EP:2 สารคดี Tu-22M Backfire โคตรเครื่องบินทิ้งระเบิดจากยุคสงครามเย็น

Backfire อาวุธแห่งการป้องปราม
ที่มา: Tu-22M เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ความเร็วเหนือเสียงของสหภาพโซเวียตที่พัฒนาขึ้นในยุคสงครามเย็น มีเทคโนโลยีปีกพับได้ (variable-sweep wing)
บทบาทเดิม: ออกแบบมาเพื่อภารกิจโจมตีทางทะเล โดยมีเป้าหมายหลักคือกองเรือบรรทุกเครื่องบินของ NATO
สถานะปัจจุบัน: ได้รับฉายาจาก NATO ว่า "Backfire" และยังคงถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องในสมรภูมิจริงมาจนถึงปัจจุบัน
1. ต้นกำเนิดจากความล้มเหลว: เงาของ Tu-22 "Blinder"
ความล้มเหลวของ Tu-22 "Blinder": Tu-22 รุ่นก่อนหน้าประสบปัญหามากมาย เช่น ปีกไม่แข็งแรงพอ, ความเร็วในการลงจอดสูงอันตราย, และมีอุบัติเหตุบ่อยครั้งจนถูกเรียกว่า "เครื่องบินกินคน"
แรงผลักดัน: ความล้มเหลวของ Tu-22 และการแข่งขันด้านเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ (XB-70 Valkyrie) และคู่แข่งภายในของโซเวียต (Sukhoi T-4) ทำให้สำนักออกแบบ Tupolev ต้องพัฒนาเครื่องบินใหม่เพื่อกอบกู้ชื่อเสียง โดยเสนอการ "ปรับปรุงขนานใหญ่" จาก Tu-22 เดิม
2. การถือกำเนิดภายใต้ชื่อรหัสลวง
กลยุทธ์ทางการเมือง: Tu-22M เป็นเครื่องบินที่ออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด แต่ถูกตั้งชื่อว่า Tu-22M (Modernized) เพื่อ:
หลีกเลี่ยงการตรวจสอบภายใน: ทำให้ดูเหมือนเป็นเพียงการ "ปรับปรุง" ช่วยให้ได้รับการอนุมัติงบประมาณง่ายขึ้น
ลดข้อจำกัดจากสนธิสัญญา SALT II: การอ้างว่าเป็นรุ่นปรับปรุงช่วยให้รอดพ้นจากข้อจำกัดเข้มงวดของสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ โดยมีการถอดท่อเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศออกตามรายงาน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจัดเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลข้ามทวีป
ปรัชญาการออกแบบ: ปีกพับได้: เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ข้อดี 3 ประการ: แรงยกสูงขณะวิ่งขึ้น, ประสิทธิภาพในการบินเดินทาง, และสมรรถนะความเร็วสูงเมื่อลู่ปีก
3. วิวัฒนาการของ "Backfire"
Tu-22M0 และ M1: รุ่นทดสอบและรุ่นนำร่องที่ยังไม่เข้าสู่การผลิตจำนวนมากอย่างแท้จริง
Tu-22M2 "Backfire-B": กำลังหลักรุ่นแรก ผลิตถึง 211 ลำ ใช้เครื่องยนต์ NK-22 มีขีดความสามารถบรรทุก 24 ตัน และติดอาวุธหลักเป็นขีปนาวุธ Kh-22
Tu-22M3 "Backfire-C": รุ่นสมบูรณ์แบบที่อันตรายที่สุด (ยังประจำการในปัจจุบัน)
การปรับปรุงหลัก: ใช้เครื่องยนต์ NK-25 ที่ทรงพลังกว่ามาก, ปรับปรุงอากาศพลศาสตร์ด้วยท่อรับอากาศแบบลิ่ม ทำให้ความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น Mach 2.05 และเพิ่มองศาการลู่ปีก
ระบบอาวุธ: รองรับการติดตั้งขีปนาวุธความเร็วสูง Kh-15 ได้สูงสุด 10 นัด
4. ประวัติการใช้งาน: จากผู้พิทักษ์สู่ผู้โจมตี
ยุคสงครามเย็น: บทบาทหลักคือการโจมตีทางทะเล เป็น "หอกข้างแคร่" ที่คุกคามกองเรือบรรทุกเครื่องบินของ NATO
สมรภูมิแรก (อัฟกานิสถาน): ถูกใช้ในการทิ้งระเบิดธรรมดา แต่เปิดเผยจุดอ่อนเรื่อง อัตราความพร้อมรบที่ต่ำ (30-40%) เนื่องจากคุณภาพการผลิต
ยุคหลังโซเวียต: ถูกใช้ในสงครามเชชเนีย, สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย (2008) (มีการสูญเสียรุ่นลาดตระเวน 1 ลำ), และสงครามกลางเมืองซีเรีย
