ฉากการต่อสู้ในอวกาศ ของหนัง และ อนิเมะไซไฟ จะต้องมีการไล่ล่าปรับทิศทางเวอร์เนีย กลับลำเลี้ยวจุดระเบิดทรัสเตอร์เข้าจู่โจมฉวัดเฉวียนตามรูปแบบการรบด้วยเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาทองของยุคที่ความสามารถของเครื่องจักรยังไม่ล้ำเกินความสามารถของมนุษย์ไปอย่างมากมาย ซึ่งมันก็น่าคิดกันว่า ถ้าหากเราไปตั้งรกรากกันในอวกาศ สงครามอวกาศ ถ้าเกิดขึ้นจริง รูปแบบการรบ มันจะเป็นอย่างไรกันแน่ ด้วยหลักฟิสิกส์ที่เรารู้กันอยู่ ณ ปัจจุบัน
การควบคุมเรือและหุ่นรบอวกาศ
ในฉากการเข้าประจัญบานของหุ่นอวกาศหรือเรือรบอวกาศ เราจะเห็นความพยายามทำให้สมจริงด้วยการมีการใส่ไอพ่นแวบวาบทำงานเพื่อหลบหลีกเปลี่ยนทิศทางเปิดไอพ่นปู้ดๆ แต่ สิ่งที่เริ่มเคลื่อนไหวแล้วในอวกาศ มันจะเคลื่อนไหวไปตลอดโดยไร้แรงต้าน ทั้งความเร็วเชิงเวคเตอร์หรือความเร็วเชิงมุม ถ้าคุณจุดไอพ่นขึ้นด้านหนึ่งเพื่อหันหัวยานอวกาศ คุณต้องจุดไอพ่นขึ้นอีกด้านหนึ่งเพื่อหยุด มิฉะนั้น ยานของคุณจะควงๆๆๆๆหมุนติ้วไม่หยุด ต้องขอบคุณแรงต้านอากาศและสารพัดแรงเสียดทานที่ทำให้การหมุนการควงต่างๆภายในโลกนี้หยุดได้ด้วยตัวเอง การเลี้ยวของอากาศยานบนพื้นโลกอาศัยแรงต้านอากาศด้วยการปรับมุมปีก และยังคงโมเมนตัมการเคลื่อนไหวหลังการหักเลี้ยวได้ แต่ในอวกาศที่ไม่มีแรงต้าน การหักเลี้ยว จะหมายถึงการลดความเร็วในแนวแกน X เร่งความเร็วในแนวแกน Y พอกลับตัวแล้วก็ต้องทำลายความเร็วที่เร่งขึ้นมาในแกน Y อีก หุ่นหรือยานอวกาศไม่จำเป็นต้องเปิดไอพ่นตลอดเวลาการเดินทาง แต่จะต้องยิง Thruster วูบวาบ เพื่อจะเอี้ยวตัว หัน ควงตัวหลบบีมแล้วบิดกลับมาฟัน เมื่อเข้าสู่การสู้รบหลบหลีก เพราะกฎทางฟิสิกส์ว่าด้วยคานและโมเมนต์จะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการดุลโมเมนตั้มทุกการเคลื่อนไหว

ในขณะที่ฟิสิกส์ของอากาศยานในภาคพื้นโลกอาศัยแรงและมุมที่กระทำต่ออากาศซึ่งมีอยู่ในทุกที่เพื่อปรับมุมเลี้ยว เพิ่ม/ลดเพดานบิน ในอวกาศ จะหาแรงกระทำจากภายนอกมาช่วย ต้องไปหาจากเทห์บนฟากฟ้าที่แสนห่างไกลกันเหลือเกินในแต่ละจุด
ยิ่งในกรณีการต่อสู้ในวงโคจรระดับล่าง ในอวกาศ สภาพไร้แรงโน้มถ่วงที่สัมผัส จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ว่าไม่มีแรงโน้มถ่วง แต่เราแค่ตกลงไปข้างหน้าของทิศทางที่เราเคลื่อนไป พูดให้ง่ายเข้า พวกดาวเทียม สถานีอวกาศ อวกาศยาน หรือแม้แต่โมบิลสูท ที่ลอยอยู่เหนือโลกนี่มันลอยด้วยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์จากการโคจรรอบโลก
เพดานบินของ ISS (International Space Station) ณ ความสูง 400 กิโลเมตร ค่าแรงโน้มถ่วงของโลก ยังมีอยู่ที่ระดับ 8.7 m/s2 ลดลงมานิดเดียวจากบนพื้นโลก และมันต้องโคจรด้วยความเร็ว 7.6 กิโลเมตรต่อวินาที เพื่อจะมีแรงเหวี่ยงหนีศูนย์พอดีกับแรงโน้มถ่วงระดับ 8.7 m/s2
