====================
ขอบ้าสักวันเถอะคนดี...
====================
คุณจะเรียกมันว่าโรงพยาบาลโรคจิต สถาบันวิเคราะห์ทางจิต หรือโรงพยาบาลบ้าก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเรียกอะไร สำหรับผมแล้วมันเท่พอกัน และมันก็เป็นศูนย์รวมคนมีอาการทางประสาทวิปริตผิดเพี้ยนเคลื่อนคลาดอยู่ดี ผมคิดว่าแม้แต่พวกหมอ นางพยาบาล คนงาน ทุกๆ คน จะต้องได้รับเชื้อบ้าไม่มากก็น้อย มันก็เหมือนกับโรคติดต่อชนิดหนึ่งนั่นล่ะครับ เพียงแต่มันเป็นการติดต่อทางความรู้สึกไม่ใช่ทางจุลินทรีย์หรือไวรัสซอมบี้
หมายถึงว่าถ้าคุณอยู่กับคนบ้า ผมบอกได้เลยว่า โอกาสที่คุณจะบ้า มีมากกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน ทฤษฏีของผมคือ ถ้าคนบ้าและคนดีอยู่ด้วยกัน คนดีจะมีโอกาสบ้าไปด้วย แต่คนบ้าจะมีโอกาสดียาก ทำไมน่ะหรือ ผมคิดว่ามันติดต่อกันได้ เช่นถ้าคุณอยู่ใกล้คนเครียด คุณก็อาจเครียดตามไปด้วย อยู่ใกล้คนอารมณ์ดีคุณจะอารมณ์ดีไปด้วย อยู่ใกล้คนบ้า คุณอาจพาลบ้าตามไปด้วย ผมเชื่อของผมแบบนี้นะครับ
ผมยังมองไกลไปถึงว่า วันหนึ่งโรคติดต่อทางจิตจะพัฒนาไปจนถึงระดับทางกายภาพ (แค่นี้คุณก็เริ่มมองเห็นอัจฉริยภาพอันล้นเอ่อของผมแล้วไหมล่ะ) หมายถึงว่าถ้าคุณอยู่ใกล้คนหน้าตาดี คุณก็จะค่อยๆซึมซับความหน้าตาดีตามไปด้วย เพราะความขี้เหร่ของคุณจะดูดกลืนความหล่อความสวยของคนข้างกาย ในขณะที่คนหน้าตาดีจะสูญเสียความหล่อความสวยไปทีละน้อย แน่ล่ะ...มันเป็นฝันร้ายของคนหน้าตาดี...ที่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไม่คิดชีวิตจนแทบไม่มีแผ่นดินรองรับ อยากหล่ออยากสวยดีนัก...สม.....มาถึงตรงนี้คุณคงสงสัยว่าเจ้าของบันทึกนี้คงมีอคติกับคนหน้าตาดีอย่างแน่นอน มันก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมพูดถึงทางวิชาการมากกว่า
เห็นไหม...ผมพูดแบบนี้ คุณก็มองผมแปลกๆ แล้วไหมล่ะ แต่ไม่ต้องตกใจเพราะผมมีภูมิคุ้นกันความบ้าตั้งนานแล้ว เพราะปรัชญาของผมคือ “บ้าวันละนิด จิตแจ่มใส” ทำให้จิตใจเหมือนถูกฉีดวัคซีนกันบ้าไว้นั่นเอง ทุกวันตอนเช้าผมจะออกกำลังจิต ด้วยการ “ฝีกทำบ้า” ประมาณครึ่งชั่วโมง อย่างเช่น จู่ๆก็หัวเราะแบบไม่มีเหตุผล หรือนั่งคุยกับหมอนข้างที่มักจะหาเรื่องงอนง้อบ่อยๆ คุณเองก็ควรฝึกการทำบ้าเสียบ้างก็จะเป็นการดี โยนทิ้งไปเถอะกับการกับวางมาดแบบคนไร้บ้า..ก็แหม...คนเราถ้าไม่รู้จักบ้าก้คงเหมือนคนไม่ร้จักความสวยงามของโลก
นั่นเองเป็นวาสนาของผมแท้ๆที่มีโอกาส ได้รับเลือกให้มาชมนกชมไม้ศึกษาดูงานในสถาบันบำบัดโรคจิต มาดูคนบ้าให้เจริญหูเจริญตาหรือเพื่อบรรลุอะไรสักอย่าง...
