มีใครเคยเห็นสภาวธรรมทั้งๆที่ยังไม่เคยปฏิบัติภาวนาบ้าง

สภาวธรรมที่เราเห็นคือเห็นกายไม่ใช่เรา ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่เคยรู้เรื่องการดูจิต วิปัสสนา และไม่เคยนั่งสมาธิกรรมฐานใดๆ ตอนนั้นย้อนไปเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว พี่เราชอบเปิดซีดีสอนการดูจิตของหลวงพ่อปราโมช ที่บ้านเราเป็นร้านถ่ายเอกสาร บางทีเราก็เดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านบ่อยๆ ทำงานเสร็จเอางานไปวางหน้าร้านบ้าง แต่เราจะทำงานของเราอยู่ชั้นบน ไม่ได้มาอยู่ประจำหน้าร้าน เวลาที่พี่เราเปิดซีดีหลวงพ่อฟัง เราเดินผ่านก็จะได้ยินบ้างบางส่วน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลวงพ่อท่านสอนอะไร แต่มีประโยคหนึ่งที่ติดหูมากๆและได้ยินเป็นประจำคือ “กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี” มันเป็นประโยคที่หลวงพ่อพูดบ่อยมาก แม้จะไม่ได้ฟังแต่เดินผ่านจะได้ยินเป็นประจำจนเหมือนสมองมันจำได้ ทั้งๆที่ไม่เข้าใจความหมายอะไร

วันหนึ่งเราไปห้างสรรพสินค้า ไปเข้าห้องน้ำก็ต้องรอต่อคิวเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ใกล้ถึงคิว ประโยคที่หลวงพ่อพูดประจำก็ขึ้นมาในหัวเรา “กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี” ซ้ำๆอยู่สองสามรอบ พอเราเข้าห้องน้ำทำธุระเสร็จ ก็หันหลังเอามือไปกดชักโครก ทันใดนั้นเอง เราเห็นมือของเราไม่เหมือนมือของเรา แต่รู้สึกเหมือนเป็นมือคนอื่น เหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม ความรู้สึกเหมือนกับว่าจิตของเราที่รู้สึกว่าคือตัวเรา กับกายของเรา (ท่อนแขน) เป็นคนละส่วนกัน รู้สึกว่าเหมือนกันกำลังมองแขนของคนอื่นอยู่ ตอนนั้นตกใจมาก ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้ เราจึงถามตัวเองว่า “ถ้านี่ไม่ใช่ตัวเรา แล้วนี่คือตัวอะไร” ทันใดนั้นเอง กายกับจิตกลับมาแนบสนิทเป็นสิ่งเดียวกันอีกครั้ง การรับรู้ว่าแขนนั้นคือแขนเรา แล้วก็รู้สึกเป็นปกติ ตอนนั้นเรางงมากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนั้นเพราะมันเกิดแค่ชั่วเวลาไม่กี่วินาที

หลังจากนั้นมาประมาณสองวัน พี่เราเปิดฟังซีดีหลวงพ่อเหมือนเดิม แต่วันนั้นเราว่าง เลยลองมานั่งฟังว่าท่านสอนอะไร แล้วอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นตอนที่เสียงคำสอนของท่านแว่วมาในหัวคืออะไร เป็นที่น่าแปลกมากที่ตอนนั้นเป็นตอนที่มีคนถามคำถามหลวงพ่อพอดี แล้วอาการของคนที่ถามเป็นอาการเดียวกับที่เพิ่งเกิดกับเรา เราจึงตั้งใจฟังคำตอบ ท่านตอบกับคนที่ถามไปว่า ปฏิบัติมาถูกทางแล้วนะ จิตเริ่มตั้งมั่นแล้ว เลยเห็นกายไม่ใช่เรา เริ่มเห็นแขนเป็นท่อนอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรา ตอนนั้นฟังก็เลยรู้ว่าอาการแบบนั้นคืออะไร ก็เลยเล่าให้พี่สาวฟังว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พี่สาวบอกว่ารู้ไหมว่าคนที่ถามหลวงพ่อคนนั้นเป็นใคร เขาเป็นแม่ชีที่ปฏิบัติมานานแล้วนะ คือสภาวะแบบนี้ไม่ใช่จะเกิดได้ง่ายๆ ต้องปฏิบัติภาวนามาพอสมควรแล้ว

เราก็งงๆอยู่ค่ะ เพราะตอนนั้นภาวนาคืออะไรยังไม่รู้เรื่องเลย หลังจากนั้นก็เลยเริ่มตั้งใจฟังหลวงพ่อแล้วเริ่มหัดดูจิต แต่มันก็ดูได้บ้างไม่ได้บ้างไปเรื่อยๆ จนตอนหลังเราเริ่มมีปัญหาคือดูซ้อนลงไปแล้วเห็นว่าจิตมันแว้บๆๆ ตลอดเวลา คือเปลี่ยนแปลงเร็วมากจนเราเครียดและเหนื่อยมาก เราเลยเลิกดูเพราะคิดว่าอาจจะทำผิด เพราะหลวงพ่อบอกว่าถ้าทำถูกมันจะไม่เครียด จะมีอาการโปร่งโล่งเบา

