หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (35)...ปิดเกมคนชั่ว
พี่พลและพี่น้อยกลับมาอีกรอบพร้อมข้าวของเครื่องใช้ครบทุกอย่าง ในห้องคนไข้มีตู้เย็นเล็ก พี่น้อยกับน้าวิวช่วยกันจัดเก็บน้ำผลไม้
สองกล่องใหญ่เข้าตู้เย็น ส่วนผลไม้ใส่ตะกร้าวางบนตู้ มีกาแฟสำเร็จรูปติดมาเผื่อคนเฝ้าด้วย แล้วทั้งสองคนก็กลับลากลับ หนอยเข้าไปล้างหน้าแปรง
ฟัน ออกมา
“เออ! ดูหน้าตาแจ่มใสขึ้นดี ดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เราต้องเป็นที่พึ่งให้ดวงเนตร ทำหน้าตาให้แจ่มใสเข้าไว้” น้าวิวพูดเป็นเชิงสอน
“ครับผม” หนอยตอบสั้น ๆ ใจยังเป็นห่วงหญิงสาวที่ยังไม่รู้สึกตัว
“แล้วไม่อาบน้ำอีกรอบเหรอ”
“ไม่ล่ะครับ เชิญน้าวิวเถอะ จะได้นอนนี่ก็ดึกแล้วนะครับ”
“จ้ะ ๆ ” อาบน้ำเสร็จสวดมนต์ไหว้พระ แล้วถอดสร้อยคอซึ่งมีพระแขวนอยู่ไปวางไว้ใต้หมอนดวงเนตร หนอยสบตาน้าวิวแทนคำขอบคุณ
ประมาณตีสามพยาบาลเข้ามาปลดสายถุงเลือดออก หนอยเอาเก้าอี้มานั่งทางซ้ายมือ เขาเอามือสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มและกุมมือดวงเนตรไว้
ไม่นานหนอยก็ฟุบหลับไป น้าวิวตื่นประมาณตีห้าครึ่ง เธอมองดูภาพสองคนหลับคู่กันด้วยสายตาอ่อนโยน ‘โชคดีของดวงเนตรที่มีคนรักและเอาใจใส่
อย่างหนอย แต่โชคร้ายสำหรับเธอเองที่มีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวเช่นนั้น ลืมมันซะสำหรับทุกอย่างที่เจ็บปวด เก็บมันไว้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย’ คิดพลาง
ถอนใจยาว ดวงเนตรรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งด้วยความสับสนและตกใจ เธอดึงมือออก หนอยรู้สึกตัว ดวงเนตรมีท่าทางเหมือนยังกลัวอยู่ เธอขยับตัว
ออกห่างหนอย น้าวิวดึงมือหนอยให้ลุกขึ้น และนั่งลงไปแทนจับมือดวงเนตร
“ไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเราตามไปทัน เนตรกำลังฟุบอยู่หน้าประตู มันไม่ทันทำอะไรเนตร หนอยกระทืบมันจนพี่พลต้องไปดึงตัวออกมา” ดวง
เนตรคิดตามและจำได้ว่าเธอร้องขอความช่วยเหลือและสลบไป
พี่น้อยและพี่ศิริมาแต่เช้าพร้อมอาหาร เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวและทำแผล ทุกคนออกไปรอที่ห้องโถง น้าวิวมานั่งใกล้
หนอย
“ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายแบบนี้จะมีอาการกลัวเพศตรงข้าม ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่าเธอจะปรับตัวได้แค่ไหน”
“ครับผมเข้าใจดี” อาหารคนไข้มาส่งแล้วเป็นซุปผักรวมกับขนมปังนิ่ม ๆ
พี่น้อยชงกาแฟให้หนอย “ขอบคุณครับ”
“รอให้ซุปหายร้อน แล้วลองไปป้อนดูถ้าเขายอมก็ดีนะ” เธอพูดด้วยเสียงเบา หนอยนั่งลงข้างเตียง เหมือนดวงเนตรจะขยับตัวห่าง