“คุณได้รับการคัดเลือก เพราะคุณมีสุขภาพจิตที่มีภูมิคุ้มกันความบ้าสูง”
พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งมารับตัวผมที่บ้านบอกอย่างนั้น แต่ผมเห็นแววตาเป็นประกายของพวกเขา เหมือนมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ แต่ยังมันเถอะ...เงินจำนวนหนึ่งที่ผมได้รับจากพวกเขาทำให้ผมไม่อยากสนใจถามอะไร ว่าทำไมอยู่ดีๆจ้างคนดีให้ไปดูคนบ้า...
มันเป็นสถานที่น่าจะพาคนรักและครอบครัวแสนรักมาเดินเล่นเป็นอย่างมาก.. คุณจะได้สัมผัสถึงความน่ารักมีเสน่ห์แบบบ้าน่ารักน่าหยิกของคนบ้าๆ แล้วคุณจะรู้ว่าคนบ้าบางคนก็น่ารักได้..และไม่ได้โง่อย่างที่หลายคน คิดความบ้าของคนเราละเอียดอ่อนและลึกซึ้งกว่าสรรพสัตว์ ซึ่งน่าเห็นใจว่าพวกสัตว์ที่ไม่สามรถทะลุขีดจำกัดของความบ้าได้ พวกมันแค่บ้าตามผลของไวรัสเท่านั้น แต่คนเราบ้ามาจากส่วนที่ลึกของจิตใจ โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อโรคสายพันธุ์ใด ก้าวข้ามขีดจำกัดของเหตุผลและตรรกศาสตร์โดยสิ้นเชิง...
พวกคุณน่าจะมาหัดบ้าบ้างนะครับ ลองดูเล่นๆก็ได้ไม่เสียหาย...ไม่มีใครว่าอะไรถ้าคิดจะบ้าดูสักพัก ติดใจแล้วค่อยบ้าถาวรก็ได้ คุณจะก้าวสู่อีกมิติของชีวิตอันพิสดาร คุณอาจจะเริ่มจากการบ้าทีละนิดก็ได้เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวตื่นตกใจ พอบรรลุขั้นสุดยอดค่อยชวนคนอื่นมาบ้าด้วย จนถึงระดับบ้าไร้เงา บ้าจนไม่บ้า
อาจจะเริ่มจากนั่งอยู่ดีๆแล้วคุณก็ฝึกยิ้มให้กับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ หรือหมาแมว อ้อ...ไม่ต้องห่วงครับ สัตว์เลี้ยงจะไม่มองว่าคุณผิดปกติเด็ดขาด ไม่ว่าคุณจะเป็นบ้าขนาดไหนก็ตาม คนเราเสียอีกที่ยังไม่เข้าถึง
เจ้าหน้าที่นำทางดูงานชมสถานที่ เป็นพยาบาลสาวสวย จนไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาทำงานอยู่ที่นี่ ขนาดยังไม่บ้าเธอก็ดูดี ถ้าบ้าจะขนาดไหนเธอพาผมไปดูบริเวณสนามหญ้ากว้างหน้าตึกอย่างเป็นกันเอง
"คนไข้พวกนี้มีอาการและความคิดแปลกๆ" เธอบอกเสียงหวานสวย ชนิดที่ฟังแล้วอยากจะบ้ารักให้รู้แล้วรู้รอด
"คุณอย่าตกใจนะคะ....พวกเขาไม่มีอันตราย ถึงปล่อยออกมานอกตึกได้"
พูดจบเธอก็หันไปยิ้มให้คนบ้าคนหนึ่ง ซึ่งกำลังโบกมือมาจากชั้นสามของตึกใหญ่ ตะโกนลงมาแซวจีบ เห็นแล้วอยากลอยตัวขึ้นไปเตะปากคนบ้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล นั่นมันแกล้งบ้าอย่างมีแผนเพื่อจีบนางพยาบาลหรือเปล่า