สมมุติว่าเรามีกองทัพแซ็ค (ยุคตู ซาคุนี่เขาเรียกว่าแซ๊ค แต่ญี่ปุ่นออกเสียแซ๊คไม่ได้ก็เลยแก้มันข้างกล่องเลยว่าอ่านว่าซาคุ) กำลังเร่งเครื่องเข้าหาไวท์เบสที่จะเข้าชั้นบรรยากาศที่ทิศทางตามการหมุนของโลก และไวท์เบส ส่งกันดั้มออกไปต่อกร ด้วยความเร็วสัมพัทธ์กับแซ็ค ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ภายในเวลา 1 นาที กันดั้ม จะตกลงไปจากเพดานบินเดิมถึง 200 เมตร เช่นเดียวกับ แซค ถ้าเคลื่อนที่เข้าหาไวท์เบสด้วยความเร็วสัมพัทธ์กับไวท์เบสที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 1 นาที เพดานบินของมันจะลอยเหนือไวท์เบสไป 100 เมตร เพราะการเปลี่ยนแปลงของแรงเหวี่ยงหนีศูนย์นี่เอง และถ้ายิ่งเคลื่อนเข้าหาด้วยความเร่ง เบิ้ลบูสเตอร์กันปู้ดป้าดๆ กองทัพแซ็ค อาจหลุดจากวงโคจร และกันดั้ม ก็จะตกสู่ชั้นบรรยากาศภายในเวลาไม่นานนัก
และสมมุติ ถ้าทั้งกองทัพแซค และไวท์เบส โคจรสวนทางกัน ทั้งคู่ จะผ่านกันด้วยความเร็วถึง 15.2 กิโลเมตรต่อวินาที คุณจะมีเวลายิงกัน 2นาทีครึ่ง นับจากที่อีกฝั่งโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าออกมาเท่านั้นเอง
โมบิลสูทกันดั้ม กำลังเคลื่อนตัวเข้าสกัดแซ็คที่เข้าจู่โจมไวท์เบสที่กำลังเข้าชั้นบรรยากาศ เท่ากับมันกำลังลดความเร็วลง ยิ่งเข้าหาเร็วเท่าไร เท่ากับการสูญเสียพลังงานจลน์มากเท่านั้น และมันหมายถึงเพดานบินที่จะลดลงฮวบๆด้วย
การต่อสู้ของเรือรบอวกาศ จึงยากมากที่จะเกิดการปะทะกันในระยะประชิด นอกเสียจากว่าเราจะสามารถคิดค้นระบบเกราะพลังงาน ในยุคเริ่มต้นของสงครามอวกาศนี้ มันจะต้องเล็งถล่มกันจากระยะไกล และโดยที่วิสัยการตรวจจับในอวกาศ ถ้าไม่มีเรื่องอนุภาคไมนอฟสกี้ ทัศนวิสัยการมองเห็นนั้นอยู่ในหลักเป็นปีแสง...เอาเป็นว่าถ้าขนาดยานเล็กๆก็คงตรวจจับได้ในหลักหลายสิบ AU ละนะ (Astronomical Unit = ระยะห่าง โลก – ดวงอาทิตย์) และในระดับวงโคจร นั่นก็ระดับหมื่นกิโลเมตรตามมุมการบังของพื้นโลก ระบบการเล็งหันหัวปืน และการเบี่ยงออกจากวิถีกระสุนเพียงเล็กน้อย จะมีความสำคัญกว่าการเคลื่อนที่ฉวัดเฉวียนแบบการประจัญบาน การควบคุมเปลี่ยนทิศทางของเรือรบ และ หุ่นรบอวกาศ น่าจะเน้นไปที่การเปลี่ยนมุม เช่นระบบการใช้แรงกระทำกับตัวไจโรสโคปเพื่อให้เกิดการบิดและเปลี่ยนทิศทาง หรือกรณีหุ่นยนต์อวกาศก็ใช้การจัดองคาพยพเพื่อเบี่ยงตัวออกจากวิถีกระสุน

ระยะการตรวจจับในอวกาศนั้นไกลมาก ในรูป จุดสีน้ำเงินคือภาพถ่ายสัญญาณวิทยุจากยานวอยเอเจอร์ 1 ที่อยู่ห่างออกไป 18,500 ล้านกิโลเมตร (121 AU หรือ 17 ชั่วโมงแสง ณ ปี 2012) เลยไปในแถบไคเปอร์ เพราะมันไม่มีอนุภาคไมนอฟสกี้คอยรบกวนสัญญาณ