“เนตรพี่หนอยเองนะ จำได้ไหม” ดวงเนตรจ้องมองครู่ใหญ่และพยักหน้า เขาถือชามซุปป้อน ดวงเนตรยอมแต่โดยดี มีเพียงสายตามอง
หนอยอย่างกลัว ๆ หนอยยิ้มกว้างให้ดวงเนตร ดวงเนตรรู้สึกถึงรอยยิ้มนั้นช่างอบอุ่นนัก
“พี่หนอย” แล้วเธอก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินลงมา
“พี่หนอยคะ เนตรกลัว” หนอยวางชามซุปแล้วกอดดวงเนตรไว้แนบอก ดวงเนตรซุกหน้าลงกับอกเขา เสียงร่ำไห้กับแรงสะอื้นทำให้เขาสัมผัส
ได้ถึงความเจ็บปวดของเธอ
“พี่หนอยจะดูแลเนตรให้ดีกว่านี้ พี่สัญญา” เธอพยักหน้า
“หยุดร้องไห้เถอะไม่มีใครมาทำอะไรดวงเนตรได้อีกแล้ว” เสียงพูดอย่างหนักแน่นและมั่นคง พี่ศิริหยิบกระดาษให้ดวงเนตรเช็ดน้ำตา
“ทานให้หมดก่อนแล้วพี่หนอยจะบอกให้ฟังว่าคุณหมอเขาว่าอย่างไรนะครับ”
“ค่ะ”
พี่น้อยนำเสนอข้าวต้มกับหมูแผ่นเพิ่ม “ขอบคุณค่ะ เนตรอิ่มแล้ว”
“เจ็บที่ริมฝีปากใช่ไหม”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้ก็หายเพราะแผลแห้งดีแล้ว” ทุกคนมองท่าทางเอาใจใส่ของหนอยด้วยสายตาที่มีความสุข น้าวิวถอนใจ รู้สึกดีใจที่ดวงเนตรปรับตัว
กับหนอยได้ดีขึ้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พี่วรรณมากับลุงหมอปกรณ์ ดวงเนตรยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน แม้จะเจ็บระบมไปหมด อีกทั้งแขนที่ใส่เฝือก พี่วรรณ
เข้าไปยืนชิดเตียง
“ทานซุปเหรอ เก่งมากหมดชามเลย”
“พี่วรรณ” ดวงเนตรที่อยู่ในท่านั่งเอนศีระษะเข้าซบพี่วรรณ เสียงพี่วรรณเอ่ย อบอุ่น
“อย่าร้องไห้อีกเลยนะ เดี๋ยวทุกคนจะร้องตามกันหมด เมื่อคืนก็ได้ร้องกันทั่วหน้าพอแล้วนะคะ” ดวงเนตรพยักหน้าเอามือปาดน้ำตาจนแห้ง ลุง
หมอเข้ามาลูบศีรษะเบา ๆ แล้วแกก็บอกอาการทั้งหมดให้ดวงเนตรรู้
“ก่อนเข้ามาลุงเจอคุณหมอแล้ว เขาว่าแผลที่คิ้วและหัวไหล่แห้งดี แขนที่หักก็ไม่น่าห่วงเพราะส่วนที่หักเป็นกระดูกเล็ก ซึ่งมันจะสมานตัวเร็ว
กว่ากระดูกใหญ่ ปัญหาคือตาของหนู ลุงหมอจะขยายม่านตาส่องกล้องดูอีกที่ตอนเก้าโมงเช้านี้”
“เนตรกราบขอบพระคุณลุงหมอที่กรุณามาดูแลเนตร”
“หนูก็เหมือนลูกหลานใช่ใครอื่นนะ”
“ค่ะ”
หลังจากการตรวจเช็กอย่างละเอียด ลุงหมอก็ขึ้นมาพร้อมเอ็กซเรย์
“ตาดวงเนตรดีขึ้นกว่าที่ลุงหมอเป็นห่วง แต่สเตอร์รอยจะให้ต่อวันนี้อีกวันเดียว ยาเม็ดยาวสีน้ำตาลอ่อนต้องกินติดต่อกันจนกว่าหมอจะสั่ง
หยุดเพราะช่วยบำรุงสายตา และการมองเห็นให้ดีขึ้น
“ค่ะ” ข่าวดีของดวงเนตร ดีกว่าตอนที่ถูกนำส่งมาที่โรงพยาบาล ซึ่งเต็มไปด้วยเลือด คิดว่าหนักเสียแล้ว แต่ไม่ ทำให้พี่ ๆ ที่มาอยู่ดูอาการหน้า
ตาเบิกบานเหมือนต้นไม้ได้น้ำฝน
“สาธุคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้หายดี หายไว ๆ จะได้กลับกันซะทีนะคะ” เสียงของพี่น้อยทำให้ทุกคนยิ้มได้ และช่วยให้บรรยากาศโดยรอบดี
