เปลว สีเงิน
Friday, 20 February, 2015 - 00:00
ถึงคราว "มหาเถรสมาคม" ร้อน
ฮื่อ..."หลวงพ่อไม่ผิด เป็นความเข้าใจผิด ข้อกล่าวหาต่างๆ ยุติแล้ว" สื่อโฆษกธรรมกาย นะจ๊ะออกมาแล้วเมื่อวาน (๑๙ ก.พ.๕๘)
คือ สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย เขาโพสต์ fb ว่า...........
"ข้อหายุติแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ขอยืนยันว่า หลวงพ่อไม่ผิด เป็นความเข้าใจผิด เพราะอาจได้รับข้อมูลไม่ครบ แต่กรรมการมหาเถรสมาคมได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง และเข้าใจดี จึงให้การยอมรับ ดังนั้น
๑.มีการถวายคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแด่หลวงพ่อ ในปลายปี ๒๕๔๙ และ
๒.ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
คำว่า "ยุติตั้งแต่ปี ๒๕๔๙" เขาหมายถึงคดีอัยการฟ้องธัมมชโยยักยอกทรัพย์ร่วมพันล้านและสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้ว เมื่อปี ๒๕๔๒ แต่ก็...เฉย
จนใกล้วันศาลจะตัดสินในปี ๒๕๔๙ อัยการก็ถอนฟ้องท่ามกลางความงงงันคนทั้งประเทศถึงวันนี้!
ตรงนี้แหละ ธรรมกายจึงใช้เป็นเงื่อนไขแถลงเมื่อวานว่า หลวงพ่อไม่ผิด เป็นความเข้าใจผิด มหาเถรสมาคมเข้าใจดีแล้ว ประมาณนั้น
ที่อ้างเป็นความถูกต้องว่า มีการถวายคืนตำแหน่งเจ้าอาวาส...มันก็แน่ละซิ ปี ๒๕๔๙ มันยุคใครล่ะ...
ยุคทักษิณ "ศิษย์เอกธรรมกาย" และยุคสมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศ อาจารย์ประจำตระกูลทักษิณ เป็นใหญ่มิใช่หรือ?
และที่ยกมาโอ้อวด เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี เมื่อปี ๒๕๕๔ ก็ยุคที่ "สมเด็จเกี่ยว" วัดสระเกศ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชมิใช่หรือ?
ป่วยการเอาจริงโต้เท็จตรงนี้ วันนี้ (๒๐ ก.พ.) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านนัดประชุมมหาเถรสมาคม
ก็คอยดู-คอยฟัง "มหาเถรสมาคม" ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัดธรรมกายว่า จะตีความไปทางไหน กับลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี ๒๕๔๒ ที่ระบุว่าธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้ว!?
เท่าที่ฟัง ทั้งนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักพุทธฯ ก็ "ถ่างขาพูด" ตามสไตล์ข้าราชการ ถ้าจะว่าข้าราชการเป็นธง
ก็ธงที่พลิ้วตลอดนั่นแหละ!
เป็นปาราชิกแล้วตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราชมั้ง...ไม่เป็นมั้ง เพราะคืนเงินคืนที่ดินให้วัดแล้ว....เป็นมั้ง เพราะทางพระวินัย เอาทรัพย์เขามาเกิน ๕ มาสก ถึงคืนก็ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว...เอ๊ะ...ไม่เป็นมั้ง เพราะอัยการถอนฟ้องธัมมชโยจากศาลแล้ว
เนี่ย...มั้งขวาที-ซ้ายที หาแก่นสารเพื่อยึดถือจากการรับฟังรัฐมนตรี ผอ.สำนักพุทธฯ ไม่ได้
สรุป...ทุกคน-ทุกฝ่าย โบ้ยไปที่มหาเถรสมาคม สุดแต่จะชี้ขาดว่า ธัมมชโยเป็นอลัชชีแฝงคราบพระอยู่ หรือยังเป็นพระอยู่ มหาเถรว่าไง
พวกธงก็พร้อมพลิ้วว่างั้น?
ผมว่านะ...ลงท้าย ก็งึมๆ งำๆ งึกๆ งักๆ เป็นอนันตจักรวาลกันต่อไป!