"อย่างเช่นคนนี้" เธอไม่สนใจคนบ้าคนนั้น หันมาชี้ไปยังชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งเขียนนั่งเก้าอี้หินอ่อนจดอะไรอยู่อย่างเคร่งเครียด ผมเผ้ารุงรังเหมือนไอน์สไตน์เพิ่งตื่นนอน
“เขาคิดว่าเขามีไอคิว สองหมื่น เขาฉลาดขนาดสามารถบวกเลข 1 + 1 เป็น 5 ได้ โดยที่บวกไม่ผิด”
1 + 1 = 5 ได้ โดยบวกไม่ผิด.....นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ผมหันมองหน้าพยาบาลเพื่อจะถามให้แน่ใจ แต่จู่ๆคนไข้คนนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาตะครุบข้อมือผมแน่นพลางร้องละล่ำละลักด้วยสีหน้าน้ำเสียงดีใจสุดขีด แทบฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณไม่เชื่อเหรอว่าผมบวกเลขได้...อย่าว่าแต่ 2 + 2 = 5 เลย 2 + 1 ได้ 4 ผมยังทำได้”
“เชื่อแล้วครับ...” ผมรีบเอออห่อหมก พยายามแกะมือคนไข้ทางจิตออก แต่ชายบ้าคนนั้นดูจริงจังมาก เขาตะคอกลั่นว่า
“จะมาเชื่ออะไรง่ายๆแบบนี้ ก็บ้าล่ะสิ..กาลามสูตร ข้อเก้า บอกว่า มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ ผมเป็นคนบ้าคุณยังจะมารีบเชื่อ มันยิ่งกว่าบ้าแล้ว ดูนี่….อ่านดูก่อนแล้วจึงตัดสินใจ”
พูดจบเขาก็ส่งสมุดจดบันทึกให้ผม ซึ่งจำใจมองดูอย่างเสียไม่ได้ แต่พอมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สมุดบันทึกเล่มนั้นเขียนสมการง่ายๆแต่สวยงามทรงคุณค่า เพื่อพิสูจน์ให้เห็นอย่างง่ายๆว่า 2 + 1 = 4 ได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่สุดอย่างปราศจากเล่ห์เหลี่ยมใดๆทั้งสิ้น...เป็นความจริงที่สุดราวกับ 1 +1 = 2 อย่างใดอย่างนั้น ถ้าคุณได้อ่านคุณก็จะเข้าใจง่ายๆทันที
ผมขนลุกซู่...นี่มันเป็นการค้นพบแปลกใหม่ขั้นสุดยอดแห่งอัจฉริยภาพโดยแท้ คนบ้าคนนี้สามารถทำในสิ่งที่คนปรกติทำไม่ได้และไม่มีทางทำได้ไม่ว่าจะเป็นอนาคตอีกนานเท่าไรก็ตาม ให้ตายเถอะโรบินสัน บิ๊กซี....อย่างนี้การค้นพบทฤษฏีเอกภาพของจักรวาลก็อยู่แค่เอื้อมราวกับกลศาสตร์คลาสิกของนิวตันผสมกับทฤษฏีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ก่อนละเลงเข้ากับฟิสิกส์ควอนตัม
ขณะยืนมีนงง สมองลั่นเปรี้ยะ หูยังแว่วเสียงชายคนนั้นพูดต่อว่า
“นี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นเพราะเมื่อเช้านี่เอง ผมสามารถคิดทฤษฎีเอกภาพที่ไอน์สไตน์พยายามทำมาทั้งชีวิตยังทำไม่ได้ แต่ผมค้นพบมันแล้ว ผมว่าคุณจะเข้าใจเพราะผมเขียนด้วยสมการง่ายๆ ที่ดูแล้วแทบจะเข้าใจในทันทีทันใด”