ระบบ Thruster ขับเคลื่อนของอวกาศยาน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ แม้ว่าปัจจุบันจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำ Reactionless thruster อย่าง EMdrive และมีระบบขับเคลื่อนที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อย อย่าง Ion Thruster แต่ในการรบ ความคล่องตัว เป็นจุดชี้ขาดถึงความเป็นความตาย พวกเชื้อเพลิงขับแบบสันดาป หรือพวก Aerosol Propellant ก็ยังน่าจะมีความสำคัญในการรบ โดยอวกาศยาน น่าจะต้องมีการผสมผสานต้นกำลังขับเคลื่อนหลายชนิด เพื่อใช้ในการเดินทาง เพื่อการเปลี่ยนทิศทาง เพื่อการหลบเลี่ยง เพื่อการเบี่ยงออกจากวิถีอาวุธที่ฝั่งตรงข้ามยิงประเคนมา
อาวุธในสงครามอวกาศ
ในขณะที่บนพื้นโลก ระเบิด เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิผลการทำลายเป็นวงกว้าง แต่ไม่ใช่ในอวกาศ เพราะกลไกการทำลายของระเบิดอาศัยการสะท้อนกลับของอากาศที่ทำให้แรงระเบิดคงอยู่บนพื้นผิวที่ปะทะ ในขณะที่ ในอวกาศ กลุ่มก๊าซที่เกิดจากแรงระเบิดจะกระจายหายไปในอวกาศไร้แรงดันที่จะสะท้อนกลับมาบนพื้นผิว เช่นเดียวกับอาวุธรังสีแบบระเบิดนิวเคลียร์ รังสีจะไม่มีการดูดซับและเปลี่ยนเป็นความร้อนห่อหุ้มพื้นที่แต่แพร่กระจายออกในทุกทิศทางแทบจะในทันที ถ้าถูกนำมาใช้ มันจะกลายเป็นอาวุธระยะประชิดที่สิ้นเปลืองมาก
การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ในอวกาศใน Operation Fishbowl ของสหรัฐอเมริกาในปี 1962 สิ่งที่แตกต่างคือ เพราะมันไม่มีอากาศ แรงระเบิดจึงกระจายหายไปเร็วมาก แต่ก็เพราะมันไม่มีอากาศ การแผ่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกินกว้างไปกว่าบนพื้นโลก ถ้าจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อรบกวนสัญญาณสื่อสาร หรือทำลายอวกาศยานเป้าหมายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็คงสิ้นเปลืองไม่ใช่เล่น
ในสงครามอวกาศ อาวุธที่น่าจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะได้แก่อาวุธมวลปะทะ เรียกให้ขรุขระจาก Mass Driver หรือ Mass impacter เรียกง่ายๆก็จะประมาณกระสุน เพราะอวกาศไม่มีแรงเสียดทาน กระสุนที่ถูกยิงออกไปแล้ว จะเดินทางพร้อมกับพลังงานจลน์ไปนานเท่านานไม่สูญหาย แต่อาวุธกระสุน ถ้ามีขนาดใหญ่ ยิงจากระยะไกล ก็อาจถูกสอยลงได้ ด้วยในอวกาศ เซนเซอร์ต่างๆที่รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถตรวจจับได้ไกลมาก และกระสุนที่มีมวล จะอย่างไรความเร็วก็จะน้อยกว่าความเร็วแสงไปเยอะ พวกมิสไซล์ที่บรรจุพวก Cluster shell อาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของอาวุธสงคราม โดย Cluster missile เหล่านี้ อาจถูกยิงด้วยความเร็วต้นจากแท่นปืนใหญ่ แล้วบรรทุกเชื้อเพลิงแค่สำหรับปรับทิศทางในอวกาศ โดยตั้งให้ระเบิดเมื่อเข้าสู่ระยะใกล้ยานศัตรู