เรื่องอย่างนี้ พวกอลัชชีแฝงศาสนา แต่ไม่มีเส้น-ไม่มีซอง ผมเห็นตำรวจและคณะสงฆ์จับสึก แล้วนำตัวไปดำเนินคดีมากต่อมาก...ง่ายจัง
แต่ราย โล้นนะจ๊ะ อิทธิพล-เงินทอง-ซองใหญ่ ขนาดความผิดทางอาญาเห็นจะจะซ้ำซาก ความผิดทางพระวินัยก็เห็นแจ้งๆ จะจะ
แต่...ทั้งคณะสงฆ์ ทั้งตำรวจ ดีเอสไอ ปปง. อย่าพูดว่า ๒ มาตรฐานเลย เพราะมัน "ไม่มีมาตรฐาน" จริงๆ!
ผมจับประเด็นได้ว่า ทุกฝ่ายพยายามตีความ "ลิขิตสมเด็จพระสังฆราช" แบบเฉไฉ เบี่ยงไปลักษณะ ..........
"ธัมมชโยยอมคืนแล้วไง ก็ไม่เป็นปาราชิกตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราชซี!"
เอางี้ดีกว่า...มาดูใจความในคำขอถอนฟ้องต่อศาลของอัยการก่อนดีกว่า ว่า ตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริงๆ นั้น มีว่าอย่างไร..........
และธัมมชโย "ขาดจากความเป็นพระ" ด้วยผิดร้ายยิ่งกว่าเรื่องยักยอกเป็นล้านเท่า แต่ไม่พูดถึงกัน เรื่องนั้น คือเรื่องอะไร ที่ "สมเด็จพระสังฆราช" มีพระลิขิตไว้?
จำให้แม่นนะครับ...สมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ แต่ธัมมชโย ดื้อแพ่ง-ถือดี ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งมหาเถรสมาคมก็...อย่างว่า
จนใกล้ถึงวันศาลจะตัดสินคดี ถึง ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ จู่ๆ อัยการก็ขอถอนฟ้อง ผมจะนำจากข่าว "มติชน ออนไลน์" ครั้งนั้น มาย้อนให้อ่านกัน ดังนี้
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาล นายสุนพ กีรติกุล ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน และองค์คณะออกนั่งบัลลังก์ พิจารณาคดีดำ หมายเลขที่ 11651/2542 และคดีดำหมายเลข 14735/2542
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สิทธิผล อายุ 62 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
และนายถาวร พรหมถาวร อายุ 57 ปี ลูกศิษย์คนสนิท เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยสุจริต และเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และเงิน จำนวน 29,877,000 บาท ไปซื้อที่ดินเนื้อที่ 902 ไร่เศษ ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร และ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 เช่นกัน
ทั้งนี้ เรืออากาศโทวิญญ วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 สรุปว่า
ตามที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง เมื่อ 4 ตุลาคม 2542 และ 16 ธันวาคม 2542 ตามลำดับ โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิด โจทก์ขอเรียนว่า
การดำเนินคดีนี้ สืบเนื่องจาก จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีว่า..............
ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสั่งสอนโดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้พระสงฆ์ที่หลงเชื่อคำสอนบิดเบือนแตกแยกออกไปกลายเป็นสองฝ่าย มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้พระสงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้องคือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เมษายน 2542) ในชั้นต้นหากมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระคืนให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติ ปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครองทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ให้พระพุทธศาสนา
คำร้องถอนฟ้องระบุต่อไปว่า....
บัดนี้ ข้อเท็จจริงในการเผยแผ่คำสอนปรากฏจากอธิบดีกรมการศาสนา ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 1 ว่า ในปัจจุบันจำเลยที่ 1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎก และนโยบายของคณะสงฆ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก
สำหรับในด้านทรัพย์นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงิน จำนวน 959,300,000 บาท คืนให้วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว
"ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่า หากดำเนินคดีจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณรและประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนคดีนี้ ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา ขอศาลโปรดอนุญาต" คำร้องระบุ
ศาลได้สอบถามว่า...........
