คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เสริม-วิธีปฏิบัติสายหลวงปู่ชา
(หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธัมโม)
(หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธัมโม)
• ปฏิบัติกรรมฐาน
.
ในปี พ.ศ ๒๕๑๒ พระอาจารย์เลี่ยม ได้ออกเดินทางเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อเรียนรู้ธรรม จนได้มาพบสำนักของพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดที่ร่มรื่น สะอาดสะอ้าน เสนาสนะมีระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วเย็นใจ และได้กราบนมัสการหลวงพ่อชา ขอฝากตัวเป็นศิษย์ ในการนี้เอง หลวงพ่อชา ท่านได้เมตตาเปลี่ยนบริขารทุกอย่างให้หมด
ระเบียบปฏิบัติของหลวงพ่อชา ถือว่าเข้มงวดมาก แต่หลวงพ่อเลี่ยมก็ไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด เพราะเคยฝึกมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่วัดเดิม ซึ่งถือว่าตรงกับรูปแบบของตัวเองมากกว่าที่จะสร้าง ความยุ่งยากในฝึกฝนเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา ด้วยความพรากเพียร แม้แต่ในวันพระก็ถือ เนสัชชิก คือการไม่นอนตลอดคืน ก็อยู่ได้อย่างสบาย จนจิตรู้สึกสว่างไสวและมีความสุขจากการปฏิบัติธรรม
.
• เงียบ...เย็น...เบา
.
ท่านเล่าว่า ปกติทุกๆ วันหลังเสร็จกิจวัตรจากงานของสงฆ์ส่วนรวมแล้ว ท่านก็จะปฏิบัติธรรม เดินจงกรมก่อนจึงไปนั่งภาวนา ท่านเล่าว่า... พอสมควรแล้วสำหรับการเดินจงกรมวันนี้ ก็เลยขึ้นกุฏิห่มผ้าเฉวียงบ่าและพาดสังฆาฏิ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก(ตรงกับกุฏิหลวงพ่อชา) ระลึกถึงครูบาอาจารย์แล้วก็นั่งสมาธิ การนั่งสมาธิก็รู้สึกว่า สงบมาก...และก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นว่า "..เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร เราปฏิบัติเพื่อการปฏิบัติ.."
"...เมื่อมีอาการทักขึ้นมาอย่างนี้ก็ปฏิบัตินั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ปกติจะนั่งไปประมาณ ๔-๕ ทุ่ม จึงจะหยุดพักผ่อน แต่วันนั้นนั่งไปจนเป็นเวลาตีสอง ประมาณ ๘ ชั่วโมง โดยไม่ได้พลิกหรือเคลื่อนไหวอวัยวะส่วนใดเลย ความรู้สึกว่ามันสงบก็มีอาการเปลี่ยนแปลงของจิตขึ้นมา มีความร็สึกวูบขึ้นมาทั้งตัวเหมือนกับตัวเรามีอะไรมาครอบไว้
มีความรู้สึกเย็น...เย็นไปทั้งตัวเลย เย็น...เบา มีความรู้สึกเบาไปหมด ในสมองก็รู้สึกว่าเหมือนกับเราเอาพัดลมมาตั้งไว้บนศีรษะ มีความรู้สึกเย็นอยู่อย่างนั้นตลอดคืน เย็น...สงบ...เงียบ ไม่มีความรู้สึกสิ่งใด ความรู้สึกนึกคิดก็ไม่มี ไม่รู้มันหายไปไหน เงียบไปหมดเลย รู้สึกว่าเงียบจริงๆ มีแต่อารมณ์แห่งความรู้สึกระงับ...และก็เงียบ...เย็น...เบาในร่างกาย
...รู้สึกว่าอาการที่เป็นอยู่อย่างนั้นทรงตัวอยู่ตลอดปี ไม่ใช่เป็นวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง มันเป็นปีๆ เลยทีเดียว อาการของความรู้สึกเย็นในสมอง แม้จะนั่งอยู่ก็เย็น ยืนนอนอยู่ก็เย็น เย็นตลอดทุกอิริยาบถ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่มีเลย ความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี...เงียบ... เหมือนกับป่าไม้ที่ไม่มีนกร้องเลยสักตัวเดียว เงียบ...ไม่มีลมพัดอะไรเลย เงียบสงบอยู่อย่างนั้น.."