การยิงกระสุนมวลหนักโดยเรืออวกาศซิโดเนียเข้าถล่มกาวน่า กระสุนมวลหนักนี้ อาจใช้หลักการแม่เหล็กไฟฟ้าแบบ Rail gun หรือใช้นิวเคลียร์ในการขับมวลกระสุนก็ได้ และจะเป็นการใช้พลังงานนิวเคลียร์ได้มีประสิทธิภาพในอวกาศมากกว่าจะเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปยิงทิ้งเฉยๆ
อาวุธลำแสง ที่สามารถเดินทางได้แสนไกลด้วยความเร็วแสง เป็นอีกหนึ่งอาวุธที่นำใช้ได้ ด้วยความรู้เกี่ยวกับอาวุธเลเซอร์ปัจจุบัน มันต้องใช้เวลาในการหลอมทำลาย ถ้าจะลดเวลาแบบยิงปี๊ดเดียวทะลุ ก็ต้องใช้เครื่องกำเนิดพลังงานขนาดมหาศาล อาวุธเลเซอร์เอง อย่างน้อยในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีสงครามอวกาศ อาจไม่ถูกใช้ในลักษณะอาวุธหนักยิงทำลาย แต่ใช้เล็งทำลายเซนเซอร์ต่างๆของยานศัตรู แล้วค่อยเผด็จศึกด้วยอาวุธมวลปะทะ หรือบางที มันอาจมีการใช้อาวุธประเภท Particles Beam ปืนลำแสงอนุภาค ที่แม้จะช้ากว่าแสงไปบ้าง แต่ด้วยการที่มีมวลเป็นองค์ประกอบจึงสามารถส่งพลังทำลายได้มากกว่า
อาวุธปืนลำแสงอนุภาค มีคอนเซปท์มาตั้งแต่สมัยของนิโคลา เทสล่า โดยเทสล่าคิดจะใช้ปรอทเป็นตัวต้นอนุภาค และกลายมาเป็นอาวุธพื้นฐานในสงครามยุคศักราชอวกาศของกันดั้ม
นอกจากอาวุธดังข้างต้น
SWARM หรืออาวุธหุ่นยนต์ที่ผลิตเป็นจำนวนมาก ก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธที่อาจนำใช้ในสงครามอวกาศ ระบบ SWARM เป็นแนวคิดใหม่ของการพัฒนาหุ่นยนต์ราคาถูกผลิตได้เป็นจำนวนมากสำหรับการรบ เช่นโปรแกรม LOCUST หรือ
LOw-
Cost
Unmanned aerial vehicle
Swarming
Technology ของอเมริกา ที่ใช้หุ่นโดรนจำนวนมาก ควบคุมการทำงานด้วยคนในระยะไกล ใช้ AI ประมวลผลการทำงานเป็นกลุ่ม ทดแทนการเอาเครื่องบินเข้าไปเสี่ยงกับขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานที่ราคาถูกกว่าเครื่องบินรบมาก ในหนังสงครามอวกาศ เช่นเรื่อง Star Trek Beyond ฝูงยานบินขนาดเล็กของ Krall ที่เข้าจู่โจมยาน Enterprise หรือ ระบบ Funnels ของ คิวเบรย์ จากเรื่องกันดั้ม ก็จัดเป็นอาวุธแบบ SWARM ได้ อาวุธ SWARM จะมีความเหมาะสมในแง่ที่ว่าใช้ครั้งเดียว ไม่ต้องไปเก็บกู้ ซึ่งจะสามารถส่งเข้าไปทำลายยานของศัตรูได้โดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีเชื้อเพลิงพอจะเร่งความเร็วย้อนกลับยาน และชะลอเพื่อเทียบจอด โดยอาจติดแค่อาวุธเลเซอร์แบบเบา ใช้เผา Sensor ต่างๆของยานศัตรูจนไม่สามารถหลบหนีได้แล้วค่อยใช้อาวุธแบบ Mass Impact ทำลายในท้ายสุด
ในแง่มุมหนึ่ง พวก Funnel หรือ Bit control system ก็อาจถือเป็นอาวุธจำพวก SWARM โดนในจักรวาลของกันดั้ม Funnel เป็นอาวุธควบคุมด้วยระบบไซโคมิว มีทั้งการควบคุมแบบเดี่ยวๆ และการควบคุมแบบฝูงเข่นที่ Qubeley ใช้
