ขอแสดงความคิดเห็นสวนกระแสเรื่องเด็กถูกครูปาแก้วใส่จนหน้าเบี้ยวบ้างเถอะ

ข้อเท็จจริงน่ะ ผมก็ไม่รู้เรื่องหรอก แต่อยากตั้งข้อสังเกตไว้บ้าง

เส้นประสาทใบหน้าเส้นที่ 7 มี 5 แขนง แยกไปเลี้ยงส่วนต่างๆของใบหน้า อาการที่เห็นจากรูปโดนทั้งเส้นที่ไปเลี้ยงตาและมุมปาก ตำแหน่งที่บาดเจ็บต้องเป็นขั้วก่อนแยกแขนงคือบริเวณด้านหน้าหู (ไม่รู้ใช่ตำแหน่งที่เด็กเรียกกกหูรึเปล่า)ซึ่งเส้นประสาทวิ่งอยู่ระหว่างต่อมน้ำลายข้างหู

ทีนี้คือจากประสบการณ์ไม่เคยเห็นรายที่เส้นประสาทใบหน้าบาดเจ็บโดยไม่มีแผลหรือไม่มีกระดูกหัก ไอ้ที่บอกว่ากล้ามเนื้อบวมกดทับเส้นประสาทนี่ไม่เคยเจอมาก่อนจริงๆ ยิ่งถ้าโดนตรงขั้วนี้ต้องมีเลือดออกเยอะหน้าบวมฉึ่งเลยละ ไม่เห็นรูปวันแรกเลยบอกไม่ได้ แล้วปาอีท่าไหนกระแทกแรงขนาดนั้นแผลแตกไม่มี เป็นไปได้เหรอ แก้วแข็งปาถูกเต็มแรงมันก็ต้องแตกนะหน้าคนน่ะ

ตกลงหมอวินิจฉัยว่าอะไรแน่ แล้วจะผ่าตัดทำอะไร 3-4 แสนน่ะ

คือสังเกตว่าล็อคอินที่จำได้ว่าเป็นหมอไม่มีใครเข้าไปร่วมผสมโรงเลยอ่ะ รอดูเงียบๆทั้งนั้นเลย กลัวเงิบ

ครูปาแก้วใส่เด็กมันไม่ถูกแน่ๆละ แต่ถ้ากลายเป็นโรคอื่น เช่น bell pulsy โทษก็รุนแรงต่างกันเลยนะครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 30
ผมทำงานด้านนี้ครับ ได้เห็นข่าวเรื่องน้องนักเรียนหญิงม.5โดนครูโยนแก้วกาแฟมาโดนหน้า แล้ววันรุ่งขึ้นเกิดหน้าเบี้ยวไปครึ่งซีก คนจำนวนมากในสังคมเชื่อว่าเรื่องหน้าเบี้ยวเป็นความผิดของครู แต่ผมกลับคิดอีกอย่าง เห็นครูโดนซะอ่วม ไม่รู้ลูกเมียครูจะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยหรือไม่ ผมรู้สึกว่าครูอาจจะโดนลงโทษจากสังคมเกินกว่าความผิดจริงๆที่ครูทำ ทีแรกคิดว่าไม่อยากขวางน้ำเชี่ยว แต่ก็อดคิดวิจารณ์ไม่ได้ แล้วพอเห็นจขกท.มาจุดประกายแล้ว ขอแสดงความเห็นส่วนตัวบ้างครับ

ผมขอย้ำก่อนว่า ผมไม่ได้พูดว่า การเป็นครูแล้วระเบิดอารมณ์ด้วยการเขวี้ยงปาข้าวของไม่ใช่ความผิด แต่..ความผิดแค่ไหนก็ต้องลงโทษแค่นั้น ความผิดของครูคือ หงุดหงิดแล้วไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ โยนข้าวโยนของไปโดนเด็กนักเรียนแบบมั่วๆสุ่มๆ แล้วไปโดนเด็กคนดังกล่าว (ไม่ได้เป็นการทะเลาะวิวาทเฉพาะตัว) ผลของการกระทำอันนี้เกิดแค่ไหนก็ลงโทษไปแค่นั้น ส่วนเรื่องหน้าเบี้ยวผมคิดว่าถ้ามันไม่เกี่ยวกับครู ครูก็ไม่น่าจะต้องรับผิดชอบในส่วนนั้นไปด้วย