.
• วิธีคลายราคะ
.
“..การปฏิบัติรู้สึกว่าดีตลอดมา อารมณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับกิเลสตัณหาก็มีบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรง อย่างเช่น กามราคะ หรือเมื่อพบกับมาตุคาม (ผู้หญิง) ถ้าเกิดความรู้สึกรักเกิดความรู้สึกพอใจขึ้นมา ก็อาศัยการเพ่งพิจารณายกเอาอสุภกัมมัฏฐานมาเป็นอารมณ์ คือ การพิจารณากายของตนเอง และกายของคนอื่นว่าเป็นสิ่งปฏิกูล น่าเกลียด ให้มองเห็นเป็นกองมูตรกองคูต หรือโครงกระดูกที่เดินไปมา เห็นอวัยวะทุกชิ้นส่วน ซึ่งล้วนแต่เป็นของน่าเกลียด น่าเบื่อหน่าย น่าขยะแขยง ทั้งของตนเอง และของคนอื่น
เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้ เรื่องกามราคะเกี่ยวกับความรักความชอบใจในเพศตรงกันข้ามก็รู้สึกเบาบางลง และมีสติเห็นจิตอยู่กับอารมณ์ หรือออกจากอารมณ์ ยินดีในอารมณ์หรือไม่ยินดีในอารมณ์ มีสติอยู่รู้อยู่ ขณะที่จิตเป็นอย่างนี้ และที่มีสติอย่างนี้ ก็รู้สึกว่าพอที่จะเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติได้ ต่อมาความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ก็ลดลง เกี่ยวกับจิตตสังขารความคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ก็รู้สึกว่าไม่มีกําลัง มันลดลง และถอยลงเรื่อย ๆ จนอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ไม่มีอันตราย..”
.
• สว่างไสวและมีความสุข
.
ในระหว่างนั้นหลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านให้โอกาสในการประพฤติปฏิบัติ คือ ไม่ให้พูดกัน ไม่มีการสวดมนต์ทําวัตร และให้เข้า กรรมฐานอยู่สักระยะหนึ่งก่อน ท่านเห็นว่า ถึงเวลาที่จะเพิ่มโอกาสในการปฏิบัติให้มากขึ้น จึงได้เร่งความเพียร เมื่อทําอย่างนั้นผลจึง ปรากฏ คือ พอถึงเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา ของวันที่ ๙ เดือน ๙ พ.ศ. ๒๕๑๒ จิตของท่านมีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงมาก คือ มีความรู้สึกสว่างไสวและก็มีความสุข
ท่านเล่าว่า “ความสุขอันนี้ไม่สามารถที่จะพูดให้ผู้อื่นรู้ และเข้าใจได้ ไม่ใช่ความสุขเพราะความพอใจ ไม่ใช่สุขเพราะได้ตามปรารถนา แต่เป็นความสุขที่เหนือไปกว่าทั้งสองอย่าง เดินก็เป็นสุข นั่งก็เป็นสุข ยืนก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข ปลื้มปิติตลอดกาลตลอดเวลา และก็ได้ตั้งจิตกำหนดรู้อยู่ว่า ความสุขอันนี้มันเกิดขึ้นของมันเอง และในที่สุดมันก็จะดับไปเอง เพราะทั้งสุขและทุกข์นี้ ก็ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงด้วยกันทั้งสองอย่าง
ทั้งเวลายืน เดิน นั่ง นอน มันจะมีความสุขความสงบอยู่ในสถานะอย่างนั้น ทั้งเวลาเดินจงกรม และนั่งสมาธิก็มีความสุขอยู่อย่างนั้น..”