พี่ชายเราบอกว่าถ้าคนที่เคยจิตตั้งมั่นครั้งหนึ่งแล้ว ทุกอย่างมันจะไม่เหมือนเดิม ตอนนั้นเราก็คิดว่าจะไม่เหมือนเดิมได้ไง เหตุการณ์แค่ไม่กี่วินาทีจะเปลี่ยนชีวิตได้ไง แต่สุดท้ายมันก็ไม่เหมือนเดิมจริงๆ เกิดเรื่องราวหรืออาการแปลกๆกับเรามากมาย ในระหว่างที่เราหัดภาวนาไปด้วย จนรู้สึกว่ารับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ไหว สุดท้ายจึงเลิกปฏิบัติไป อาการแปลกๆคือเรารู้สึกว่าจิตฉลาดขึ้นในช่วงนั้น เพราะเราหัดภาวนาไปด้วยแล้ว เวลามีปัญหาหรือไม่เข้าใจอะไร เหมือนจะเริ่มมีคำตอบเกิดขึ้นในใจได้เอง หรืออย่างเช่นมีครั้งหนึ่งเราเข้าห้องน้ำก็นั่งนานอยู่นะคะ เราก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย อยู่ดีๆมันเหมือนมีภาพเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ เหมือนภาพ flash back พร้อมกับเสียงบอกว่า บาป ภาพขึ้นมาแล้วก็มีเสียงว่าบาป ทุกครั้ง ทุกภาพที่แล่นเข้าหัวมา คือเหตุการณ์ในอดีตที่บางอย่างเราลืมไปแล้วเพราะมันนานมากแล้ว บางอย่างเราก็ไม่คิดว่ามันจะบาปแต่มันก็บาป อะไรเล็กๆน้อยๆเช่น ตอนเรียนมหาลัย ทำรายงานกลุ่มแล้วเราขี้เกียจทำ ให้เพื่อนทำมากกว่าเรา ภาพนั้นขึ้นมาแล้วก็บอกว่าบาป หรือบางอย่างที่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างเช่น การเอาซองจดหมายของที่ทำงานมาใส่เอกสารส่วนตัว มันก็ขึ้นว่าบาป เรียกว่าเก็บเกือบทุกเม็ด ภาพแต่ละภาพมาค่อนข้างเร็ว แต่เราเห็นหมดเลยว่าทำอะไรผิดไว้บ้าง จากที่เมื่อก่อนคิดว่าเราไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ไม่เคยทำอะไรให้ใครเดือดร้อน แต่ตอนนั้นเห็นว่าเลยว่าตัวเองโคตรเลว อะไรที่คิดว่ามันไม่เห็นเป็นไร แต่จริงๆมันเป็น มันเกิดอาการหลายๆอย่างในตอนนั้น จนเราเริ่มคุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนนั้นมันรู้สึกว่าความทุกข์อย่างอื่นมันไม่ใช่ทุกข์ที่แท้จริง แต่การที่เวียนว่ายตายเกิดต่างหากที่เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งหลังจากนั้นมาเราก็เริ่มห่างจากการปฏิบัติจนอาการเหมือนคนปกติ

แต่หลังจากนั้นก็เหมือนมีอาการโยโย่อย่างรุนแรง เหมือนคนที่พุ่งขึ้นไปที่สูงแล้วร่วงตกลงมาในน้ำมันจะพุ่งลงต่ำอย่างรุนแรงมากกว่าคนที่อยู่ในระนาบปกติ เราเกิดอาการหลงไปกับกิเลศต่างๆมากมายทั้งๆที่ปกติไม่เคยเป็น หลงวัตถุ ซื้อแต่ของแบรนด์เนมใช้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั่งหัวเราะคนบ้าวัตถุแต่วันหนึ่งกลับมาเป็นเสียเอง จนเราต้องถามตัวเองทุกวันเวลาตื่นมาตอนเช้าว่าเราเป็นอะไร ปกติดีไหม จนสุดท้ายกว่ามันจะเข้าที่เข้าทางใกล้เคียงปกติก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร เราก็ไม่รู้ว่าที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่กว่าเราจะเริ่มปฏิบัติใหม่ก็หลายปีผ่านไป ระหว่างนั้นพยายามจะกลับมาทำแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะรู้สึกว่ามันยากกว่าเดิม รู้สึกเสียดายเวลา แต่ตอนนี้ก็พยายามเตาะแตะไปใหม่ค่ะ อย่างน้อยที่ผ่านมาเรามองเห็นอะไรๆชัดขึ้น มีกิเลสก็รู้ ถึงจะห้ามไม่ได้ ดีกว่าเมื่อก่อนที่หลงไปแล้วก็ไม่เคยรู้อะไรเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่