สงครามยูเครน: มีบทบาทสำคัญในการยิงขีปนาวุธ Kh-22 ใส่เป้าหมาย แต่ก็ประสบความสูญเสียอย่างหนักจาก:
การโจมตีภาคพื้นดิน: ถูกโดรนยูเครนโจมตีขณะจอดที่ฐานทัพอากาศ
การถูกยิงตกกลางอากาศ: ยูเครนอ้างว่าสามารถยิง Tu-22M3 ตกได้เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน 2024
5. ขีดความสามารถและระบบสำคัญ
ทีมลูกเรือ: 4 นาย (นักบิน, นักบินผู้ช่วย, เจ้าหน้าที่ระบบเชิงรุก/นำร่อง, เจ้าหน้าที่ระบบเชิงรับ/สงครามอิเล็กทรอนิกส์)
ระบบตรวจจับ: ใช้เรดาร์ PN-A/PN-AD สำหรับนำร่อง/ทิ้งระเบิด และกล้องเล็งเป้า OBP-15T
ระบบอาวุธหลัก:
Kh-22/Kh-32: ขีปนาวุธต่อต้านเรือรบขนาดใหญ่ ความเร็วสูง (สูงสุด Mach 4.6)
Kh-15: ขีปนาวุธทางยุทธวิธีความเร็วสูงที่บรรทุกได้จำนวนมาก
ระเบิดทั่วไป: บรรทุกระเบิดธรรมดาได้เป็นจำนวนมหาศาล (เช่น FAB-250 ถึง 69 ลูก)
อาวุธป้องกันตัว: ป้อมปืน GSh-23 ขนาด 23 มม. ลำกล้องคู่ที่ท้ายเครื่อง
6. การปรับปรุงเพื่อยืดอายุขัยและอนาคต
SVP-24-22: การอัปเกรดระบบนำร่องด้วยดาวเทียม (GLONASS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทิ้งระเบิดธรรมดาให้เกือบเทียบเท่าอาวุธนำวิถี
Tu-22M3M: โครงการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุด
การอัปเกรด: เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรุ่นเดียวกับ Tu-160M2, เปลี่ยนระบบ Avionics และเรดาร์ใหม่กว่า 80%, ติดตั้งเรดาร์ Phased Array และห้องนักบินแบบ Glass Cockpit
ขีดความสามารถอาวุธ: ทำให้สามารถใช้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic) รุ่นใหม่ล่าสุด เช่น Kh-47M2 Kinzhal
เป้าหมาย: ยืดอายุการใช้งานออกไปอีกอย่างน้อย 40-45 ปี

 
						
EP:2 สารคดี Tu-22M Backfire โคตรเครื่องบินทิ้งระเบิดจากยุคสงครามเย็น
ที่มา: Tu-22M เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ความเร็วเหนือเสียงของสหภาพโซเวียตที่พัฒนาขึ้นในยุคสงครามเย็น มีเทคโนโลยีปีกพับได้ (variable-sweep wing)
บทบาทเดิม: ออกแบบมาเพื่อภารกิจโจมตีทางทะเล โดยมีเป้าหมายหลักคือกองเรือบรรทุกเครื่องบินของ NATO
สถานะปัจจุบัน: ได้รับฉายาจาก NATO ว่า "Backfire" และยังคงถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องในสมรภูมิจริงมาจนถึงปัจจุบัน
1. ต้นกำเนิดจากความล้มเหลว: เงาของ Tu-22 "Blinder"
ความล้มเหลวของ Tu-22 "Blinder": Tu-22 รุ่นก่อนหน้าประสบปัญหามากมาย เช่น ปีกไม่แข็งแรงพอ, ความเร็วในการลงจอดสูงอันตราย, และมีอุบัติเหตุบ่อยครั้งจนถูกเรียกว่า "เครื่องบินกินคน"
แรงผลักดัน: ความล้มเหลวของ Tu-22 และการแข่งขันด้านเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ (XB-70 Valkyrie) และคู่แข่งภายในของโซเวียต (Sukhoi T-4) ทำให้สำนักออกแบบ Tupolev ต้องพัฒนาเครื่องบินใหม่เพื่อกอบกู้ชื่อเสียง โดยเสนอการ "ปรับปรุงขนานใหญ่" จาก Tu-22 เดิม
2. การถือกำเนิดภายใต้ชื่อรหัสลวง
กลยุทธ์ทางการเมือง: Tu-22M เป็นเครื่องบินที่ออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด แต่ถูกตั้งชื่อว่า Tu-22M (Modernized) เพื่อ:
หลีกเลี่ยงการตรวจสอบภายใน: ทำให้ดูเหมือนเป็นเพียงการ "ปรับปรุง" ช่วยให้ได้รับการอนุมัติงบประมาณง่ายขึ้น