สงครามอวกาศ
ฉากการต่อสู้ในอวกาศ ของหนัง และ อนิเมะไซไฟ จะต้องมีการไล่ล่าปรับทิศทางเวอร์เนีย กลับลำเลี้ยวจุดระเบิดทรัสเตอร์เข้าจู่โจมฉวัดเฉวียนตามรูปแบบการรบด้วยเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาทองของยุคที่ความสามารถของเครื่องจักรยังไม่ล้ำเกินความสามารถของมนุษย์ไปอย่างมากมาย ซึ่งมันก็น่าคิดกันว่า ถ้าหากเราไปตั้งรกรากกันในอวกาศ สงครามอวกาศ ถ้าเกิดขึ้นจริง รูปแบบการรบ มันจะเป็นอย่างไรกันแน่ ด้วยหลักฟิสิกส์ที่เรารู้กันอยู่ ณ ปัจจุบัน
การควบคุมเรือและหุ่นรบอวกาศ
ในฉากการเข้าประจัญบานของหุ่นอวกาศหรือเรือรบอวกาศ เราจะเห็นความพยายามทำให้สมจริงด้วยการมีการใส่ไอพ่นแวบวาบทำงานเพื่อหลบหลีกเปลี่ยนทิศทางเปิดไอพ่นปู้ดๆ แต่ สิ่งที่เริ่มเคลื่อนไหวแล้วในอวกาศ มันจะเคลื่อนไหวไปตลอดโดยไร้แรงต้าน ทั้งความเร็วเชิงเวคเตอร์หรือความเร็วเชิงมุม ถ้าคุณจุดไอพ่นขึ้นด้านหนึ่งเพื่อหันหัวยานอวกาศ คุณต้องจุดไอพ่นขึ้นอีกด้านหนึ่งเพื่อหยุด มิฉะนั้น ยานของคุณจะควงๆๆๆๆหมุนติ้วไม่หยุด ต้องขอบคุณแรงต้านอากาศและสารพัดแรงเสียดทานที่ทำให้การหมุนการควงต่างๆภายในโลกนี้หยุดได้ด้วยตัวเอง การเลี้ยวของอากาศยานบนพื้นโลกอาศัยแรงต้านอากาศด้วยการปรับมุมปีก และยังคงโมเมนตัมการเคลื่อนไหวหลังการหักเลี้ยวได้ แต่ในอวกาศที่ไม่มีแรงต้าน การหักเลี้ยว จะหมายถึงการลดความเร็วในแนวแกน X เร่งความเร็วในแนวแกน Y พอกลับตัวแล้วก็ต้องทำลายความเร็วที่เร่งขึ้นมาในแกน Y อีก หุ่นหรือยานอวกาศไม่จำเป็นต้องเปิดไอพ่นตลอดเวลาการเดินทาง แต่จะต้องยิง Thruster วูบวาบ เพื่อจะเอี้ยวตัว หัน ควงตัวหลบบีมแล้วบิดกลับมาฟัน เมื่อเข้าสู่การสู้รบหลบหลีก เพราะกฎทางฟิสิกส์ว่าด้วยคานและโมเมนต์จะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการดุลโมเมนตั้มทุกการเคลื่อนไหว
ในขณะที่ฟิสิกส์ของอากาศยานในภาคพื้นโลกอาศัยแรงและมุมที่กระทำต่ออากาศซึ่งมีอยู่ในทุกที่เพื่อปรับมุมเลี้ยว เพิ่ม/ลดเพดานบิน ในอวกาศ จะหาแรงกระทำจากภายนอกมาช่วย ต้องไปหาจากเทห์บนฟากฟ้าที่แสนห่างไกลกันเหลือเกินในแต่ละจุด
ยิ่งในกรณีการต่อสู้ในวงโคจรระดับล่าง ในอวกาศ สภาพไร้แรงโน้มถ่วงที่สัมผัส จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ว่าไม่มีแรงโน้มถ่วง แต่เราแค่ตกลงไปข้างหน้าของทิศทางที่เราเคลื่อนไป พูดให้ง่ายเข้า พวกดาวเทียม สถานีอวกาศ อวกาศยาน หรือแม้แต่โมบิลสูท ที่ลอยอยู่เหนือโลกนี่มันลอยด้วยแรงเหวี่ยงหนีศูนย์จากการโคจรรอบโลก
เพดานบินของ ISS (International Space Station) ณ ความสูง 400 กิโลเมตร ค่าแรงโน้มถ่วงของโลก ยังมีอยู่ที่ระดับ 8.7 m/s2 ลดลงมานิดเดียวจากบนพื้นโลก และมันต้องโคจรด้วยความเร็ว 7.6 กิโลเมตรต่อวินาที เพื่อจะมีแรงเหวี่ยงหนีศูนย์พอดีกับแรงโน้มถ่วงระดับ 8.7 m/s2