ขึ้นมาก
“เนตรยังเจ็บไปทั้งตัวใช่ไหม” พี่หนอยถามอย่างห่วงใย
พี่วรรณนั่งเล่าให้ฟังถึงความโกลาหล ดีว่าได้ลุงหมอมาช่วยประสานสิบทิศ ทุกเรื่องเลยราบรื่น ลุงหมอกลับออกไปคุยกับหมอข้างนอก แล้ว
กลับเข้ามา ทุกคนกำลังรอคำตอบจากคุณลุงหมอ
“หมอที่ดูแลดวงเนตรบอกว่าพรุ่งนี้หลังจากเช็คปลายประสาทตาอีกรอบแล้ว พักผ่อนต่อเพิ่มอีกวัน คิดว่าคนไข้คงกลับบ้านได้แล้ว”
“ลุงฝากคุณหมอให้ช่วยดูแลให้ดีหน่อยเพราะนี่เป็นหลานสาว ทุกอย่างดีขึ้นแล้วลุงคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้เลยคุยกับคุณวรรณว่าจะให้
พลไปส่งตอนเที่ยงนี้เลยนะ หากมีอะไรวิวติดต่อลุงหมอด้วยไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ” ดวงเนตรยกมือไหว้ท่าทางไม่ถนัดด้วยแขนอีกข้างใส่เฝือกอยู่...สายตามองอย่างขอบคุณ
ทุกคนลงมาส่งลุงหมอ ดวงเนตรหลับไปหลังจากเงียบเสียงลง
ในวันที่สามผลเอ็กซเรย์ปลายประสาทตาของดวงเนตรดีขึ้นอย่างมาก หมอที่ดูแลเธอบอกว่า ต้องยกความดีให้ดอกเตอร์ปกรณ์ที่เข้าถึง
ปัญหาได้รวดเร็ว โอกาสหายเต็มร้อย ทุกคนกระโดดกอดกันด้วยความยินดีกับข่าวนี้ หนอยเข้าไปกอดดวงเนตรอย่างดีใจ มันเป็นความดีใจที่ไม่
สามารถเอ่ยเป็นคำพูดใดได้ นอกจากรอยยิ้มกว้างอย่างสดใสที่มอบให้แก่เธอ ดวงเนตรเอนหน้าซบลงบนไหล่กว้างของพี่หนอย ความรู้สึกมั่นคง
และปลอดภัยเป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้ ดวงตาที่มองเธอนั้นอ่อนโยนและอบอุ่น หมออนุญาตให้กลับได้เมื่อผ่านเข้าวันที่สามตอนเย็น หลังจากหนอย
ลงไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายเสร็จ พอขึ้นมาอีกทีทุกคนก็พร้อมจะพาดวงเนตรกลับหอ น้าวิวเข้ามาประคองพูดขึ้นเบา ๆ ว่า
“กลับบ้านกันเถอะ”
“ค่ะน้าวิวกลับบ้านเรากันเถอะ” รอยยิ้มอันสดใสของดวงเนตรทำให้เธอมีความสุขมาก พี่น้อยมองด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกซึ่งความผูกพันระหว่าง
น้าวิว อดีต และดวงเนตร
ทุกคนกุลีกุจอช่วยกันขนของ ดวงเนตรถูกประกบซ้ายและขวาโดยหนอยกับน้าวิว และด้วยความบังเอิญที่เจอเข้ากับภาคภูมิ และวิศาล
“อ้าว! เกิดอะไรขึ้นครับ ดวงเนตรเป็นอะไรครับ”
หนอยชิงตอบ “โดนรถชนตอนกลับออกมาจากร้านอาหาร” น้าวิวเร่ง
“จบ ๆ ไม่ต้องถามแล้ว อากาศเย็นรีบพาเข้าไปก่อนเดียวไม่สบายหรอก” ทั้งสองรีบประคองเธอเข้าห้องพัก แต่สองหนุ่มซึ่งตกข่าวยังทำหน้า
งง! อยู่ที่ทางเดิน หันไปถามพี่ศิริ...เธอก็รีบเดินเข้าห้อง
น้าวิวเป็นคนสั่งเด็ดขาดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับดวงเนตรจบลงแล้วที่โรงพยาบาลไม่มีตอนต่อไปให้ติดตาม
“มันจบลงแล้ว และพวกเราจะปล่อยมันไว้ที่นั่น OK!”