ผมคิดว่า กรณีหน้าเบี้ยวของน้องไม่น่าจะเกิดจากการกระแทกด้วยแก้วน้ำนะครับ จากเนื้อหาที่ทราบในข่าว ผมคิดว่าโอกาสที่แก้วจะไปกระแทกจนเกิดหน้าเบี้ยวแบบนี้มันยากมากๆ ผมกลับคิดว่าเป็นโรค Bell palsyมากกว่า

เส้นประสาทสมองคู่ที่7คืออะไร
หน้าเบี้ยวแบบนี้ เกิดจากโรคของเส้นประสาทสมองเส้นที่7 ชื่อว่า Facial nerve มันส่งสัญญาณจากสมองมากเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้าที่ใช้แสดงความรู้สึก(facial expression) ซึ่งถ้าเบี้ยวแบบในข่าว คือตาก็ปิดไม่ได้ ปากก็ขยับไม่ได้ แสดงว่าโรคมันคงจะอยู่ในกระดูก temporal bone (ผมไม่รู้จะเรียกภาษาไทยว่าอะไรดี กระดูกกกหู? กระดูกทัดดอกไม้?) หรือไม่ก็อยู่ในต่อมน้ำลายข้างหน้ารูหู(parotid gland) หรืออาจอยู่แถวๆก้านสมองก็ยังได้ ถ้าพ้นต่อมน้ำลายออกมาแล้วเส้นประสาทจะแตกตัวออกเป็นเส้นเล็กๆ5เส้น กระจายกันไปเลี้ยงตามทางใครทางมัน ตั้งแต่หน้าผากลงมาจนถึงคอ ฉะนั้นถ้าพ้นต่อมน้ำลายออกมาข้างหน้าแล้ว เกิดมีบาดแผลตรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของใบหน้า(ที่รุนแรงจนเส้นประสาทเสียหาย)ก็จะทำให้หน้าเบี้ยวเฉพาะส่วน ฉะนั้นจากในข่าวช่วงแรกที่ว่าโดนกระแทกที่หัวคิ้วบ้าง หางคิ้วบ้าง จึงไม่น่าจะทำให้ปากเบี้ยวได้ อย่างมากที่สุดก็มีปัญหาแค่ตา (ยิ่งถ้าหัวคิ้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย แต่เข้าใจว่าคงใช้คำผิด)

แต่ในข่าวจริงๆบอกว่าโดนกกหู
ถ้าโดนกกหู ก็ยังพอฟังขึ้นว่าจะหน้าเบี้ยวแบบทั้งบนล่างได้(Lower motor neuron Facial palsy) แต่...กกหูคือตรงไหน? ยังไม่เห็นมีการหาข้อมูลชัดๆตรงนี้เลย ว่าแท้จริงแล้วตำแหน่งที่โดนคือตรงไหนกันแน่? แต่ไม่ว่าจะโดนตรงไหนก็ตาม โอกาสหน้าเบี้ยวเพราะแรงกระแทกตามที่เล่า ผมว่ามันเป็นไปได้ยากจริงๆครับ

ถ้าโดนกระแทกตรงต่อมน้ำลาย ต่อมก็จะบวมมาก และกว่าจะหน้าเบี้ยวได้หน้าคงจะต้องบวมเหมือนคนเป็นคางทูม  แรงไม่น่าจะส่งไปถึงเส้นประสาทข้างในโดยที่ต่อมน้ำลายไม่เป็นอะไร