สมมุติว่าเรามีกองทัพแซ็ค (ยุคตู ซาคุนี่เขาเรียกว่าแซ๊ค แต่ญี่ปุ่นออกเสียแซ๊คไม่ได้ก็เลยแก้มันข้างกล่องเลยว่าอ่านว่าซาคุ) กำลังเร่งเครื่องเข้าหาไวท์เบสที่จะเข้าชั้นบรรยากาศที่ทิศทางตามการหมุนของโลก และไวท์เบส ส่งกันดั้มออกไปต่อกร ด้วยความเร็วสัมพัทธ์กับแซ็ค ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ภายในเวลา 1 นาที กันดั้ม จะตกลงไปจากเพดานบินเดิมถึง 200 เมตร เช่นเดียวกับ แซค ถ้าเคลื่อนที่เข้าหาไวท์เบสด้วยความเร็วสัมพัทธ์กับไวท์เบสที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 1 นาที เพดานบินของมันจะลอยเหนือไวท์เบสไป 100 เมตร เพราะการเปลี่ยนแปลงของแรงเหวี่ยงหนีศูนย์นี่เอง และถ้ายิ่งเคลื่อนเข้าหาด้วยความเร่ง เบิ้ลบูสเตอร์กันปู้ดป้าดๆ กองทัพแซ็ค อาจหลุดจากวงโคจร และกันดั้ม ก็จะตกสู่ชั้นบรรยากาศภายในเวลาไม่นานนัก
และสมมุติ ถ้าทั้งกองทัพแซค และไวท์เบส โคจรสวนทางกัน ทั้งคู่ จะผ่านกันด้วยความเร็วถึง 15.2 กิโลเมตรต่อวินาที คุณจะมีเวลายิงกัน 2นาทีครึ่ง นับจากที่อีกฝั่งโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าออกมาเท่านั้นเอง
โมบิลสูทกันดั้ม กำลังเคลื่อนตัวเข้าสกัดแซ็คที่เข้าจู่โจมไวท์เบสที่กำลังเข้าชั้นบรรยากาศ เท่ากับมันกำลังลดความเร็วลง ยิ่งเข้าหาเร็วเท่าไร เท่ากับการสูญเสียพลังงานจลน์มากเท่านั้น และมันหมายถึงเพดานบินที่จะลดลงฮวบๆด้วย
การต่อสู้ของเรือรบอวกาศ จึงยากมากที่จะเกิดการปะทะกันในระยะประชิด นอกเสียจากว่าเราจะสามารถคิดค้นระบบเกราะพลังงาน ในยุคเริ่มต้นของสงครามอวกาศนี้ มันจะต้องเล็งถล่มกันจากระยะไกล และโดยที่วิสัยการตรวจจับในอวกาศ ถ้าไม่มีเรื่องอนุภาคไมนอฟสกี้ ทัศนวิสัยการมองเห็นนั้นอยู่ในหลักเป็นปีแสง...เอาเป็นว่าถ้าขนาดยานเล็กๆก็คงตรวจจับได้ในหลักหลายสิบ AU ละนะ (Astronomical Unit = ระยะห่าง โลก – ดวงอาทิตย์) และในระดับวงโคจร นั่นก็ระดับหมื่นกิโลเมตรตามมุมการบังของพื้นโลก ระบบการเล็งหันหัวปืน และการเบี่ยงออกจากวิถีกระสุนเพียงเล็กน้อย จะมีความสำคัญกว่าการเคลื่อนที่ฉวัดเฉวียนแบบการประจัญบาน การควบคุมเปลี่ยนทิศทางของเรือรบ และ หุ่นรบอวกาศ น่าจะเน้นไปที่การเปลี่ยนมุม เช่นระบบการใช้แรงกระทำกับตัวไจโรสโคปเพื่อให้เกิดการบิดและเปลี่ยนทิศทาง หรือกรณีหุ่นยนต์อวกาศก็ใช้การจัดองคาพยพเพื่อเบี่ยงตัวออกจากวิถีกระสุน
ระยะการตรวจจับในอวกาศนั้นไกลมาก ในรูป จุดสีน้ำเงินคือภาพถ่ายสัญญาณวิทยุจากยานวอยเอเจอร์ 1 ที่อยู่ห่างออกไป 18,500 ล้านกิโลเมตร (121 AU หรือ 17 ชั่วโมงแสง ณ ปี 2012) เลยไปในแถบไคเปอร์ เพราะมันไม่มีอนุภาคไมนอฟสกี้คอยรบกวนสัญญาณ