แขนดวงเนตรหมออ่านจากเอ็กซเรย์ในอาทิตย์ต่อมา กระดูกเชื่อมติดกันดีแกะเฝือกออกแล้ว แต่ยังต้องใช้ผ้าคล้องไว้ เผื่อเผลอไปยกของ
หนักตามคำแนะนำของหมอ หนอยเปิดประตูห้องดวงเนต แล้วทั้งคู่เดินเข้าไป
“เซอร์ไพร์ส”เสียงพี่ ๆ พูดขึ้นพร้อมกัน บนโต๊ะมีแจกันดอกไม้ปักด้วยกุหลาบสีขาว กลีบดอกเป็นลายเส้นสีม่วงอ่อน ดอกกุหลาบใหญ่ปัก
แต่งด้วยฝีมือพี่น้อยอย่างงดงาม กับมีพี่หมีอีกหนึ่งตัวที่หนอยซื้อมาเป็นเพื่อนกับตัวแรกที่คอแขวนป้ายไว้ว่า ”Welcome Home”
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้...ที่เมตตาหนูเหมือนคนในครอบครัว” เสียงสุดท้ายขาดหายไปเหมือนมีก้อนแน่น ๆ ขึ้นมา
จุกที่อก
“อย่านะ...วันนี้เป็นวันดีห้ามร้องไห้นะคะ” คุณครูพี่น้อยสั่ง
พี่พลเพิ่งกลับมาจากไปเคลมประกันของดวงเนตร เขาเข้ามาดึงแขนน้าวิวออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง แล้วทุกคนรวมทั้งดวงเนตรก็รู้ว่า
“ไอ้แจคกี้โดนรุมกระทืบและยิงตายในบาร์เมื่อคืน ตำรวจยังตามคนร้ายไม่ได้เพราะมันเองมีคนไม่ชอบหลายกลุ่ม และเคยตีกับไอ้พวกตะวันออกกลาง เมื่อตอนปิดเทอมใหม่ ๆ ” พี่พลเล่า หนอยตาลุกวาวอย่างซะใจ
“หมดเวรหมดกรรมซะที อโหสิกรรมให้มันซะชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก” น้าวิวพูดแล้วถอนหายใจ
“ไอ้เลวนี่ตายแบบนี้ดีแล้ว ผู้คนจะได้อยู่กันอย่างมีความสุขเสียที” พี่ศิริพูดขึ้นด้วยความโมโห
“อีกสองวันก็ปีใหม่แล้วเราไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดในเซนต์หลุยส์ดีไหม” เป็นความคิดของน้าวิว ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
“ดวงเนตรวันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารเดี๋ยวพี่ ๆ จะทำปิ่นโตมาส่ง...กินเยอะ ๆ นอนเยอะ ๆ ”
“หนอย คอยดูแลให้ดีนะ แล้วแกเองก็หาเวลาหลับพักผ่อนบ้าง”
“ครับ”
“เอาล่ะแยกย้ายกันไปพักก่อน แล้วเจอกันที่ห้องน้าวิวตอนเที่ยงนะ” เธอหันมากำกับหนอย
“อีกเรื่องคือให้เปิดประตูไว้ OK!”