แล้วตามข่าวเห็นเพื่อนนักเรียนบอกว่ากระดอนจากกระจกมาโดนเด็กอีกทีหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นแก้วมันจะโดนตำแหน่งใดได้? โอกาสโดนตรงกระดูกทัดดอกไม้ซึ่งมีอยู่ตรงซอกหลังใบหูเป็นไปได้เหรอ ตัวเด็กเองก็ยังพูดไม่ชัดว่าโดนตำแหน่งไหนกันแน่  บางข่าวก็บอกว่าปาใส่หน้า บางข่าวก็หางคิ้ว หัวคิ้ว บางข่าวว่ากกหู กกหูคือตรงไหน? ผมอยากทราบข้อมูลจริงๆ แต่ยังไม่ทราบ เห็นมีแต่คนพยายามไปเอาครูมาแขวนคอ เอ๊ย!มาลงโทษ (อาจเพราะด้วยจิตใจที่ลำเอียงไปก่อนแล้วด้วย เพราะน้องเขาเป็นคนหน้าตาดี พอเกิดแบบนี้คนก็สงสารเห็นใจกันยกใหญ่ ผมเองก็เห็นใจในเรื่องโรค ขอให้น้องหายไวๆ แต่เรื่องเอาผิดครูนี่ของเห็นแย้งหน่อยนะครับ)

แล้วถ้าโดนตรงกระดูกทัดดอกไม้แล้วทำให้เกิดหน้าเบี้ยวได้ ความรุนแรงมันควรจะมากกว่านี้ ขนาดประมาณ โดนไม้หน้าสามตี หรือรถคว่ำหัวกระแทกพื้น อะไรแบบนั้น จากที่ทราบ กลไกของแรงมันไม่น่าจะมากขนาดนั้น และต่อให้แรงมากจริงๆมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่น้องจะไม่มีอาการอะไรทั้งสิ้นจนข้ามวัน เพราะเส้นประสาทมันไม่ได้อยู่ตื้นๆ มันฝังอยู่ในร่องกระดูกข้างในลึกๆ แรงต้องมากพอที่จะทำให้กระดูกแตกหรือร้าวจนเกิดเลือดออกหรือร่องฉีกขาดหรือเส้นประสาทฉีกขาด(temporal bone fracture) และในกระดูกที่ว่าก็ไม่ได้มีแต่เส้นประสาทที่7 แต่มีอวัยวะอื่นๆอีก ถ้าเกิดกระดูกแตกร้าวจริงก็ควรจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เลือดออกจากหู น้ำไขสันหลังไหล แก้วหูทะลุ หูดับ เวียนศีรษะรุนแรง เป็นต้น และมักจะมีรอยจ้ำเลือดหลังใบหูด้วย พอดีผมเพิ่งสมัครบัตรผ่านมาใหม่ ไม่สามารถลงรูปได้ ใครสนใจลองเอาคำนี้ไปหาดูรูปในgoogleดูครับ... Battle sign

ถ้าไม่ได้โดนกระแทก แล้วคิดว่าเป็นอะไร
มันมีโรคหนึ่งซึ่งพบได้  เรียกว่า Bell palsy คืออาการหน้าเบี้ยวแบบเดียวกันนี้ อาจมีอาการอื่นนำมาก่อน(หรือไม่ก็ได้)เช่น ไข้ ปวดเมื่อย ปวดหู ปวดใบหน้า ซึ่งถ้าไม่มีประวัติหรือข้อมูลอย่างอื่น ผมก็สงสัยว่าน้องอาจจะเป็น bell palsy ก็ได้นะ โรคนี้ทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด แพทย์จำนวนมากคิดว่าเกิดขึ้นเอง แต่ส่วนใหญ่เชื่อในทฤษฎีไวรัส และไวรัสที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องมากที่สุดก็คือไวรัสเริมแบบที่1(เริมที่เป็นที่ปาก)มันไประคายเคืองต่อเส้นประสาท  ทฤษฎีอื่นๆก็มีเรื่องเส้นประสาทขาดเลือดไปเลี้ยง เรื่องภูมิคุ้มกัน แม้แต่กรรมพันธุ์ก็มีคนเสนอ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ยังไม่มีข้อสรุป คืออาจจะโบ้ยว่าโรคมันเป็นของมันเองก็พูดได้ คือตามตำรามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้กวนติน

