่เคยมองเห็นมากขึ้น และผู้เขียน ก็ได้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของคนที่มาขอคำปรึกษา เค้าดูใจเย็นมากขึ้น คิดลบน้อยลง ขอบคุณคนรอบตัวมากขึ้น ภายใน 2 เดือนเขาก็ตัดสินใจเลิกอบายมุขทุกอย่าง และเปิดธุรกิจของตัวเองที่สิงคโปร์ เมื่อวานเขาโทรมาขอบคุณผู้เขียนมาก สำหรับสิ่งที่เค้าได้ฝึก ผู้เขียนเลยบอกไปว่า ไม่ใช่เพราะผู้เขียนหรอกที่ช่วยเค้า ตัวเค้าเองต่างหากที่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผู้เขียนเป็นเพียงแค่คนวางวิธีการให้และคอยให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆ
2. ฝึกเติมสิ่งที่เราต้องการเข้าไปในจิตใจ
ผู้เขียนเชื่อว่า ตัวเราเองมีสิ่งที่อยากทำมากมาย ตั้งแต่เด็ก อยากเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่โตมา เราถูกขวางกั้น ถูกหยุดจินตนาการของเราระหว่างทาง เราถูกครอบงำด้วยสื่อต่างๆ ว่าเราจะต้องเป็นแบบคนนั้น คนนี้
ทำให้ตัวตนที่แท้จริงของเรา ถูกกลืนไประหว่างทาง นึกขึ้นได้อีกที เราก็ไปอยู่บนความฝันของคนอื่น ไม่เคยได้เดินตามความฝันของตัวเอง
นึกถึงตอนเด็ก เราต้องการอะไร เราก็ร้องที่จะเอา เรามีความสุข เราก็หัวเราะ เราเสียใจเราก็ร้องไห้ มันไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมายที่เราต้องมานั่งคิด อยู่แบบง่าย สุขง่าย เพราะฉะนั้นลองกลับไปดูเราตอนเป็นเด็กว่าเรามีความสุขในการใช้ชีวิตขนาดไหน และบอกกับตัวเอง ตอกย้ำตัวเองทุกวัน ว่าเราก็เป็นแบบนั้นตอนนี้ได้เหมือนกัน
บอกกับตัวเองด้วยประโยคเหล่านี้
ฉันเก่ง ฉันดีพอ
ฉันทำได้ มันง่าย
ฉันรู้สึกเติมเต็ม ในใจฉันเต็มไปด้วยความสุข
ฉันเป็นที่รัก ฉันคือเสียงหัวเราะ
ฉันคือความสุข ฉันคือความสงบ
ฉันรู้สึกปลอดภัย
ฉันรักตัวฉันเอง และฉันก็จะดูแลตัวฉันเองอย่างดีที่สุด
วิธีที่ 4 : ให้ฝึกวิธีการข้างต้น อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความอดทน เพิ่มประสบการณ์ ตัดข้ออ้างทั้งปวง
มาถึงตรงนี้ ต้องบอกเลยว่า ไม่มียาวิเศษที่ไหนดีเท่าการ “รักษาวินัยของตัวเอง” มีหลายครั้งช่วงก่อน ผู้เขียน กลับไปดื่มเหล้าและเทคยา เพราะคิดว่า คงไม่เป็นไรมั้ง นานๆครั้ง แต่เมื่อเราได้เริ่มฝึกจิตใจเราสักพัก เราจะมี “ภูมิคุ้มกัน” ส่วนหนึ่ง
เราจะรู้สึกตัวมากขึ้น เราจะเริ่มเบื่อไม่อยากอยู่สังคมมึนเมา เราจะเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆพัฒนาตัวเอง ได้เจอคนดีๆเข้ามา เพื่อนดีๆ งานที่ดี ทุกอย่างรอบตัวเหมือนค่อยๆเปลี่ยนไปหมด เงินเริ่มเข้ามา ลูกค้าอยากจ่ายให้เราโดยไม่ต้องตามเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ตอนนี้ผู้เขียนมีความเชื่อมากขึ้น และยังคงฝึกฝนต่อไป
วิธีที่ 5 : เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
หากมาถึงตรงนี้ ทุกคนจะเข้าใจว่า
อาการติด มาจาก อาการขาดภายในใจ
เช่น ขาดความรัก ขาดความเคารพ ขาดความเห็นใจ ขาดความสุข ...