นั่นไง...นึกแล้วไม่มีผิด
ผมพลิกดูบันทึกหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว คุณพระช่วย....ชายคนนี้พูดถูก.... เขาสามารถรวมแรงพื้นฐานในธรรมชาติทั้งสี่แรงและอธิบายมันด้วยทฤษฏีง่ายๆเพียงทฤษฏีเดียว...นี่เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และผมก็เข้าใจทฤษฏีเอกภาพนั้นในเวลาอันรวดเร็ว ความปิติตื่นเต้นแทบระเบิดร่างให้แตกเป็นชิ้นๆ
“ทำไมคุณไม่บอกคนอื่น” ผมถามเสียงสั่น ชายคนนั้นหัวเราะแบบคนบ้า แล้วตอบกว่า
“บอกแล้ว....แต่ไม่มีใครสนใจเพราะคิดว่าผมบ้า...ก้ใครจะสนใจงานของคนบ้าล่ะครับ... คุณเก็บบันทึกไว้เถอะ ผมเขียนใหม่ได้ เรื่องง่ายๆนี้ คุณจะเอาไปประกาศว่าเป็นผลงานคุณก็ได้ ผมไม่หวง คนบ้าอย่างผมไม่ยึดติด”
โห...นายแน่มาก...คำพูดนั้นทำให้น้ำตาซึม คนบ้าคนนี้นอกจากบ้าขั้นอัจฉริยมหาเทพ ยังน้ำใจกว้างใหญ่ราวการขยายตัวของจักรวาล นางพยาบาลสาวเดินมาชวนผมเดินต่อไปทั้งที่อยากคุยต่อ ชายบ้าคนนั้นยิ้มแบบบ้าๆ แล้วหันหลังเดินแบบบ้าๆ เข้าไปในตัวตึกเหมือนหมดภารกิจแล้ว
เดินไปไม่ถึงห้าเมตรก็เจอชายคนหนึ่งนั่งบนพื้นหญ้า ทำท่าเหมือนกำลังพูดกับใครหรืออะไรบางอย่างบนพื้น นางพยาบาลสาวยิ้มแล้วอธิบายว่า
"เขาคิดว่าเขาเข้าใจและสื่อสารกับพวกแมลงทุกชนิดรู้เรื่อง บางวันพวกเขาคุยกันเกี่ยวกับปรัชญา ดนตรีไซคลีดิลิค หรือซิมโพนี่หมายเลข 4 ของบิโธเฟน หมอลำซิ่ง บางครั้งพวกเขาถกกันถึงเรื่องบทเพลงของ Pink Floyd โดยมีพวกแมลงพากันรายล้อมแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างเข้มข้นจริงจัง "
ผมอ้าปากหวอ
"คุณอย่าดูถูกพวกเขาเชียว" เธอว่าต่อไปเรื่อยๆ น้ำเสียงมีแววชื่นชม
"พวกเขาเป็นคนพิเศษ คุณคิดดู อย่างคุณมีปัญญาคุยกับจิ้งจกข้างฝาบ้านรู้เรื่องหรือเปล่า มีปัญญาคุยกับน้องหมาแถวบ้านได้ไหม ไม่ใช่ไหมล่ะ...แต่พวกเขาคุยกันรู้เรื่องเป็นอย่างดี สุดยอดไหมคะ"
ผมอ้าปากหวอเป็นสองเท่า หลุดปากถามแบบไม่รู้ตัวว่า
“คุณเชื่อเหรอครับ เรื่องแบบนี้”
เธอส่ายหน้าบอกว่า
“ไม่เชื่อค่ะ”
“ทั้งที่คุณเห็นแบบนั้น...” ผมเริ่มหมดความเชื่อมั่นในความสวยงามของมนุษยชาติ
“เห็นแต่ไม่เชื่อ”
“ทำไมครับ”
“เพราะเขาเป็นคนบ้านี่คะ” เธอตอบพลางยิ้มหวาน ผมอ้าปากหวอกับคำพูดของเธอ แรกๆ ก็ฟังดูดีแต่ลงท้ายแบบไม่เป็นท่า เธอไม่เชื่อเพราะเหตุผลเดียวว่าเขาเป็นคนบ้าเท่านั้น ยัยไม่บ้าเอ้ย..... เสียแรงสวยเสียเปล่า
(บ้าต่อครับ)
ขอบ้าสักวันเถอะคนดี...