จำเลยทั้งสองจะคัดค้านหรือไม่ จำเลยทั้งสองแถลงว่า ไม่คัดค้าน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ก่อนศาลมีคำพิพากษา เมื่อจำเลยทั้งสองคนไม่คัดค้านที่โจทก์ถอนฟ้อง จึงมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.35 จึงอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง และจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความของศาลอาญา
และจากข่าว เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ ให้ข้อมูลท้ายข่าวไว้ว่า....
"............ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน "รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี"
โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่ทักษิณ"
ครับ...อ่าน "ต้นเรื่อง" ให้เข้าใจกันก่อน ใครมาเฉไฉจะได้รู้ทัน จะเห็นว่าพวกศรีธนญชัยกำลังบิดเบือนความตามพระลิขิต "สมเด็จพระสังฆราช" ในประเด็นปาราชิก
แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เรื่องบิดเบือนคำสอนพระพุทธศาสนา แยกสงฆ์ออกเป็นสองฝ่ายตามพระลิขิต เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา โทษขั้น "อนันตริยกรรม" จะถอนฟ้อง-ไม่ถอนฟ้อง ใครก็จะยกเป็นข้ออ้างลบล้างโทษอุกฤษฏ์นี้ไม่ได้
เรื่องนี้ยาว ส่วนจะยาวขนาดสั้น หรือสั้นขนาดยาว ก็ต้องรอดูผลประชุมมหาเถรสมาคมวันนี้.
เปลว สีเงิน Friday, 20 February, 2015 - 00:00 ถึงคราว "มหาเถรสมาคม" ร้อน ( ต่อเนื่องวันที่ 5 )
Friday, 20 February, 2015 - 00:00
ถึงคราว "มหาเถรสมาคม" ร้อน
ฮื่อ..."หลวงพ่อไม่ผิด เป็นความเข้าใจผิด ข้อกล่าวหาต่างๆ ยุติแล้ว" สื่อโฆษกธรรมกาย นะจ๊ะออกมาแล้วเมื่อวาน (๑๙ ก.พ.๕๘)
คือ สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย เขาโพสต์ fb ว่า...........
"ข้อหายุติแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ขอยืนยันว่า หลวงพ่อไม่ผิด เป็นความเข้าใจผิด เพราะอาจได้รับข้อมูลไม่ครบ แต่กรรมการมหาเถรสมาคมได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง และเข้าใจดี จึงให้การยอมรับ ดังนั้น
๑.มีการถวายคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแด่หลวงพ่อ ในปลายปี ๒๕๔๙ และ
๒.ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
คำว่า "ยุติตั้งแต่ปี ๒๕๔๙" เขาหมายถึงคดีอัยการฟ้องธัมมชโยยักยอกทรัพย์ร่วมพันล้านและสมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้ว เมื่อปี ๒๕๔๒ แต่ก็...เฉย
จนใกล้วันศาลจะตัดสินในปี ๒๕๔๙ อัยการก็ถอนฟ้องท่ามกลางความงงงันคนทั้งประเทศถึงวันนี้!
ตรงนี้แหละ ธรรมกายจึงใช้เป็นเงื่อนไขแถลงเมื่อวานว่า หลวงพ่อไม่ผิด เป็นความเข้าใจผิด มหาเถรสมาคมเข้าใจดีแล้ว ประมาณนั้น
ที่อ้างเป็นความถูกต้องว่า มีการถวายคืนตำแหน่งเจ้าอาวาส...มันก็แน่ละซิ ปี ๒๕๔๙ มันยุคใครล่ะ...
ยุคทักษิณ "ศิษย์เอกธรรมกาย" และยุคสมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศ อาจารย์ประจำตระกูลทักษิณ เป็นใหญ่มิใช่หรือ?
และที่ยกมาโอ้อวด เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี เมื่อปี ๒๕๕๔ ก็ยุคที่ "สมเด็จเกี่ยว" วัดสระเกศ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชมิใช่หรือ?