ระบบ Thruster ขับเคลื่อนของอวกาศยาน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ แม้ว่าปัจจุบันจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำ Reactionless thruster อย่าง EMdrive และมีระบบขับเคลื่อนที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อย อย่าง Ion Thruster แต่ในการรบ ความคล่องตัว เป็นจุดชี้ขาดถึงความเป็นความตาย พวกเชื้อเพลิงขับแบบสันดาป หรือพวก Aerosol Propellant ก็ยังน่าจะมีความสำคัญในการรบ โดยอวกาศยาน น่าจะต้องมีการผสมผสานต้นกำลังขับเคลื่อนหลายชนิด เพื่อใช้ในการเดินทาง เพื่อการเปลี่ยนทิศทาง เพื่อการหลบเลี่ยง เพื่อการเบี่ยงออกจากวิถีอาวุธที่ฝั่งตรงข้ามยิงประเคนมา
อาวุธในสงครามอวกาศ
ในขณะที่บนพื้นโลก ระเบิด เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิผลการทำลายเป็นวงกว้าง แต่ไม่ใช่ในอวกาศ เพราะกลไกการทำลายของระเบิดอาศัยการสะท้อนกลับของอากาศที่ทำให้แรงระเบิดคงอยู่บนพื้นผิวที่ปะทะ ในขณะที่ ในอวกาศ กลุ่มก๊าซที่เกิดจากแรงระเบิดจะกระจายหายไปในอวกาศไร้แรงดันที่จะสะท้อนกลับมาบนพื้นผิว เช่นเดียวกับอาวุธรังสีแบบระเบิดนิวเคลียร์ รังสีจะไม่มีการดูดซับและเปลี่ยนเป็นความร้อนห่อหุ้มพื้นที่แต่แพร่กระจายออกในทุกทิศทางแทบจะในทันที ถ้าถูกนำมาใช้ มันจะกลายเป็นอาวุธระยะประชิดที่สิ้นเปลืองมาก
การระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ในอวกาศใน Operation Fishbowl ของสหรัฐอเมริกาในปี 1962 สิ่งที่แตกต่างคือ เพราะมันไม่มีอากาศ แรงระเบิดจึงกระจายหายไปเร็วมาก แต่ก็เพราะมันไม่มีอากาศ การแผ่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกินกว้างไปกว่าบนพื้นโลก ถ้าจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อรบกวนสัญญาณสื่อสาร หรือทำลายอวกาศยานเป้าหมายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็คงสิ้นเปลืองไม่ใช่เล่น
ในสงครามอวกาศ อาวุธที่น่าจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจะได้แก่อาวุธมวลปะทะ เรียกให้ขรุขระจาก Mass Driver หรือ Mass impacter เรียกง่ายๆก็จะประมาณกระสุน เพราะอวกาศไม่มีแรงเสียดทาน กระสุนที่ถูกยิงออกไปแล้ว จะเดินทางพร้อมกับพลังงานจลน์ไปนานเท่านานไม่สูญหาย แต่อาวุธกระสุน ถ้ามีขนาดใหญ่ ยิงจากระยะไกล ก็อาจถูกสอยลงได้ ด้วยในอวกาศ เซนเซอร์ต่างๆที่รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถตรวจจับได้ไกลมาก และกระสุนที่มีมวล จะอย่างไรความเร็วก็จะน้อยกว่าความเร็วแสงไปเยอะ พวกมิสไซล์ที่บรรจุพวก Cluster shell อาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของอาวุธสงคราม โดย Cluster missile เหล่านี้ อาจถูกยิงด้วยความเร็วต้นจากแท่นปืนใหญ่ แล้วบรรทุกเชื้อเพลิงแค่สำหรับปรับทิศทางในอวกาศ โดยตั้งให้ระเบิดเมื่อเข้าสู่ระยะใกล้ยานศัตรู