ขอบ้าสักวันเถอะคนดี...
====================
คุณจะเรียกมันว่าโรงพยาบาลโรคจิต สถาบันวิเคราะห์ทางจิต หรือโรงพยาบาลบ้าก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเรียกอะไร สำหรับผมแล้วมันเท่พอกัน และมันก็เป็นศูนย์รวมคนมีอาการทางประสาทวิปริตผิดเพี้ยนเคลื่อนคลาดอยู่ดี ผมคิดว่าแม้แต่พวกหมอ นางพยาบาล คนงาน ทุกๆ คน จะต้องได้รับเชื้อบ้าไม่มากก็น้อย มันก็เหมือนกับโรคติดต่อชนิดหนึ่งนั่นล่ะครับ เพียงแต่มันเป็นการติดต่อทางความรู้สึกไม่ใช่ทางจุลินทรีย์หรือไวรัสซอมบี้
หมายถึงว่าถ้าคุณอยู่กับคนบ้า ผมบอกได้เลยว่า โอกาสที่คุณจะบ้า มีมากกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน ทฤษฏีของผมคือ ถ้าคนบ้าและคนดีอยู่ด้วยกัน คนดีจะมีโอกาสบ้าไปด้วย แต่คนบ้าจะมีโอกาสดียาก ทำไมน่ะหรือ ผมคิดว่ามันติดต่อกันได้ เช่นถ้าคุณอยู่ใกล้คนเครียด คุณก็อาจเครียดตามไปด้วย อยู่ใกล้คนอารมณ์ดีคุณจะอารมณ์ดีไปด้วย อยู่ใกล้คนบ้า คุณอาจพาลบ้าตามไปด้วย ผมเชื่อของผมแบบนี้นะครับ
ผมยังมองไกลไปถึงว่า วันหนึ่งโรคติดต่อทางจิตจะพัฒนาไปจนถึงระดับทางกายภาพ (แค่นี้คุณก็เริ่มมองเห็นอัจฉริยภาพอันล้นเอ่อของผมแล้วไหมล่ะ) หมายถึงว่าถ้าคุณอยู่ใกล้คนหน้าตาดี คุณก็จะค่อยๆซึมซับความหน้าตาดีตามไปด้วย เพราะความขี้เหร่ของคุณจะดูดกลืนความหล่อความสวยของคนข้างกาย ในขณะที่คนหน้าตาดีจะสูญเสียความหล่อความสวยไปทีละน้อย แน่ล่ะ...มันเป็นฝันร้ายของคนหน้าตาดี...ที่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไม่คิดชีวิตจนแทบไม่มีแผ่นดินรองรับ อยากหล่ออยากสวยดีนัก...สม.....มาถึงตรงนี้คุณคงสงสัยว่าเจ้าของบันทึกนี้คงมีอคติกับคนหน้าตาดีอย่างแน่นอน มันก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมพูดถึงทางวิชาการมากกว่า
เห็นไหม...ผมพูดแบบนี้ คุณก็มองผมแปลกๆ แล้วไหมล่ะ แต่ไม่ต้องตกใจเพราะผมมีภูมิคุ้นกันความบ้าตั้งนานแล้ว เพราะปรัชญาของผมคือ “บ้าวันละนิด จิตแจ่มใส” ทำให้จิตใจเหมือนถูกฉีดวัคซีนกันบ้าไว้นั่นเอง ทุกวันตอนเช้าผมจะออกกำลังจิต ด้วยการ “ฝีกทำบ้า” ประมาณครึ่งชั่วโมง อย่างเช่น จู่ๆก็หัวเราะแบบไม่มีเหตุผล หรือนั่งคุยกับหมอนข้างที่มักจะหาเรื่องงอนง้อบ่อยๆ คุณเองก็ควรฝึกการทำบ้าเสียบ้างก็จะเป็นการดี โยนทิ้งไปเถอะกับการกับวางมาดแบบคนไร้บ้า..ก็แหม...คนเราถ้าไม่รู้จักบ้าก้คงเหมือนคนไม่ร้จักความสวยงามของโลก
นั่นเองเป็นวาสนาของผมแท้ๆที่มีโอกาส ได้รับเลือกให้มาชมนกชมไม้ศึกษาดูงานในสถาบันบำบัดโรคจิต มาดูคนบ้าให้เจริญหูเจริญตาหรือเพื่อบรรลุอะไรสักอย่าง...