ถ้าไม่เกี่ยวกับปาแก้วน้ำ แล้วทำไมมันบังเอิญเกิดขึ้นใกล้เคียงกัน
ทำไมถึงบังเอิญเกิดใกล้ๆกัน อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน บังเอิญก็คือบังเอิญผมก็ไม่รู้จะอธิบายังไง ถ้ามีเหตุผลมันก็คงไม่เรียกว่าบังเอิญ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าคือ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ธรรมชาติของคนเราเวลาเกิดอะไรขึ้นกับตัวย่อมพยายามคิดย้อนหลังไปหาสาเหตุเพื่อตอบคำถามให้ตัวเองเสมอเท่าที่ความรู้และข้อมูลที่เขามี ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไร ผมเคยพบคุณยายท่านหนึ่งเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำลายข้างแก้ม แกก็ปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะก่อนหน้านั้นแกโดนแมวมาข่วนหน้าเป็นแผลตรงข้ามแก้มนั้นพอดี แผลนั้นก็ลามจนกลายเป็นเนื้องอกรักษาไม่หาย อย่างนี้เป็นต้น  

ตลกดีจัง ก็เห็นอยู่ว่าปาแก้วแล้วรุ่งขึ้นก็หน้าเบี้ยว ชัดเจนขนาดนี้ยังจะแถอีก
ลำพังแค่พิจารณาง่ายๆแค่นี้อาจตัดสินถูกผิดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นเราคงลงโทษคนมั่วไปหมด เกิดเหตุอะไรขึ้นก็แค่ย้อนไปดูวันก่อนว่าไปเจอใครมาบ้างแล้วสรุปได้เลยว่าคนนั้นคือตัวการ?สังคมจะวุ่นวายเละเทะ! การมองแบบนี้อาจใช้นำทางคร่าวๆได้ แต่ยังไงก็ต้องพิจารณาเหตุผลประกอบด้วย ถ้าเช่นนั้น สมมติว่า ตอนเช้าแม่หอมแก้มซ้าย ออกจากบ้านจิ้งจกทัก3ที ตอนสายโดนแก้วกาแฟ ตอนบ่ายนกพิราบขี้ใส่หัวด้าน ตอนเย็นมีหมาวิ่งตัดหน้า ก่อนนอนทาครีมผิดกระปุก แล้วตื่นขึ้นมาหน้าเบี้ยว แบบนี้ใครเป็นตัวการ?  แม่ จิ้งจก แก้วกาแฟ นกพิราบ หมา ครีมทาหน้า ? ฉะนั้นลำพังคิดแค่อะไรเกิดก่อนแค่นั้นไม่เพียงพอต้องมีคำอธิบายมากกว่านี้
ครูเขายังยอมรับผิดเลย
ผมคิดว่าเรื่องนี้แม้แต่แพทย์ยังเห็นแย้งกันได้ ครูเองก็ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์ เป็นธรรมดาที่ครูเขาเห็นแบบนี้ก็ย่อมตกใจและเข้าใจเช่นนั้น

แล้วแบบนี้จะตัดสินยังไง
ผมว่าถ้าหากได้ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ก็จะช่วยเป็นหลักฐานได้อย่างดี ถ้ามีรอยแตกร้าวของกระดูกtemporal bone ก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรอีก

ค่าใช้จ่ายเป็นหลายแสนครูไม่คิดจะช่วยเหลือหรือไง
เท่าที่ทราบ ด้วยอารามที่ครูก็ตกใจว่าตัวเองทำผิด เห็นว่าจ่ายค่ารักษาด้วยเงินตัวเองไปแล้ว4หมื่น แต่ทางญาติเด็กไปคุยกับรพ.เอกชนแห่งหนึ่งแล้วพูดเรื่องผ่าตัด เลยได้ตัวเลขค่าผ่าตัดมาเป็นหลายแสน ครูก็ว่าไม่มีปัญญาให้ขนาดนั้นอย่างมากก็ให้ได้8หมื่น แล้วก็เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต

แค่นั่งดูหน้าทีวีก็พูดเป็นวรรคเป็นเวรได้เลยเหรอ
ด้วยตรรกะเดียวกันครับ คนที่ด่าครูเป็นวรรคเป็นเวรก็แค่ดูจากหน้าทีวีเช่นกัน ดังนั้นผมจึงขอแสดงความเห็นและข้อมูลของผมบ้าง

หมอใหญ่ที่ยันฮีก็แถลงแล้วยังจะเถียงอีก
ผมก็มีสิทธิแสดงเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยนี่ครับ

*****ยังไงเขาก็ผิดที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์******
ผมก็ย้ำอีกทีว่าเรื่องควบคุมอารมณ์ผมไม่เถียง แต่ผิดแค่ไหนก็ควรโดนลงโทษแค่นั้น ถ้าสมมติว่าหน้าเบี้ยวไม่เกี่ยวกับครูก็ไม่ควรต้องไปรับภาระค่ารักษา แล้วอีกประการ แม้จะยืนยันเอาผิดในโทษฐานอื่น แต่เวลาเราพิจารณาโดยเรายังมีอารมณ์โกรธเกลียดสงสารในเรื่องหน้าเบี้ยวมาครอบงำในใจเรา เราจะสามารถพิจารณาโทษฐานอื่นได้อย่างเป็นธรรมจริงๆหรือเปล่า

แล้วกรณีนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยเหรอที่จะเกิดจากการปาแก้ว
ในโลกแห่งความจริง ไม่มีหมอคนไหนกล้าพูดว่า “เป็นไปได้แน่ๆชัวร์100%” “ไม่มีทางแน่นอนเอาหัวเป็นประกัน” “ใช่แน่ๆรับรองได้ไม่มีทางผิดพลาด” คุณจะไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากหมอหรอกครับ  
ผมคิดไม่ออกจริงๆว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง  แต่คิดว่าโรคbellมันเป็นไปได้มากกว่า

แล้วงั้น ทำไมหมอที่รักษาไม่พูดไปเลยว่าไม่ได้เกิดจากแก้วกาแฟ
ผมไม่อาจก้าวล่วงความคิดของแพทย์ท่านอื่นได้

ถ้าเป็นลูกคุณโดนจะทำยังไง
ถ้าเป็นลูกผม ผมก็ไปหาข้อมูลแล้วก็พิจารณาไปตามความถูกต้อง ไม่ว่าเราจะโดนอะไรก็ยังต้องมีสติ ยึดมั่นหลักความจริง ไม่ใช่ว่าโดนเองแล้วจะมีสิทธิ์ใช้แต่อารมณ์ความรู้สึกมาตัดสิน ถ้าครูผิดจริงก็เอาเรื่องครู แต่ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด จะเป็นลูกใครมันก็ต้องอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ

เดี๋ยวเขาก็สืบสวนได้ความจริงเองแหละ
ตอนนี้ยังไม่ตัดสินแต่ครูโดนขนาดนี้ ล่าสุดในข่าวเห็นบอกตำรวจเรียกตัวไปสอบปากคำ ถ้าโดนคดีอาญาชีวิตจะเป็นยังไง ขึ้นโรงขึ้นศาล หน้าที่การงาน โดนหน่วยงานสอบสวน โดนย้าย เสียเงินเป็นแสน(ด้วยฐานะของครูมัธยมตจว.) เข้าไปดูในเฟสโรงเรียนมีคนด่าหยาบๆคายๆ หารูปหาที่อยู่มาประจานมารุมด่า ผมเห็นคอมเม้นนึงเขียนว่า “ไอ้ศัดนรค กรูอยากกระทืบหน้าเมิงมาก อย่าให้กรูเจอตัวนะ”  “ถ้าเมิงทำกับลูกกรู กรูคงไม่ไปขอค่ารักษานะ กรูจะเอาลูกตะกั่วไปใส่หัวเมิง” อะไรประมาณนี้