ป่วยการเอาจริงโต้เท็จตรงนี้ วันนี้ (๒๐ ก.พ.) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านนัดประชุมมหาเถรสมาคม
ก็คอยดู-คอยฟัง "มหาเถรสมาคม" ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัดธรรมกายว่า จะตีความไปทางไหน กับลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี ๒๕๔๒ ที่ระบุว่าธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้ว!?
เท่าที่ฟัง ทั้งนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักพุทธฯ ก็ "ถ่างขาพูด" ตามสไตล์ข้าราชการ ถ้าจะว่าข้าราชการเป็นธง
ก็ธงที่พลิ้วตลอดนั่นแหละ!
เป็นปาราชิกแล้วตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราชมั้ง...ไม่เป็นมั้ง เพราะคืนเงินคืนที่ดินให้วัดแล้ว....เป็นมั้ง เพราะทางพระวินัย เอาทรัพย์เขามาเกิน ๕ มาสก ถึงคืนก็ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว...เอ๊ะ...ไม่เป็นมั้ง เพราะอัยการถอนฟ้องธัมมชโยจากศาลแล้ว
เนี่ย...มั้งขวาที-ซ้ายที หาแก่นสารเพื่อยึดถือจากการรับฟังรัฐมนตรี ผอ.สำนักพุทธฯ ไม่ได้
สรุป...ทุกคน-ทุกฝ่าย โบ้ยไปที่มหาเถรสมาคม สุดแต่จะชี้ขาดว่า ธัมมชโยเป็นอลัชชีแฝงคราบพระอยู่ หรือยังเป็นพระอยู่ มหาเถรว่าไง
พวกธงก็พร้อมพลิ้วว่างั้น?
ผมว่านะ...ลงท้าย ก็งึมๆ งำๆ งึกๆ งักๆ เป็นอนันตจักรวาลกันต่อไป!
เรื่องอย่างนี้ พวกอลัชชีแฝงศาสนา แต่ไม่มีเส้น-ไม่มีซอง ผมเห็นตำรวจและคณะสงฆ์จับสึก แล้วนำตัวไปดำเนินคดีมากต่อมาก...ง่ายจัง
แต่ราย โล้นนะจ๊ะ อิทธิพล-เงินทอง-ซองใหญ่ ขนาดความผิดทางอาญาเห็นจะจะซ้ำซาก ความผิดทางพระวินัยก็เห็นแจ้งๆ จะจะ
แต่...ทั้งคณะสงฆ์ ทั้งตำรวจ ดีเอสไอ ปปง. อย่าพูดว่า ๒ มาตรฐานเลย เพราะมัน "ไม่มีมาตรฐาน" จริงๆ!
ผมจับประเด็นได้ว่า ทุกฝ่ายพยายามตีความ "ลิขิตสมเด็จพระสังฆราช" แบบเฉไฉ เบี่ยงไปลักษณะ ..........
"ธัมมชโยยอมคืนแล้วไง ก็ไม่เป็นปาราชิกตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราชซี!"
เอางี้ดีกว่า...มาดูใจความในคำขอถอนฟ้องต่อศาลของอัยการก่อนดีกว่า ว่า ตามลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริงๆ นั้น มีว่าอย่างไร..........
และธัมมชโย "ขาดจากความเป็นพระ" ด้วยผิดร้ายยิ่งกว่าเรื่องยักยอกเป็นล้านเท่า แต่ไม่พูดถึงกัน เรื่องนั้น คือเรื่องอะไร ที่ "สมเด็จพระสังฆราช" มีพระลิขิตไว้?