“ครับผม”
ดวงเนตรล้มตัวลงนอน หนอยเอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมให้ แล้วเร่งฮีตเตอร์ในห้อง เพราะเมื่อสองวันก่อนหิมะตกหนักมาก หนอยเดินไปดึง
ประตูเข้ามาอีกอากาศหนาวมาก เขาก้มบอกดวงเนตร
“นอนเถอะนะไม่ต้องกลัวพี่หนอยจะอยู่เฝ้าเนตรตลอดเวลา” เขายิ้มให้อย่างอบอุ่น
“นอนหลับฝันดีนะครับ” เธอหลับตาลง หนอยมองดูดวงตายาวรี ขนตาดกดำ หลับตาพริ้ม ชายหนุ่มกระซิบข้างหู “I love you always”
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (35)...ปิดเกมคนชั่ว
พี่พลและพี่น้อยกลับมาอีกรอบพร้อมข้าวของเครื่องใช้ครบทุกอย่าง ในห้องคนไข้มีตู้เย็นเล็ก พี่น้อยกับน้าวิวช่วยกันจัดเก็บน้ำผลไม้
สองกล่องใหญ่เข้าตู้เย็น ส่วนผลไม้ใส่ตะกร้าวางบนตู้ มีกาแฟสำเร็จรูปติดมาเผื่อคนเฝ้าด้วย แล้วทั้งสองคนก็กลับลากลับ หนอยเข้าไปล้างหน้าแปรง
ฟัน ออกมา
“เออ! ดูหน้าตาแจ่มใสขึ้นดี ดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เราต้องเป็นที่พึ่งให้ดวงเนตร ทำหน้าตาให้แจ่มใสเข้าไว้” น้าวิวพูดเป็นเชิงสอน
“ครับผม” หนอยตอบสั้น ๆ ใจยังเป็นห่วงหญิงสาวที่ยังไม่รู้สึกตัว
“แล้วไม่อาบน้ำอีกรอบเหรอ”
“ไม่ล่ะครับ เชิญน้าวิวเถอะ จะได้นอนนี่ก็ดึกแล้วนะครับ”
“จ้ะ ๆ ” อาบน้ำเสร็จสวดมนต์ไหว้พระ แล้วถอดสร้อยคอซึ่งมีพระแขวนอยู่ไปวางไว้ใต้หมอนดวงเนตร หนอยสบตาน้าวิวแทนคำขอบคุณ
ประมาณตีสามพยาบาลเข้ามาปลดสายถุงเลือดออก หนอยเอาเก้าอี้มานั่งทางซ้ายมือ เขาเอามือสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มและกุมมือดวงเนตรไว้
ไม่นานหนอยก็ฟุบหลับไป น้าวิวตื่นประมาณตีห้าครึ่ง เธอมองดูภาพสองคนหลับคู่กันด้วยสายตาอ่อนโยน ‘โชคดีของดวงเนตรที่มีคนรักและเอาใจใส่
อย่างหนอย แต่โชคร้ายสำหรับเธอเองที่มีชีวิตคู่ที่ล้มเหลวเช่นนั้น ลืมมันซะสำหรับทุกอย่างที่เจ็บปวด เก็บมันไว้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย’ คิดพลาง
ถอนใจยาว ดวงเนตรรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งด้วยความสับสนและตกใจ เธอดึงมือออก หนอยรู้สึกตัว ดวงเนตรมีท่าทางเหมือนยังกลัวอยู่ เธอขยับตัว
ออกห่างหนอย น้าวิวดึงมือหนอยให้ลุกขึ้น และนั่งลงไปแทนจับมือดวงเนตร
“ไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเราตามไปทัน เนตรกำลังฟุบอยู่หน้าประตู มันไม่ทันทำอะไรเนตร หนอยกระทืบมันจนพี่พลต้องไปดึงตัวออกมา” ดวง
เนตรคิดตามและจำได้ว่าเธอร้องขอความช่วยเหลือและสลบไป
พี่น้อยและพี่ศิริมาแต่เช้าพร้อมอาหาร เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวและทำแผล ทุกคนออกไปรอที่ห้องโถง น้าวิวมานั่งใกล้
หนอย
“ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายแบบนี้จะมีอาการกลัวเพศตรงข้าม ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่าเธอจะปรับตัวได้แค่ไหน”