ลดข้อจำกัดจากสนธิสัญญา SALT II: การอ้างว่าเป็นรุ่นปรับปรุงช่วยให้รอดพ้นจากข้อจำกัดเข้มงวดของสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ โดยมีการถอดท่อเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศออกตามรายงาน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจัดเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกลข้ามทวีป
ปรัชญาการออกแบบ: ปีกพับได้: เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ข้อดี 3 ประการ: แรงยกสูงขณะวิ่งขึ้น, ประสิทธิภาพในการบินเดินทาง, และสมรรถนะความเร็วสูงเมื่อลู่ปีก
3. วิวัฒนาการของ "Backfire"
Tu-22M0 และ M1: รุ่นทดสอบและรุ่นนำร่องที่ยังไม่เข้าสู่การผลิตจำนวนมากอย่างแท้จริง
Tu-22M2 "Backfire-B": กำลังหลักรุ่นแรก ผลิตถึง 211 ลำ ใช้เครื่องยนต์ NK-22 มีขีดความสามารถบรรทุก 24 ตัน และติดอาวุธหลักเป็นขีปนาวุธ Kh-22
Tu-22M3 "Backfire-C": รุ่นสมบูรณ์แบบที่อันตรายที่สุด (ยังประจำการในปัจจุบัน)
การปรับปรุงหลัก: ใช้เครื่องยนต์ NK-25 ที่ทรงพลังกว่ามาก, ปรับปรุงอากาศพลศาสตร์ด้วยท่อรับอากาศแบบลิ่ม ทำให้ความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น Mach 2.05 และเพิ่มองศาการลู่ปีก
ระบบอาวุธ: รองรับการติดตั้งขีปนาวุธความเร็วสูง Kh-15 ได้สูงสุด 10 นัด
4. ประวัติการใช้งาน: จากผู้พิทักษ์สู่ผู้โจมตี
ยุคสงครามเย็น: บทบาทหลักคือการโจมตีทางทะเล เป็น "หอกข้างแคร่" ที่คุกคามกองเรือบรรทุกเครื่องบินของ NATO
สมรภูมิแรก (อัฟกานิสถาน): ถูกใช้ในการทิ้งระเบิดธรรมดา แต่เปิดเผยจุดอ่อนเรื่อง อัตราความพร้อมรบที่ต่ำ (30-40%) เนื่องจากคุณภาพการผลิต
ยุคหลังโซเวียต: ถูกใช้ในสงครามเชชเนีย, สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย (2008) (มีการสูญเสียรุ่นลาดตระเวน 1 ลำ), และสงครามกลางเมืองซีเรีย
สงครามยูเครน: มีบทบาทสำคัญในการยิงขีปนาวุธ Kh-22 ใส่เป้าหมาย แต่ก็ประสบความสูญเสียอย่างหนักจาก:
การโจมตีภาคพื้นดิน: ถูกโดรนยูเครนโจมตีขณะจอดที่ฐานทัพอากาศ
การถูกยิงตกกลางอากาศ: ยูเครนอ้างว่าสามารถยิง Tu-22M3 ตกได้เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน 2024
5. ขีดความสามารถและระบบสำคัญ
ทีมลูกเรือ: 4 นาย (นักบิน, นักบินผู้ช่วย, เจ้าหน้าที่ระบบเชิงรุก/นำร่อง, เจ้าหน้าที่ระบบเชิงรับ/สงครามอิเล็กทรอนิกส์)
ระบบตรวจจับ: ใช้เรดาร์ PN-A/PN-AD สำหรับนำร่อง/ทิ้งระเบิด และกล้องเล็งเป้า OBP-15T
ระบบอาวุธหลัก:
Kh-22/Kh-32: ขีปนาวุธต่อต้านเรือรบขนาดใหญ่ ความเร็วสูง (สูงสุด Mach 4.6)
Kh-15: ขีปนาวุธทางยุทธวิธีความเร็วสูงที่บรรทุกได้จำนวนมาก
ระเบิดทั่วไป: บรรทุกระเบิดธรรมดาได้เป็นจำนวนมหาศาล (เช่น FAB-250 ถึง 69 ลูก)
อาวุธป้องกันตัว: ป้อมปืน GSh-23 ขนาด 23 มม. ลำกล้องคู่ที่ท้ายเครื่อง
6. การปรับปรุงเพื่อยืดอายุขัยและอนาคต
SVP-24-22: การอัปเกรดระบบนำร่องด้วยดาวเทียม (GLONASS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทิ้งระเบิดธรรมดาให้เกือบเทียบเท่าอาวุธนำวิถี
Tu-22M3M: โครงการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุด
การอัปเกรด: เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรุ่นเดียวกับ Tu-160M2, เปลี่ยนระบบ Avionics และเรดาร์ใหม่กว่า 80%, ติดตั้งเรดาร์ Phased Array และห้องนักบินแบบ Glass Cockpit
ขีดความสามารถอาวุธ: ทำให้สามารถใช้ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic) รุ่นใหม่ล่าสุด เช่น Kh-47M2 Kinzhal
เป้าหมาย: ยืดอายุการใช้งานออกไปอีกอย่างน้อย 40-45 ปี