จำให้แม่นนะครับ...สมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิตเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ แต่ธัมมชโย ดื้อแพ่ง-ถือดี ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งมหาเถรสมาคมก็...อย่างว่า
จนใกล้ถึงวันศาลจะตัดสินคดี ถึง ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ จู่ๆ อัยการก็ขอถอนฟ้อง ผมจะนำจากข่าว "มติชน ออนไลน์" ครั้งนั้น มาย้อนให้อ่านกัน ดังนี้
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาล นายสุนพ กีรติกุล ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน และองค์คณะออกนั่งบัลลังก์ พิจารณาคดีดำ หมายเลขที่ 11651/2542 และคดีดำหมายเลข 14735/2542
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สิทธิผล อายุ 62 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
และนายถาวร พรหมถาวร อายุ 57 ปี ลูกศิษย์คนสนิท เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือผู้อื่นโดยสุจริต และเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
โดยร่วมกันยักยอกทรัพย์และเงินบริจาคของวัดพระธรรมกาย จำนวน 6.8 ล้านบาท ไปซื้อที่ดินเขาพนมพา ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร โดยโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อนายถาวร จำเลยที่ 2 และเงิน จำนวน 29,877,000 บาท ไปซื้อที่ดินเนื้อที่ 902 ไร่เศษ ต.หนองพระ อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร และ ต.ท่าข้าม อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ โอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 เช่นกัน
ทั้งนี้ เรืออากาศโทวิญญ วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 สรุปว่า
ตามที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง เมื่อ 4 ตุลาคม 2542 และ 16 ธันวาคม 2542 ตามลำดับ โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิด โจทก์ขอเรียนว่า
การดำเนินคดีนี้ สืบเนื่องจาก จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีว่า..............
ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสั่งสอนโดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้พระสงฆ์ที่หลงเชื่อคำสอนบิดเบือนแตกแยกออกไปกลายเป็นสองฝ่าย มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้พระสงฆ์แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้องคือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที (5 เมษายน 2542) ในชั้นต้นหากมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระคืนให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติ ปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครองทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ให้พระพุทธศาสนา
คำร้องถอนฟ้องระบุต่อไปว่า....
บัดนี้ ข้อเท็จจริงในการเผยแผ่คำสอนปรากฏจากอธิบดีกรมการศาสนา ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 1 ว่า ในปัจจุบันจำเลยที่ 1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาตรงตามพระไตรปิฎก และนโยบายของคณะสงฆ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนจำนวนมาก
สำหรับในด้านทรัพย์นั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงิน จำนวน 959,300,000 บาท คืนให้วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วนทุกประการแล้ว
"ประกอบกับขณะนี้ บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติทุกหมู่เหล่า เห็นว่า หากดำเนินคดีจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร โดยเฉพาะพระภิกษุ สามเณรและประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนคดีนี้ ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา ขอศาลโปรดอนุญาต" คำร้องระบุ
ศาลได้สอบถามว่า...........
จำเลยทั้งสองจะคัดค้านหรือไม่ จำเลยทั้งสองแถลงว่า ไม่คัดค้าน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ก่อนศาลมีคำพิพากษา เมื่อจำเลยทั้งสองคนไม่คัดค้านที่โจทก์ถอนฟ้อง จึงมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.35 จึงอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง และจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความของศาลอาญา
และจากข่าว เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ ให้ข้อมูลท้ายข่าวไว้ว่า....
"............ก่อนหน้าที่อัยการจะถอนฟ้องเพียงเดือนเศษ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2549 พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้ใช้สถานที่วัดพระธรรมกาย จัดงาน "รวมใจทุกศาสนา พัฒนาท้องถิ่นไทย ถวายองค์ราชา ครองราชย์ 60 ปี"
โดยระดมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั่วประเทศ 80,000 คน มาร่วมงาน ซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานและกล่าวปาฐกถา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่ทักษิณ"
ครับ...อ่าน "ต้นเรื่อง" ให้เข้าใจกันก่อน ใครมาเฉไฉจะได้รู้ทัน จะเห็นว่าพวกศรีธนญชัยกำลังบิดเบือนความตามพระลิขิต "สมเด็จพระสังฆราช" ในประเด็นปาราชิก
แต่ที่ยิ่งกว่านั้น เรื่องบิดเบือนคำสอนพระพุทธศาสนา แยกสงฆ์ออกเป็นสองฝ่ายตามพระลิขิต เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา โทษขั้น "อนันตริยกรรม" จะถอนฟ้อง-ไม่ถอนฟ้อง ใครก็จะยกเป็นข้ออ้างลบล้างโทษอุกฤษฏ์นี้ไม่ได้
เรื่องนี้ยาว ส่วนจะยาวขนาดสั้น หรือสั้นขนาดยาว ก็ต้องรอดูผลประชุมมหาเถรสมาคมวันนี้.