ถ้ายังศรัทธา "ปาราชิก"...อย่าริประกาศตนว่าเป็น "พุทธ"!



กรณี ธัมมชโย มาถึงเวลานี้ซีรีย์เรื่องยาวคงใกล้จะถึงปลายจบ "อวสานเซลแมน"  เข้ามาทุกที

เพราะยิ่งขุด..ยิ่งพบ  ยิ่งรีบกลบ..กลับยิ่งเหม็นโฉ่!

อารัมภบทเก่า...เพราะเรื่องมันเกิดมาแต่ปี 2542 นับแต่ที่พระลิขิต 5 ฉบับ ของสมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ที่ได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญถือเป็นบรรทัดฐานบันทึกในประวัติศาตร์วงการพระพุทธศาสนาไทยให้ปรากฏต่อไป ถึงการทำหน้าที่อันงดงาม ..ซื่อตรง และเพียบพร้อมอย่างเต็มกำลัง สมพระเกียรติทั้งในฐานะแห่ง "สมณะศากยปุตริยะ" ของพระบรมศาสดา  และสมค่าในฐานะแห่งตำแหน่ง "สังฆบิดร" ของเมืองไทย

พระลิขิตที่เริ่มต้นด้วยพระเมตตา นำเอาหลักพระธรรมวินัยของพุทธองค์มาตั้งต้นพิจารณาอธิกรณ์ด้วยเล็งเห็นในเบื้องต้นว่า "อาจไม่มีเจตนา" จึงทรงตักเตือนและท้วงถามด้วยถือว่าเป็นถึงพระเถรานุเถระและไม่อยากให้เกิดความขัดหมองใจกันในหมู่คณะสงฆ์  จึงไม่ทรงใช้อำนาจตามกฎหมายที่ให้ ด้วยการละไว้ซึ่ง "พระบัญชา" แต่หันมาใช้ "พระลิขิต"  เพื่อให้ "คณะสงฆ์" ได้สติ..ตรองตรึก..พิจารณากันเอา

เจตนาการถือครองไว้ซึ่งของที่ห้ามเด็ดขาดในพระวินัย..ทั้งท้วงทั้งทักก็ยังไม่นำพา   จนนำไปสู่คดีอาญา ลากเวลามาถึง 7 ปี!   จึงทรงมีฉบับสุดท้ายเป็น ปัจฉิมลิขิตที่สะกิดต่อมย้ำหน้าที่ให้แก่เหล่าบรรดา "เจ้าคุณยศถาหนัก" ในมหาเถรฯ ให้ตระหนักถึงหน้าที่ทีต้องกระทำตามพระธรรมวินัยที่จะไม่กลายเป็นไม้กลองศึกของกษัตริย์ที่สุดท้ายมีการเอาลิ่มไม้ใหม่ยัดแทนเนื้อไม้เก่าจนเนื้อไม้กลองหมดสิ้นดั่งที่พุทธองค์ทรงห่วงว่า วันหนึ่งศาสนาแห่งพระองค์ก็จะหมดไปฉะนั้น!

ในทางโลกเวลานั้น... เมื่ออัยการกองคดี5 ยื่นฟ้องพระเป็น "จำเลย" และหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่สุดที่จะเป็นการชี้พฤติการณ์ของจำเลยว่าได้กระทำผิดในพระธรรมวินัยคือสาระที่ปรากฏชัดแล้วในพระลิขิตทั้ง 5 ฉบับ!

พระลิขิตทั้ง 5 ฉบับ อัยการที่เป็นโจทก์ได้ทำการตรวจสอบเอกสาร ทั้งการสืบสวนเอกสารโดยตำรวจสันติบาล เพราะข่าวสารในเวลานั้นแทบไม่น่าเชื่อว่ามีความพยายามจะโยงให้เป็นเรื่อง "พระลิขิตปลอม!"

ในสำนวนฟ้อง ของอัยการ ได้บรรจุสาระสำคัญอันปรากฎในพระลิขิตทั้งหมด เพื่อให้ศาลฯ ท่านได้เห็นพฤติกรรม...พิจารณาถึงพฤติการณ์อันภิกษุกระทำแล้วถึงปาราชิก ทุกอย่างชัดเจนในสารบบบันทึก และดำเนินกระบวนเรื่อยมาจนกระทั่ง...    

สุดท้ายเมื่อคดีใกล้งวด พยานที่เหลืออีกไม่กี่ปาก....ศาลท่านก็จะพิพากษา  กลับเหมือนฟ้าผ่าฟาดลงกลางแผ่นดิน!!!.


เพราะเมื่ออัยการสูงสุดมีความเห็นควรถอนฟ้องคดี ด้วยเหตุที่ว่า "...หากดำเนินคดีกับ จำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั้งในและต่างประเทศ ที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้...."