“คุณได้รับการคัดเลือก เพราะคุณมีสุขภาพจิตที่มีภูมิคุ้มกันความบ้าสูง”
พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งมารับตัวผมที่บ้านบอกอย่างนั้น แต่ผมเห็นแววตาเป็นประกายของพวกเขา เหมือนมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ แต่ยังมันเถอะ...เงินจำนวนหนึ่งที่ผมได้รับจากพวกเขาทำให้ผมไม่อยากสนใจถามอะไร ว่าทำไมอยู่ดีๆจ้างคนดีให้ไปดูคนบ้า...
มันเป็นสถานที่น่าจะพาคนรักและครอบครัวแสนรักมาเดินเล่นเป็นอย่างมาก.. คุณจะได้สัมผัสถึงความน่ารักมีเสน่ห์แบบบ้าน่ารักน่าหยิกของคนบ้าๆ แล้วคุณจะรู้ว่าคนบ้าบางคนก็น่ารักได้..และไม่ได้โง่อย่างที่หลายคน คิดความบ้าของคนเราละเอียดอ่อนและลึกซึ้งกว่าสรรพสัตว์ ซึ่งน่าเห็นใจว่าพวกสัตว์ที่ไม่สามรถทะลุขีดจำกัดของความบ้าได้ พวกมันแค่บ้าตามผลของไวรัสเท่านั้น แต่คนเราบ้ามาจากส่วนที่ลึกของจิตใจ โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อโรคสายพันธุ์ใด ก้าวข้ามขีดจำกัดของเหตุผลและตรรกศาสตร์โดยสิ้นเชิง...
พวกคุณน่าจะมาหัดบ้าบ้างนะครับ ลองดูเล่นๆก็ได้ไม่เสียหาย...ไม่มีใครว่าอะไรถ้าคิดจะบ้าดูสักพัก ติดใจแล้วค่อยบ้าถาวรก็ได้ คุณจะก้าวสู่อีกมิติของชีวิตอันพิสดาร คุณอาจจะเริ่มจากการบ้าทีละนิดก็ได้เพื่อไม่ให้คนในครอบครัวตื่นตกใจ พอบรรลุขั้นสุดยอดค่อยชวนคนอื่นมาบ้าด้วย จนถึงระดับบ้าไร้เงา บ้าจนไม่บ้า
อาจจะเริ่มจากนั่งอยู่ดีๆแล้วคุณก็ฝึกยิ้มให้กับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ หรือหมาแมว อ้อ...ไม่ต้องห่วงครับ สัตว์เลี้ยงจะไม่มองว่าคุณผิดปกติเด็ดขาด ไม่ว่าคุณจะเป็นบ้าขนาดไหนก็ตาม คนเราเสียอีกที่ยังไม่เข้าถึง
เจ้าหน้าที่นำทางดูงานชมสถานที่ เป็นพยาบาลสาวสวย จนไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาทำงานอยู่ที่นี่ ขนาดยังไม่บ้าเธอก็ดูดี ถ้าบ้าจะขนาดไหนเธอพาผมไปดูบริเวณสนามหญ้ากว้างหน้าตึกอย่างเป็นกันเอง
"คนไข้พวกนี้มีอาการและความคิดแปลกๆ" เธอบอกเสียงหวานสวย ชนิดที่ฟังแล้วอยากจะบ้ารักให้รู้แล้วรู้รอด
"คุณอย่าตกใจนะคะ....พวกเขาไม่มีอันตราย ถึงปล่อยออกมานอกตึกได้"
พูดจบเธอก็หันไปยิ้มให้คนบ้าคนหนึ่ง ซึ่งกำลังโบกมือมาจากชั้นสามของตึกใหญ่ ตะโกนลงมาแซวจีบ เห็นแล้วอยากลอยตัวขึ้นไปเตะปากคนบ้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล นั่นมันแกล้งบ้าอย่างมีแผนเพื่อจีบนางพยาบาลหรือเปล่า