“ครับผมเข้าใจดี” อาหารคนไข้มาส่งแล้วเป็นซุปผักรวมกับขนมปังนิ่ม ๆ
พี่น้อยชงกาแฟให้หนอย “ขอบคุณครับ”
“รอให้ซุปหายร้อน แล้วลองไปป้อนดูถ้าเขายอมก็ดีนะ” เธอพูดด้วยเสียงเบา หนอยนั่งลงข้างเตียง เหมือนดวงเนตรจะขยับตัวห่าง
“เนตรพี่หนอยเองนะ จำได้ไหม” ดวงเนตรจ้องมองครู่ใหญ่และพยักหน้า เขาถือชามซุปป้อน ดวงเนตรยอมแต่โดยดี มีเพียงสายตามอง
หนอยอย่างกลัว ๆ หนอยยิ้มกว้างให้ดวงเนตร ดวงเนตรรู้สึกถึงรอยยิ้มนั้นช่างอบอุ่นนัก
“พี่หนอย” แล้วเธอก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินลงมา
“พี่หนอยคะ เนตรกลัว” หนอยวางชามซุปแล้วกอดดวงเนตรไว้แนบอก ดวงเนตรซุกหน้าลงกับอกเขา เสียงร่ำไห้กับแรงสะอื้นทำให้เขาสัมผัส
ได้ถึงความเจ็บปวดของเธอ
“พี่หนอยจะดูแลเนตรให้ดีกว่านี้ พี่สัญญา” เธอพยักหน้า
“หยุดร้องไห้เถอะไม่มีใครมาทำอะไรดวงเนตรได้อีกแล้ว” เสียงพูดอย่างหนักแน่นและมั่นคง พี่ศิริหยิบกระดาษให้ดวงเนตรเช็ดน้ำตา
“ทานให้หมดก่อนแล้วพี่หนอยจะบอกให้ฟังว่าคุณหมอเขาว่าอย่างไรนะครับ”
“ค่ะ”
พี่น้อยนำเสนอข้าวต้มกับหมูแผ่นเพิ่ม “ขอบคุณค่ะ เนตรอิ่มแล้ว”
“เจ็บที่ริมฝีปากใช่ไหม”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้ก็หายเพราะแผลแห้งดีแล้ว” ทุกคนมองท่าทางเอาใจใส่ของหนอยด้วยสายตาที่มีความสุข น้าวิวถอนใจ รู้สึกดีใจที่ดวงเนตรปรับตัว
กับหนอยได้ดีขึ้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พี่วรรณมากับลุงหมอปกรณ์ ดวงเนตรยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน แม้จะเจ็บระบมไปหมด อีกทั้งแขนที่ใส่เฝือก พี่วรรณ
เข้าไปยืนชิดเตียง
“ทานซุปเหรอ เก่งมากหมดชามเลย”
“พี่วรรณ” ดวงเนตรที่อยู่ในท่านั่งเอนศีระษะเข้าซบพี่วรรณ เสียงพี่วรรณเอ่ย อบอุ่น
“อย่าร้องไห้อีกเลยนะ เดี๋ยวทุกคนจะร้องตามกันหมด เมื่อคืนก็ได้ร้องกันทั่วหน้าพอแล้วนะคะ” ดวงเนตรพยักหน้าเอามือปาดน้ำตาจนแห้ง ลุง
หมอเข้ามาลูบศีรษะเบา ๆ แล้วแกก็บอกอาการทั้งหมดให้ดวงเนตรรู้
“ก่อนเข้ามาลุงเจอคุณหมอแล้ว เขาว่าแผลที่คิ้วและหัวไหล่แห้งดี แขนที่หักก็ไม่น่าห่วงเพราะส่วนที่หักเป็นกระดูกเล็ก ซึ่งมันจะสมานตัวเร็ว
กว่ากระดูกใหญ่ ปัญหาคือตาของหนู ลุงหมอจะขยายม่านตาส่องกล้องดูอีกที่ตอนเก้าโมงเช้านี้”
“เนตรกราบขอบพระคุณลุงหมอที่กรุณามาดูแลเนตร”
“หนูก็เหมือนลูกหลานใช่ใครอื่นนะ”
“ค่ะ”
หลังจากการตรวจเช็กอย่างละเอียด ลุงหมอก็ขึ้นมาพร้อมเอ็กซเรย์
“ตาดวงเนตรดีขึ้นกว่าที่ลุงหมอเป็นห่วง แต่สเตอร์รอยจะให้ต่อวันนี้อีกวันเดียว ยาเม็ดยาวสีน้ำตาลอ่อนต้องกินติดต่อกันจนกว่าหมอจะสั่ง
หยุดเพราะช่วยบำรุงสายตา และการมองเห็นให้ดีขึ้น
“ค่ะ” ข่าวดีของดวงเนตร ดีกว่าตอนที่ถูกนำส่งมาที่โรงพยาบาล ซึ่งเต็มไปด้วยเลือด คิดว่าหนักเสียแล้ว แต่ไม่ ทำให้พี่ ๆ ที่มาอยู่ดูอาการหน้า
ตาเบิกบานเหมือนต้นไม้ได้น้ำฝน
“สาธุคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้หายดี หายไว ๆ จะได้กลับกันซะทีนะคะ” เสียงของพี่น้อยทำให้ทุกคนยิ้มได้ และช่วยให้บรรยากาศโดยรอบดี
ขึ้นมาก
“เนตรยังเจ็บไปทั้งตัวใช่ไหม” พี่หนอยถามอย่างห่วงใย
พี่วรรณนั่งเล่าให้ฟังถึงความโกลาหล ดีว่าได้ลุงหมอมาช่วยประสานสิบทิศ ทุกเรื่องเลยราบรื่น ลุงหมอกลับออกไปคุยกับหมอข้างนอก แล้ว
กลับเข้ามา ทุกคนกำลังรอคำตอบจากคุณลุงหมอ
“หมอที่ดูแลดวงเนตรบอกว่าพรุ่งนี้หลังจากเช็คปลายประสาทตาอีกรอบแล้ว พักผ่อนต่อเพิ่มอีกวัน คิดว่าคนไข้คงกลับบ้านได้แล้ว”
“ลุงฝากคุณหมอให้ช่วยดูแลให้ดีหน่อยเพราะนี่เป็นหลานสาว ทุกอย่างดีขึ้นแล้วลุงคงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้เลยคุยกับคุณวรรณว่าจะให้
พลไปส่งตอนเที่ยงนี้เลยนะ หากมีอะไรวิวติดต่อลุงหมอด้วยไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ” ดวงเนตรยกมือไหว้ท่าทางไม่ถนัดด้วยแขนอีกข้างใส่เฝือกอยู่...สายตามองอย่างขอบคุณ
ทุกคนลงมาส่งลุงหมอ ดวงเนตรหลับไปหลังจากเงียบเสียงลง
ในวันที่สามผลเอ็กซเรย์ปลายประสาทตาของดวงเนตรดีขึ้นอย่างมาก หมอที่ดูแลเธอบอกว่า ต้องยกความดีให้ดอกเตอร์ปกรณ์ที่เข้าถึง
ปัญหาได้รวดเร็ว โอกาสหายเต็มร้อย ทุกคนกระโดดกอดกันด้วยความยินดีกับข่าวนี้ หนอยเข้าไปกอดดวงเนตรอย่างดีใจ มันเป็นความดีใจที่ไม่
สามารถเอ่ยเป็นคำพูดใดได้ นอกจากรอยยิ้มกว้างอย่างสดใสที่มอบให้แก่เธอ ดวงเนตรเอนหน้าซบลงบนไหล่กว้างของพี่หนอย ความรู้สึกมั่นคง
และปลอดภัยเป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้ ดวงตาที่มองเธอนั้นอ่อนโยนและอบอุ่น หมออนุญาตให้กลับได้เมื่อผ่านเข้าวันที่สามตอนเย็น หลังจากหนอย
ลงไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายเสร็จ พอขึ้นมาอีกทีทุกคนก็พร้อมจะพาดวงเนตรกลับหอ น้าวิวเข้ามาประคองพูดขึ้นเบา ๆ ว่า
“กลับบ้านกันเถอะ”
“ค่ะน้าวิวกลับบ้านเรากันเถอะ” รอยยิ้มอันสดใสของดวงเนตรทำให้เธอมีความสุขมาก พี่น้อยมองด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกซึ่งความผูกพันระหว่าง
น้าวิว อดีต และดวงเนตร
ทุกคนกุลีกุจอช่วยกันขนของ ดวงเนตรถูกประกบซ้ายและขวาโดยหนอยกับน้าวิว และด้วยความบังเอิญที่เจอเข้ากับภาคภูมิ และวิศาล
“อ้าว! เกิดอะไรขึ้นครับ ดวงเนตรเป็นอะไรครับ”
หนอยชิงตอบ “โดนรถชนตอนกลับออกมาจากร้านอาหาร” น้าวิวเร่ง
“จบ ๆ ไม่ต้องถามแล้ว อากาศเย็นรีบพาเข้าไปก่อนเดียวไม่สบายหรอก” ทั้งสองรีบประคองเธอเข้าห้องพัก แต่สองหนุ่มซึ่งตกข่าวยังทำหน้า
งง! อยู่ที่ทางเดิน หันไปถามพี่ศิริ...เธอก็รีบเดินเข้าห้อง
น้าวิวเป็นคนสั่งเด็ดขาดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับดวงเนตรจบลงแล้วที่โรงพยาบาลไม่มีตอนต่อไปให้ติดตาม
“มันจบลงแล้ว และพวกเราจะปล่อยมันไว้ที่นั่น OK!”