ถ้าสมมติว่าเรื่องหน้าเบี้ยวไม่เกี่ยวกับครู คุณต้องวางความรู้สึกสงสารเด็ก+โกรธแค้นครู ทิ้งไปก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาโทษเรื่องไม่ควบคุมอารมณ์แล้วปาข้าวของโดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ความผิดอันนี้มีจริงแต่มันมากมายแค่ไหน ต้องลงโทษแค่ไหน ตอนนี้ครูคนนี้โดนสั่งย้าย โดนตั้งกรรมการสอบ โดนตำรวจเรียกไปสอบปากคำ โดนเอารูปมาเผยแพร่ให้คนด่าหยาบๆคายๆ ลูกเมียเขาจะโดนอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้เขาสมควรโดนจริงเหรอ ถ้าสมควรโดนแปลว่า กรณีอื่น เวลามนุษย์เราทำงานแล้วเครียดจนเกิดเหตุการณ์เท่านี้ก็ต้องโดนขนาดนี้เช่นกันใช่มั้ย  ***ย้ำ***ทิ้งเรื่องหน้าเบี้ยวออกไปก่อน อย่าเพิ่งให้มันมาครอบงำจิตใจ สังคมต้องตั้งสติกว่านี้ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
เอาว่าสำหรับอาการชัดเจนว่าเป็น facial nerve paralysis
ซึ่งสาเหตุกรณีนี้พยายามจะแยกว่าเกิดจาก
1 การปา ขอเรียกว่าจาก trauma( การบาดเจ็บ )
หรือเป็นจาก
2 Bell palsy ที่บังเอิญมาเกิดร่วมกัน ( อาจเกิดจากไวรัสหรือไม่ทราบสาเหตุอื่นที่ไม่ทราบแน่ชัด ที่ไม่ได้เกิดจาก trauma )
ผมว่ากรณีนี้อย่าเพิ่งไปฟันธงเลยครับว่าเกิดจากอะไรแน่
เพราะข่าวที่ได้มาแต่ละแหล่งบางทีมันก็ไม่ตรงกันอยู่
อย่างข่าวที่ออกมาตอนแรกเลยว่าโดนคิ้ว
อันนี้ไม่น่าใช่เลย เพราะตำแหน่งนั้นควรจะโดนเส้นประสาทสาขาแถวที่มีผลต่อการหลับตาเท่านั้น ไม่น่ามีผลถึงปาก
แต่ข่าวตอนหลังก็บอกว่าโดนแถวกกหู ซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นจุดที่เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงหน้า ( facial nerve ) มันรวมกันก่อนแตกแขนง
ซึ่งถ้าโดนบริเวณนี้มันก็มีอาการอย่างนี้ได้
โดนแก้วอะไรปา
ข่าวมีทั้งแก้วเซรามิค แก้วพลาสติก ทับเปอร์แวร์ เมลามีน
ก็ยังงงอยู่ว่าโดนอะไร
เท่าที่ฟังสัมภาษณ์
เด็กบอกว่าเซรามิค
ผอ.บอกทับเปอร์แวร์ มีพยานเห็นเหตุการณ์ยืนยังด้วย
ถามน้อง น้องบอกว่าปาห่างไป 3-4 เมตรได้มั๊ง
แล้วพิธีการถามว่าแก้วแตกไหม น้องบอกเองว่าไม่แตก ( ซึ่งมันก็แปลกสำหรับเซรามิคที่จะไม่แตก )
อาการของโรคไม่ว่าจะเกิดจาก trauma หรือ Bell palsy เมื่อมันมีผลต่อ facial nerve มันก็แสดงอาการเหมือนๆกัน
มันอาจจะต้องแยกจากประวัติ การติดตามอาการ
ตรงนี้มันก็มีที่ขัดๆกันอยู่บ้างครับ
อาการของ facial nerve paralysis พวกที่เป็นไม่มาก
ผ่านมา 1 เดือนมันน่าจะดีขึ้นบ้างแม้จะยังมีอาการ
ถ้าไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อยก็น่าจะบ่งว่าอาการรุนแรง
ถ้าเป็น Bell palsy ที่บังเอิญเกิด
อาการก็เป็นแบบนี้ได้อยู่