"อย่างเช่นคนนี้" เธอไม่สนใจคนบ้าคนนั้น หันมาชี้ไปยังชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งเขียนนั่งเก้าอี้หินอ่อนจดอะไรอยู่อย่างเคร่งเครียด ผมเผ้ารุงรังเหมือนไอน์สไตน์เพิ่งตื่นนอน
“เขาคิดว่าเขามีไอคิว สองหมื่น เขาฉลาดขนาดสามารถบวกเลข 1 + 1 เป็น 5 ได้ โดยที่บวกไม่ผิด”
1 + 1 = 5 ได้ โดยบวกไม่ผิด.....นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ผมหันมองหน้าพยาบาลเพื่อจะถามให้แน่ใจ แต่จู่ๆคนไข้คนนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาตะครุบข้อมือผมแน่นพลางร้องละล่ำละลักด้วยสีหน้าน้ำเสียงดีใจสุดขีด แทบฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณไม่เชื่อเหรอว่าผมบวกเลขได้...อย่าว่าแต่ 2 + 2 = 5 เลย 2 + 1 ได้ 4 ผมยังทำได้”
“เชื่อแล้วครับ...” ผมรีบเอออห่อหมก พยายามแกะมือคนไข้ทางจิตออก แต่ชายบ้าคนนั้นดูจริงจังมาก เขาตะคอกลั่นว่า
“จะมาเชื่ออะไรง่ายๆแบบนี้ ก็บ้าล่ะสิ..กาลามสูตร ข้อเก้า บอกว่า มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ ผมเป็นคนบ้าคุณยังจะมารีบเชื่อ มันยิ่งกว่าบ้าแล้ว ดูนี่….อ่านดูก่อนแล้วจึงตัดสินใจ”
พูดจบเขาก็ส่งสมุดจดบันทึกให้ผม ซึ่งจำใจมองดูอย่างเสียไม่ได้ แต่พอมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง สมุดบันทึกเล่มนั้นเขียนสมการง่ายๆแต่สวยงามทรงคุณค่า เพื่อพิสูจน์ให้เห็นอย่างง่ายๆว่า 2 + 1 = 4 ได้อย่างถูกต้องชัดเจนที่สุดอย่างปราศจากเล่ห์เหลี่ยมใดๆทั้งสิ้น...เป็นความจริงที่สุดราวกับ 1 +1 = 2 อย่างใดอย่างนั้น ถ้าคุณได้อ่านคุณก็จะเข้าใจง่ายๆทันที
ผมขนลุกซู่...นี่มันเป็นการค้นพบแปลกใหม่ขั้นสุดยอดแห่งอัจฉริยภาพโดยแท้ คนบ้าคนนี้สามารถทำในสิ่งที่คนปรกติทำไม่ได้และไม่มีทางทำได้ไม่ว่าจะเป็นอนาคตอีกนานเท่าไรก็ตาม ให้ตายเถอะโรบินสัน บิ๊กซี....อย่างนี้การค้นพบทฤษฏีเอกภาพของจักรวาลก็อยู่แค่เอื้อมราวกับกลศาสตร์คลาสิกของนิวตันผสมกับทฤษฏีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ก่อนละเลงเข้ากับฟิสิกส์ควอนตัม
ขณะยืนมีนงง สมองลั่นเปรี้ยะ หูยังแว่วเสียงชายคนนั้นพูดต่อว่า
“นี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นเพราะเมื่อเช้านี่เอง ผมสามารถคิดทฤษฎีเอกภาพที่ไอน์สไตน์พยายามทำมาทั้งชีวิตยังทำไม่ได้ แต่ผมค้นพบมันแล้ว ผมว่าคุณจะเข้าใจเพราะผมเขียนด้วยสมการง่ายๆ ที่ดูแล้วแทบจะเข้าใจในทันทีทันใด”