แขนดวงเนตรหมออ่านจากเอ็กซเรย์ในอาทิตย์ต่อมา กระดูกเชื่อมติดกันดีแกะเฝือกออกแล้ว แต่ยังต้องใช้ผ้าคล้องไว้ เผื่อเผลอไปยกของ
หนักตามคำแนะนำของหมอ หนอยเปิดประตูห้องดวงเนต แล้วทั้งคู่เดินเข้าไป
“เซอร์ไพร์ส”เสียงพี่ ๆ พูดขึ้นพร้อมกัน บนโต๊ะมีแจกันดอกไม้ปักด้วยกุหลาบสีขาว กลีบดอกเป็นลายเส้นสีม่วงอ่อน ดอกกุหลาบใหญ่ปัก
แต่งด้วยฝีมือพี่น้อยอย่างงดงาม กับมีพี่หมีอีกหนึ่งตัวที่หนอยซื้อมาเป็นเพื่อนกับตัวแรกที่คอแขวนป้ายไว้ว่า ”Welcome Home”
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้...ที่เมตตาหนูเหมือนคนในครอบครัว” เสียงสุดท้ายขาดหายไปเหมือนมีก้อนแน่น ๆ ขึ้นมา
จุกที่อก
“อย่านะ...วันนี้เป็นวันดีห้ามร้องไห้นะคะ” คุณครูพี่น้อยสั่ง
พี่พลเพิ่งกลับมาจากไปเคลมประกันของดวงเนตร เขาเข้ามาดึงแขนน้าวิวออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง แล้วทุกคนรวมทั้งดวงเนตรก็รู้ว่า
“ไอ้แจคกี้โดนรุมกระทืบและยิงตายในบาร์เมื่อคืน ตำรวจยังตามคนร้ายไม่ได้เพราะมันเองมีคนไม่ชอบหลายกลุ่ม และเคยตีกับไอ้พวกตะวันออกกลาง เมื่อตอนปิดเทอมใหม่ ๆ ” พี่พลเล่า หนอยตาลุกวาวอย่างซะใจ
“หมดเวรหมดกรรมซะที อโหสิกรรมให้มันซะชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก” น้าวิวพูดแล้วถอนหายใจ
“ไอ้เลวนี่ตายแบบนี้ดีแล้ว ผู้คนจะได้อยู่กันอย่างมีความสุขเสียที” พี่ศิริพูดขึ้นด้วยความโมโห
“อีกสองวันก็ปีใหม่แล้วเราไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดในเซนต์หลุยส์ดีไหม” เป็นความคิดของน้าวิว ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
“ดวงเนตรวันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารเดี๋ยวพี่ ๆ จะทำปิ่นโตมาส่ง...กินเยอะ ๆ นอนเยอะ ๆ ”
“หนอย คอยดูแลให้ดีนะ แล้วแกเองก็หาเวลาหลับพักผ่อนบ้าง”
“ครับ”
“เอาล่ะแยกย้ายกันไปพักก่อน แล้วเจอกันที่ห้องน้าวิวตอนเที่ยงนะ” เธอหันมากำกับหนอย
“อีกเรื่องคือให้เปิดประตูไว้ OK!”
“ครับผม”
ดวงเนตรล้มตัวลงนอน หนอยเอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมให้ แล้วเร่งฮีตเตอร์ในห้อง เพราะเมื่อสองวันก่อนหิมะตกหนักมาก หนอยเดินไปดึง
ประตูเข้ามาอีกอากาศหนาวมาก เขาก้มบอกดวงเนตร
“นอนเถอะนะไม่ต้องกลัวพี่หนอยจะอยู่เฝ้าเนตรตลอดเวลา” เขายิ้มให้อย่างอบอุ่น
“นอนหลับฝันดีนะครับ” เธอหลับตาลง หนอยมองดูดวงตายาวรี ขนตาดกดำ หลับตาพริ้ม ชายหนุ่มกระซิบข้างหู “I love you always”