การยิงกระสุนมวลหนักโดยเรืออวกาศซิโดเนียเข้าถล่มกาวน่า กระสุนมวลหนักนี้ อาจใช้หลักการแม่เหล็กไฟฟ้าแบบ Rail gun หรือใช้นิวเคลียร์ในการขับมวลกระสุนก็ได้ และจะเป็นการใช้พลังงานนิวเคลียร์ได้มีประสิทธิภาพในอวกาศมากกว่าจะเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปยิงทิ้งเฉยๆ
อาวุธลำแสง ที่สามารถเดินทางได้แสนไกลด้วยความเร็วแสง เป็นอีกหนึ่งอาวุธที่นำใช้ได้ ด้วยความรู้เกี่ยวกับอาวุธเลเซอร์ปัจจุบัน มันต้องใช้เวลาในการหลอมทำลาย ถ้าจะลดเวลาแบบยิงปี๊ดเดียวทะลุ ก็ต้องใช้เครื่องกำเนิดพลังงานขนาดมหาศาล อาวุธเลเซอร์เอง อย่างน้อยในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีสงครามอวกาศ อาจไม่ถูกใช้ในลักษณะอาวุธหนักยิงทำลาย แต่ใช้เล็งทำลายเซนเซอร์ต่างๆของยานศัตรู แล้วค่อยเผด็จศึกด้วยอาวุธมวลปะทะ หรือบางที มันอาจมีการใช้อาวุธประเภท Particles Beam ปืนลำแสงอนุภาค ที่แม้จะช้ากว่าแสงไปบ้าง แต่ด้วยการที่มีมวลเป็นองค์ประกอบจึงสามารถส่งพลังทำลายได้มากกว่า
อาวุธปืนลำแสงอนุภาค มีคอนเซปท์มาตั้งแต่สมัยของนิโคลา เทสล่า โดยเทสล่าคิดจะใช้ปรอทเป็นตัวต้นอนุภาค และกลายมาเป็นอาวุธพื้นฐานในสงครามยุคศักราชอวกาศของกันดั้ม
นอกจากอาวุธดังข้างต้น SWARM หรืออาวุธหุ่นยนต์ที่ผลิตเป็นจำนวนมาก ก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธที่อาจนำใช้ในสงครามอวกาศ ระบบ SWARM เป็นแนวคิดใหม่ของการพัฒนาหุ่นยนต์ราคาถูกผลิตได้เป็นจำนวนมากสำหรับการรบ เช่นโปรแกรม LOCUST หรือ LOw-Cost Unmanned aerial vehicle Swarming Technology ของอเมริกา ที่ใช้หุ่นโดรนจำนวนมาก ควบคุมการทำงานด้วยคนในระยะไกล ใช้ AI ประมวลผลการทำงานเป็นกลุ่ม ทดแทนการเอาเครื่องบินเข้าไปเสี่ยงกับขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานที่ราคาถูกกว่าเครื่องบินรบมาก ในหนังสงครามอวกาศ เช่นเรื่อง Star Trek Beyond ฝูงยานบินขนาดเล็กของ Krall ที่เข้าจู่โจมยาน Enterprise หรือ ระบบ Funnels ของ คิวเบรย์ จากเรื่องกันดั้ม ก็จัดเป็นอาวุธแบบ SWARM ได้ อาวุธ SWARM จะมีความเหมาะสมในแง่ที่ว่าใช้ครั้งเดียว ไม่ต้องไปเก็บกู้ ซึ่งจะสามารถส่งเข้าไปทำลายยานของศัตรูได้โดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีเชื้อเพลิงพอจะเร่งความเร็วย้อนกลับยาน และชะลอเพื่อเทียบจอด โดยอาจติดแค่อาวุธเลเซอร์แบบเบา ใช้เผา Sensor ต่างๆของยานศัตรูจนไม่สามารถหลบหนีได้แล้วค่อยใช้อาวุธแบบ Mass Impact ทำลายในท้ายสุด
ในแง่มุมหนึ่ง พวก Funnel หรือ Bit control system ก็อาจถือเป็นอาวุธจำพวก SWARM โดนในจักรวาลของกันดั้ม Funnel เป็นอาวุธควบคุมด้วยระบบไซโคมิว มีทั้งการควบคุมแบบเดี่ยวๆ และการควบคุมแบบฝูงเข่นที่ Qubeley ใช้