ดังนั้น....จึงแม้นจะรอด "คุก" แต่ก็ชัดด้วยเหตุและผลว่าการยอมถอนฟ้องนั้นเป็นไปตามเหตุผลทางโลก  แต่ไม่ตัดกรณีว่าจำเลยได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว ทั้งเจตนาในทางโลก และมีไถยจิตในทางพระวินัย ครบองค์ประกอบสำเร็จแห่งการเข้าสู่สถานะ "ปาราชิก"   ไปนานแล้ว  เพียงแต่การถอนฟ้องถือเป็นกลไกในทางโลกที่จะช่วยมิให้ "เข้าคุก" เท่านั้น

ฟังดู..อ่านดู...พินิจแล้ว    น้ำตาแทบไหล  ว่าเหตุใด   เหล่าพระเถรานุเถระ ที่กราบไหว้สวดมนต์เช้า...ทำวัตรเย็น  สายตาทุกรูปมุ่งตรงจับตรงสายพระเนตรพุทธองค์ที่ทอดต่ำด้วยพระเมตตา ในโบสถ์เคหาสน์แทบทุกวัน ..แต่กลับอุ้มสมคน "พ่าย" ในพระธรรมวินัยได้อย่างหน้าตาเฉย!

การแฉไฉ..บิดเบือนพระวินัย.. แต่ยังอาศัยผ้าเหลือง แอบอ้างพระศาสดา เพื่อให้พุทธศาสนิกชน เข้าหาวัด... ล้วนเป็นวัตรที่ตรงข้ามสิ่งที่พระองค์ทรงสอน...ให้คิด..ให้ทำ อย่างสิ้นเชิง!

พุทธองค์ ...สอนให้ ภิกขุ   ทิ้ง..วาง... ตัดออก  ซึ่งอาสวะกิเลส  เงินทองลาภสักการะ....  อันเป็นต้นทางที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางไปสู่ "ความพ้นทุกข์"  

สั่งสอนโยมญาติ...ว่า ต้องหัดสร้างทานบารมี  กันไว้เยอะๆ  ...เมื่อถามว่าอย่างไร...ตอบง่าย ๆ ก็ "เงินทองนั่นไง"...เอามากองมาถมให้วัดเถิด!

สอนคนอื่นให้ละวาง...ไม่ยึดติด   แต่ภิกษุกลับไม่เคยสอนตนเอง  แถมยินดีรับทุกเรื่อง โดยเฉพาะ ทองเงิน...ลาภยศ!
โบสถ์..มหาเจดีย์ ...รูปหล่อทองคำ..เงินทองเต็มบัญชี จึงเต็มบ้านเมือง...วัดวา รุ่มร่ามรุ่มรวยด้วย "วัตถุ" อันพุทธองค์ทรงย้ำว่ามันไม่จีรัง...

ทำกันแบบนี้หรือคือ "หัวใจพระศาสนา!?"  เป็น  "ปัญญาแห่งพุทธะ"
สั่งนำเข้ารถหรู..เป็นเจ้าของรถหายาก..เพื่อให้สมบูญญา!    พอเค้าจับได้ไล่ทัน บอกว่า อาตมันมีไว้ให้คนศึกษาว่านี่คือ กิเลส!!

ทำกันแบบนี้อีกล่ะ.... ไม่กระดากใจ..อายพระพุทธรูปกันบ้างหรือ?


เล่าให้คิด...เผื่อว่าจิตจะเข้าถึง    จึงฝากให้พุทธศาสนิก...โปรดถอยหลังตั้งสติกันสักนิด

ถ้ายึดเอา "พระธรรม" ที่เป็นเนื้อแท้   ...........ที่แน่ ๆ ทรงย้ำว่า  มันสามารถหลุดพ้นทั้งในชาตินี้ และทุกภพแบบไม่ต้องแวะพักกลาง "สวรรค์"

แต่ถ้ายังก้มหน้า ยึดเอา "ปาราชิก" เป็นศาสดา  ....  อย่าคิดเลยว่าจะหา สวรรค์ได้จริง!

เพราะหากยังปล่อยให้เหล่า "ปาราชิกชน" เป็นศาสดานำพาชีวิตถึงขนาดจะปกป้องพิทักษ์ด้วยชีวิต ....ไม่นานศาสนาของพระองค์ก็จะเสื่อม

และไอ้สิ่งที่เรียกว่า  "สวรรค์" อันเป็นเป้า...สุดท้ายดีใจว่าจะได้ไป "ลั๊นลา..สาธุๆๆ"  เอาเข้าจริงมันจะกลายเป็น "มหานรกอเวจี"   แบบ    "ไม่เจตนา" เอาจริงๆนะ...จะบอกให้!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่