.
• จิตมันไม่มีทุกข์
.
“ความรู้สึก สังขาร การปรุงแต่งแห่งจิตก็ไม่มี ความทุกข์เกี่ยวกับกิเลสบางอย่างซึ่งเคยมาก่อกวนเกี่ยวกับเพศตรงข้ามหรือความทะเยอทะยานอะไรต่าง ๆ ไม่รู้มันหายไปไหน เห็นคนก็รู้สึกว่าเป็นธรรมดา เห็นคนก็สักแต่ว่าคนเท่านั้นเอง ไม่มีคนสวย ไม่มีคนไม่สวย มันจะมีลักษณะเฉย ๆ ของมันอยู่อย่างนั้น มีความสงบระงับอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่ก็ไม่ได้สงสัยว่ามันเป็นอะไร ถือว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่ด้วยความสงบระงับ ไม่มีอะไรเดือดร้อนในเรื่องความเป็นอยู่ต่าง ๆ ความทุกข์ก็ไม่รู้ว่า ทุกข์มันเป็นอย่างไร และความขี้เกียจก็ไม่รู้ว่า ความขี้เกียจมันเป็นอย่างไร ถามหาความขี้เกียจมันก็ไม่มี ถามหาความทุกข์ก็ไม่มี และความรู้สึกภายในจิตใจก็เป็นอย่างนั้น ระลึกหาความที่ว่าทุกข์มันคืออะไร ก็ไม่รู้ (รู้แต่เพียงคําจํากัดความตามภาษาสมมติกันเท่านั้น เพราะทุกข์มันก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติกันเท่านั้น)
เมื่อจิตมันไม่มีทุกข์ สิ่งสมมติทั้งหลาย มันก็ไม่มีในจิต และอาการความรู้สึกอย่างนี้ มันจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมาไม่เปลี่ยนแปลง จนกระทั่งปัจจุบัน อาการความรู้สึกอย่างนี้ก็ยังมีอยู่ เป็นอยู่อย่างมั่นคงเสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง” (คือตั้งแต่พรรษาที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๑๖ จนกระทั่งปัจจุบัน)
แสดงความคิดเห็น
ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธินานๆ
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานาน
นับเป็นหลายชั่วโมง บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนา
นานเท่าใด ก็ยิ่งจะเกิดปัญญามาก เท่านั้น
ปัญญาที่แท้
เกิดจากการที่เรามีสติ ทุกๆ อิริยาบท
การฝึกปฏิบัติของท่าน ต้องเริ่มต้นขึ้นทันที
ที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อ
เนื่องไป จนกระทั่งนอนหลับไป
อย่าไปห่วงว่า ท่านต้องนั่งสมาธิให้นานๆ
สิ่งสำคัญ คือ...
ท่านเพียงแต่เฝ้าดู ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่
หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่
แต่ละคน...ต่างมีทางชีวิต ของแต่ละคน
บางคนต้องตายเมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่อ
อายุ ๖๕ ปี และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใด
ก็ฉันนั้น...ปฏิปทาของท่านทั้งหลาย
ก็ไม่เหมือนกัน อย่าคิดมากหรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย
จงพยายามมีสติ และปล่อยทุกสิ่ง...
ให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิตของท่าน
ก็จะสงบมากขึ้น ในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง
มันจะสงบนิ่ง...เหมือนหนองน้ำใสในป่า
ที่บรรดาสัตว์ป่าสวยงาม และหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้น...ท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์ และแปลกประหลาดทั้งหลาย เกิดขึ้น และดับไป แต่ท่านก็จะสงบอยู่เช่นเดิม
ปัญหาทั้งหมด จะบังเกิดขึ้น
แต่ท่านจะรู้ทันมันได้ ทันที นี่!แหละ คือ...
ศานติสุขของพระพุทธเจ้า."
__________
คำสอนของ______________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.