เราไม่สามารถไปให้ใครมาเติมสิ่งข้างต้นให้เราได้
เราไปบังคับเขาไม่ได้ ลองคิดดูว่า คุณก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับคุณให้ทำอะไรเหมือนกัน คนอื่นเค้าก็คิดแบบนั้น ดังนั้น
มันเป็นหน้าที่ของเรา ต้องเติมเต็มใจเรา ด้วยตัวเอง รักษา เยียวยา ตกแต่ง บำรุง ทะนุถนอม จิตใจเราด้วยตัวเอง
เมื่อคุณรู้สึกว่า คุณเป็นผู้รับผิดชอบ 100% ของความรู้สึกตัวเอง
คุณจะเริ่มมีพลังในตัวเองมากขึ้น คุณจะรับรู้พลังนั้น
คุณจะสามารถควบคุม หัวเรือ ของชีวิตตัวเองได้
บอกกับตัวเองวันนี้ “ฉันมีอำนาจ 100% ควบคุมชีวิตตัวเองต่อจากนี้” ไม่มีอะไรมาทำให้ฉันเป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น
มองเห็นคุณค่าของตัวเองให้ชัด เมื่อคุณชัดเจน และเคารพตัวเอง เชื่อสิว่า คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวคุณ
เห็นผู้คนรอบตัวคุณ เห็นคุณค่าของคุณมากขึ้น
และในตอนนั้นคุณจะเริ่มไม่อยากให้ตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่จะมาทำร้ายคุณ ทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ
ไม่ว่าจะเป็นอบายมุข คนแย่ๆ งานแย่ๆ เจ้านายแย่ๆ สิ่งแวดล้อมแย่ๆ
สมองคุณจะเริ่มมมองหาอะไรดีดีเข้ามาเติมในชีวิต เช่น ออกกำลังกายมากขึ้น ตื่นเช้าขึ้น
ทำสมาธิมากขึ้น นอนเร็วขึ้น บอกรักคนรอบข้างมากขึ้น
เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณฝึกขั้นตอนนี้ผ่านไปได้ 2-3 เดือน แล้วแต่ระดับความคิดของคน
บางคน 1 อาทิตย์ก็เริ่มเห็นผลแล้ว
วิธีที่ 6 : ตอกย้ำความมั่นใจ และความสำเร็จ ของตัวคุณเอง
วิธีการนี้ผู้เขียนเรียกว่า “การเพิ่มความเชื่อ ความมั่นใจของเรา”
ผู้เขียนจะจดเหตุการณ์ที่เข้ามาทุกวัน และเหตุการณ์ไหนที่ทำสำเร็จ เช่น
เลิกเหล้ามาได้แล้ว 1 เดือน
ได้งานใหม่ที่เราฝันไว้แล้ว
แฟนรักเรา ดูแลเราดีมากขึ้นเห็นได้ชัดเจน
อะไรประมาณนี้....
ให้ย้ำบ่อยๆ และเราก็จะเริ่มมีเหตุการณ์ดีๆเข้ามา เพราะสมองเราจะรับรู้แล้วว่า เราโฟกัสแต่เรื่องดีดี
มันจะดึงอะไรก็ตามที่ดีสำหรับเราเข้ามา
วิธีที่ 7 : ฉลองกับตัวเองทุกครั้งที่ได้สิ่งดีดี
ร่างกายและสมองเราชอบสารเอนโดฟิน และสิ่งหนึ่งที่เราสร้างเองได้ คือการฝึกฉลอง
ให้นึกถึงตอนเราเป็นเด็กได้กินไอติม ร้องเสียงดัง เย่ๆๆๆๆๆ ยิ้มกว้างๆ เช่นกัน
เวลาเราเริ่มเห็นหรือได้รับอะไรดีดี
ให้ฉลองหรือยินดีกับตัวเอง เช่น
ตบมือและบอกว่า เย่ๆๆๆๆๆ มันต้องอย่างนี้!!!
กระโดดโลดเต้น ให้ร่างกายหลั่งสารความสุข และบอกว่า เราทำได้ๆๆๆๆ
ชมตัวเองให้เยอะๆ
บอกกับตัวเองว่า
เห็นไหม เราเก่งเหมือนกันนะ
เรานี่สุดยอดไป
เราทำได้ดีกว่านี้อีก
ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก
(ต่อด้านล่างคอมเม้น)