แต่ปกติแล้วในคนอายุน้อย ไม่มีโรคประจำตัว การพยากรณ์โรคมักจะดี
ราว 85% หายเป็นปกติ
10% ดีขึ้น แต่ยังหลงเหลือความผิดปกติเล็กน้อย
มีแค่ 5% ที่จะไม่ดีขึ้น เหลือความผิดปกติที่ยังรุนแรงอยู่
จุดที่จะขัดกันกับการที่เป็น Bell palsy คือ
ความบังเอิญที่มันมาเกิดหลังจากมีประวัติ trauma ในเวลาประมาณ 1 วันหรืออาจจะไม่ถึงวัน
( ถ้าเป็น Bell จริงถือว่าบังเอิญมาก แต่ไม่ถึงกับตัดความเป็นไปได้ออกได้ทั้งหมด )
กับประวัติที่ผ่านมา 1 เดือนไม่ดีขึ้นเลย
( แต่จริงๆก็ไม่รู้ว่าที่จริงดีขึ้นบ้างหรือไม่
เพราะถึงดีขึ้นบ้างแต่การที่ยังมีอาการ ไม่ได้หายสนิทในเวลาเท่านี้ไม่ได้แปลก )
ส่วนถ้าจะเกิดจาก trauma
ถ้าปาแล้วไม่กี่ชั่วโมงเกิดเลยก็น่าจะเกิดจากสาเหตุนี้ค่อนข้างแน่
ความรุนแรงของการปาก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วย
อย่างที่ว่า แก้วทับเปอร์แวร์หรือเมลามีน กับเซรามิคนำ้หนักมันต่างกัน
มันก็น่าจะมีผลต่อความแรงของการถูกปาบ้าง
นี่เด็กก็บอกว่าแก้วไม่แตกอีก มันก็เลยบอกยากว่าเป็นเซรามิคจริงไหม
ฝ่ายผอ.ก็ว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์บอกว่าไม่ใช่เซรามิค
เท่าที่เคยอ่านเจอเล่นๆ
เคยมีรายงานเรื่อง facial paralysis จาก trauma
รายงานนั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากอุบัติเหตุจราจร
มีบางส่วนจากการตกจากที่สูง
อันนั้นส่วนใหญ่ 9 ใน 10 มีการแตกของกะโหลกศรีษะ
แต่มี 1 ใน 10 ที่ไม่มีการแตกก็ได้เหมือนกันแต่เป็นส่วนน้อย
ซึ่งดูในข่าวปณ.3 หรืออะไรเนี่ยเมื่อวาน
ที่ผอ.ยันฮีบอก บอกว่าเท่าที่ตรวจไม่น่ามีการแตกของกะโหลกศีรษะ
( ซึ่งมันก็ยังเป็นไปได้ แต่น้อยกว่าพวกที่กะโหลกมีการแตก )
แต่ก็ยังไม่ได้ตรวจทางรังสียืนยันนะครับ
ตัวผอ.รพ.เหมือนจะฟันธงไปแล้วว่าน่าจะเกิดจาก trauma เพราะมีประวัติ
ส่วนผอ.ฝ่ายการแพทย์ยังไม่ฟันธงนะครับ
เห็นบอกว่าขอเวลาตรวจก่อน ถ้าฟังไม่ผิดน่าจะราวๆ 3 วัน
และบอกด้วยว่าเกิดจาก trauma ก็ได้ หรืออาจจะจากสาเหตุอื่นก็ได้ ให้รอให้ตรวจก่อน(ผมเห็นด้วยกับผอ.ฝ่ายการแพทย์)
( คห.หมอรพ.เดียวกันยังไม่ได้เหมือนกันเป๊ะนะครับ )
ถ้าเกิดจาก trauma
รายที่รุนแรงอาการจะเกิดเร็ว
ยิ่งถ้าเป็นพวกฉีกขาดอันนี้มักจะมีอาการเลย
แต่ที่ delay เกิดหลังอุบัติเหตุภายใน 1-10 วันก็ได้
ส่วนใหญ่จะเป็นจากเนื่อเยื่อรอบๆบวมหรือเส้นประสาทบวมเกิด entrapment
ซึ่งกรณีนี้เรื่องระยะเวลาก็ไม่ขัดแย้ง
การที่มามีอาการเช้าอีกวัน
ถ้าเป็นจาก trauma น่าจะมีการพยากรณ์โรคที่ดี
เพราะเส้นประสาทไม่น่าจะถึงกับฉีกขาด
น่าจะรักษาได้
ถ้าใช้ยาไม่ดีขึ้นพวกนี้ก็มีการผ่าตัดไปเพื่อลดการรัดเส้นประสาท
หรือเชื่อมต่อเส้นประสาทก็มี
คิดว่าน้องน่าจะดีขึ้นได้