นั่นไง...นึกแล้วไม่มีผิด
ผมพลิกดูบันทึกหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว คุณพระช่วย....ชายคนนี้พูดถูก.... เขาสามารถรวมแรงพื้นฐานในธรรมชาติทั้งสี่แรงและอธิบายมันด้วยทฤษฏีง่ายๆเพียงทฤษฏีเดียว...นี่เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และผมก็เข้าใจทฤษฏีเอกภาพนั้นในเวลาอันรวดเร็ว ความปิติตื่นเต้นแทบระเบิดร่างให้แตกเป็นชิ้นๆ
“ทำไมคุณไม่บอกคนอื่น” ผมถามเสียงสั่น ชายคนนั้นหัวเราะแบบคนบ้า แล้วตอบกว่า
“บอกแล้ว....แต่ไม่มีใครสนใจเพราะคิดว่าผมบ้า...ก้ใครจะสนใจงานของคนบ้าล่ะครับ... คุณเก็บบันทึกไว้เถอะ ผมเขียนใหม่ได้ เรื่องง่ายๆนี้ คุณจะเอาไปประกาศว่าเป็นผลงานคุณก็ได้ ผมไม่หวง คนบ้าอย่างผมไม่ยึดติด”
โห...นายแน่มาก...คำพูดนั้นทำให้น้ำตาซึม คนบ้าคนนี้นอกจากบ้าขั้นอัจฉริยมหาเทพ ยังน้ำใจกว้างใหญ่ราวการขยายตัวของจักรวาล นางพยาบาลสาวเดินมาชวนผมเดินต่อไปทั้งที่อยากคุยต่อ ชายบ้าคนนั้นยิ้มแบบบ้าๆ แล้วหันหลังเดินแบบบ้าๆ เข้าไปในตัวตึกเหมือนหมดภารกิจแล้ว
เดินไปไม่ถึงห้าเมตรก็เจอชายคนหนึ่งนั่งบนพื้นหญ้า ทำท่าเหมือนกำลังพูดกับใครหรืออะไรบางอย่างบนพื้น นางพยาบาลสาวยิ้มแล้วอธิบายว่า
"เขาคิดว่าเขาเข้าใจและสื่อสารกับพวกแมลงทุกชนิดรู้เรื่อง บางวันพวกเขาคุยกันเกี่ยวกับปรัชญา ดนตรีไซคลีดิลิค หรือซิมโพนี่หมายเลข 4 ของบิโธเฟน หมอลำซิ่ง บางครั้งพวกเขาถกกันถึงเรื่องบทเพลงของ Pink Floyd โดยมีพวกแมลงพากันรายล้อมแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างเข้มข้นจริงจัง "
ผมอ้าปากหวอ
"คุณอย่าดูถูกพวกเขาเชียว" เธอว่าต่อไปเรื่อยๆ น้ำเสียงมีแววชื่นชม
"พวกเขาเป็นคนพิเศษ คุณคิดดู อย่างคุณมีปัญญาคุยกับจิ้งจกข้างฝาบ้านรู้เรื่องหรือเปล่า มีปัญญาคุยกับน้องหมาแถวบ้านได้ไหม ไม่ใช่ไหมล่ะ...แต่พวกเขาคุยกันรู้เรื่องเป็นอย่างดี สุดยอดไหมคะ"
ผมอ้าปากหวอเป็นสองเท่า หลุดปากถามแบบไม่รู้ตัวว่า
“คุณเชื่อเหรอครับ เรื่องแบบนี้”
เธอส่ายหน้าบอกว่า
“ไม่เชื่อค่ะ”
“ทั้งที่คุณเห็นแบบนั้น...” ผมเริ่มหมดความเชื่อมั่นในความสวยงามของมนุษยชาติ
“เห็นแต่ไม่เชื่อ”
“ทำไมครับ”
“เพราะเขาเป็นคนบ้านี่คะ” เธอตอบพลางยิ้มหวาน ผมอ้าปากหวอกับคำพูดของเธอ แรกๆ ก็ฟังดูดีแต่ลงท้ายแบบไม่เป็นท่า เธอไม่เชื่อเพราะเหตุผลเดียวว่าเขาเป็นคนบ้าเท่านั้น ยัยไม่บ้าเอ้ย..... เสียแรงสวยเสียเปล่า
(บ้าต่อครับ)