คห.ส่วนตัว ( ห้ามนำไปอ้างอิงนะครับ )
เอนเอียงไปทาง trauma มากกว่า
แต่ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ของการบังเอิญมาเกิด Bell palsy หลัง trauma โดยที่ไม่เกี่ยวกันได้เด็ดขาดนะครับ
ยังไงก็ควรรอผลการตรวจ
ซึ่งอาจจะตรวจพวก MRI ดูว่ามีการแตกของกะโหลกหรือเส้นประสาทยังดีไหม
ร่วมกับการตรวจพวก electroneuronography ซึ่งจะช่วยบอกว่าเส้นประสาทขาดไหม หรือการนำเส้นประสาทเหลือกี่เปอร์เซ็นต์เพื่อใช้บอกการพยากรณ์โรคและใช้ติดตามการรักษา
กรณีนี้ถ้าตรวจพบว่ามีการฉีกขาดของเส้นประสาทมีการฉีกขาด
ก็ยืนยันได้ว่าเกิดจากการถูกปา
แต่ถ้าไม่มีการฉีกขาด ( ซึ่งมีโอกาสจะออกมาแบบนี้มากกว่า )
อันนี้จะแยกยากละว่าเกิดจากอะไรแน่

ปล.0 การที่ครูออกมายอมรับผิดว่าเป็นคนปานั่นไม่ได้หมายความว่าสาเหตุมันต้องเกิดจากการปานะครับ
ตัวคนปาเองก็ไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์
เจ้าตัวก็คงคิดว่าเป็นจากตัวเองปาแน่นอนนั่นแหละครับ
ส่วนในด้านวิชาการยังคิดว่าเป็นได้ทั้ง 2 ทาง
แม้จะเอนเอียงไปทางจาก trauma มากกว่าก็ตาม
อย่างไรก็ตาม อยากให้วิจารณ์กันในแง่วิชาการกันดีๆ
หรือจะเอาความรู้สึกบ้างก็ไม่ว่าอะไร
แต่ขออย่าถึงกับแขวะกันหรือประชดประชันกันมากเลยครับ
หลังๆผมเองก็รู้สึกว่าห้องสวนลุมนี้มันไม่ค่อยน่าอยู่
อยู่ห้องกล้องรู้สึกสบายใจกว่า
อีกหน่อยเบื่อมากๆอาจจะไม่ค่อยเข้ามาตอบอะไรแล้วครับ

ปล.1 อย่าเชื่อผมมาก ผมเดา
ปล.2 ไม่ต้องถามหรือแขวะนะครับว่าผมทำงานอะไร เป็นหมอเหรอ
บอกเลยตรงนี้ว่าเป็นเด็กซักรีด ที่ชอบถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกครับ

*แก้ไขคำที่พิมพ์ผิดหน่อยครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาสังคม สุขภาพกาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่